webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

325

บทที่ 325 แขกจาก

เจียงเซ่อมีคุณสมบัติที่ดี เหมาะสมกับการเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง บวกกับที่ก่อนหน้านี้มีฉางยวี่หูคอยรับประกันและสนับสนุน ลัวหยิ่นจึงเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ ดังนั้นตอนที่เซ็นสัญญาครั้งแรก ก็ให้เธอได้เซ็นสัญญากับเซี่ยเชาฉวินด้วยเลย แต่ในขณะเดียวกันเขายังตั้งใจที่จะกดช่องทางการก้าวหน้าของเธอเอาไว้ และท่าทีของลัวหยิ่นที่แสดงออกแบบนั้น ก็เป็นบททดสอบของเจียงเซ่ออย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

อย่างแรกคือการมองดูว่าเจียงเซ่อจะคู่ควรกับการตัดสินใจที่จะเซ็นสัญญาแค่สามปีในครั้งแรกหรือไม่ อย่างที่สองคือดูว่าหลังจากสามปีผ่านไปแล้วเธอจะต่อสัญญาต่อหรือเปล่า

หลังจากที่ลัวอ้าวได้ลองโทรไปหาเจียงเซ่อเพื่อลองหยั่งเชิงท่าทีของเธอดูแล้ว เธอจึงได้นัดเจรจาต่อหน้ากับลัวอ้าวในวันอังคารหน้า

ท่าทีของเธอก็เหมือนเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับซื่อจี้หยินเหอขึ้นมาอีกขั้น ลัวอ้าวเองก็ตอบสนองกลับไปโดนการเอ่ยว่าตอนนี้ทางบริษัทมีหนังมากมายให้เธอได้เลือก และเอาไว้พูดคุยในตอนที่เจอกัน

หลังจากวางสายไปแล้ว เจียงเซ่อก็เปิดประตูเข้าห้องไป เผยอี้นั่งอยู่ที่โซฟา มีคนสองสามคนนั่งรอบเขา และกำลังเปิดผ้าพันแผลที่มือของเขาออก

ตอนที่เจียงเซ่อเข้ามา ก็เห็นว่ารอยฟกช้ำบนมือของเขายังไม่หายดีเลยด้วยซ้ำ เขากำหมัดแน่น ก่อนจะยกมือขึ้น หมอยังคงถามไถ่อาการตามปกติ เขาหันหน้ามาหาเจียงเซ่อ

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

เขาถามถึงสายที่เพิ่งรับไปก่อนหน้านี้ เจียงเซ่อส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยออกไป

“บริษัทต้นสังกัดโทรมาน่ะ”

เธอขมวดคิ้วมองแขนของเผยอี้ แผลถลอกเริ่มที่จะตกสะเก็ดแล้ว แต่ว่าภายในเธอไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร

คุณหมอตรวจแผลและร่างกายให้เขาอย่างตั้งใจและจริงจัง อีกทั้งยังถามเขาอีกหลายคำถาม แต่เขาก็ตอบกลับไปด้วยไปหน้านิ่งๆ ว่าปวดแขนเท่านั้น เขากำหมัดอยู่สองรอบ แล้วก็คลายมันออก ทำเอาคุณหมอผู้ชายมีสีหน้าจนปัญญา

“กระดูกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ แต่เวลาที่ยกแขนแล้วยังปวดอยู่ น่าจะมาจากสาเหตุอื่น เอาไว้คราวหน้าไปที่โรงพยาบาล ผมจะให้แพทย์เฉพาะทางมาตรวจเช็คให้นะครับ พวกเราจะพยายามหาวิธีบำบัดรักษาใหม่ๆ ให้”

เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่หนักมากๆ เจียงเซ่อเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ส่งแขกแล้ว เธอก็เดินไปนั่งข้างๆ เผยอี้ แล้วยื่นมือไปแตะที่มือของเขา แล้วนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เขาชอบบ่นว่าปวดมือบ่อยๆ เลยไม่กล้าที่จะแตะแรงๆ

“ไหนตอนแรกบอกว่าไม่หนักไง?”

คิ้วสวยของเธอขมวดเข้าหากันแน่น “จริงๆ บาดเจ็บตรงไหนกันแน่ ตอนแรกไม่ได้เอ็กซเรย์หรอ?”

ตอนที่หมอยังอยู่ เขาก็ไม่ยอมพูดออกมาให้มันชัดเจน แค่พูดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับกระดูก แต่ตอนที่ยกแขนขึ้นกลับเจ็บ จึงอดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นเพราะกระดูกเคลื่อนหรือเปล่า มันอาจจะกดทับเส้นประสาทจนทำให้เจ็บ แถมภายหลังยังต้องมีการหาวิธีรักษาด้วย

ความเป็นห่วงบนใบหน้าของเธอทำให้แววตาของเผยอี้อ่อนลง พอเห็นเธอดูร้อนรนแบบนี้แล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปกระซิบเบาๆ ข้างๆ เธอ

“ไม่เจ็บแล้วครับ”

และเพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ เผยอี้ที่ก่อนหน้านี้อยู่ต่อหน้าหมอ แค่ยกมือกับกำมือก็ดูจะลำบากมาก ตอนนี้กลับกำมือแน่นและยกขึ้นได้อย่างสบายๆ

“ดูสิ”

เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแผลที่อยู่บนมือจะดูหนักมากๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น หมอเองก็น่าจะดูออกอยู่แล้ว

แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนไข้พิเศษ เพราะงั้นแค่เขาบอกว่าเจ็บมือ ถึงแม้ว่าหมอจะรู้อยู่แล้วว่าเขาอาจจะแค่แกล้ง แต่ก็ยังต้องพูดออกไปอยู่ดีว่าจะช่วยหาทางรักษาให้

“นายโกหกงั้นเหรอ!” เจียงเซ่อถอนหายใจออกมา แต่เขากลับรีบยื่นมือไปโอบเจียงเซ่อเข้ามาในอ้อมกอดแล้วพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ

“ผมกำลังหาเหตุผลข้ออ้างในการลาป่วยนี่ไง พี่ก็บอกเองว่าเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว กลับมาครั้งนี้ ผมเองก็ตั้งใจที่จะลาพักสักครึ่งเดือน แล้วจะอยู่กับพี่สองวันเต็มๆ เลย......”

เขาอยู่ไกลถึงกว่างโจว แถมคุณปู่ยังจัดตางรางเรียนให้เขาเสียแน่นเอี๊ยด แม้แต่เวลาจะติดต่อกับเจียงเซ่อก็แทบไม่มี

ใช่ว่าจะไม่มีนักเรียนต่างถิ่นที่ต้องเลิกกับคนรักเพราะทนรอถึงสองปีไม่ได้

ถึงแม้ว่าเธอจะรู้จักนิสัยของเผยอี้ดีอยู่แล้ว และนิสัยของเธอเองก็เป็นพวกใจเย็น พวกอารมณ์ความรู้สึกถือว่าช้า ตอนแรกเขาตามจีบอยู่ตั้งนาน ถึงจะสามารถทำให้เธอยอมตกลงที่จะคบกันได้ การที่เธอจะมาแสดงความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ก็น้อยครั้งที่จะทำด้วย

และเป็นเพราะว่าเธอมีนิสัยที่เมินเฉย เขาก็กลัวถ้านานๆ ไป เธอเองก็จะเมินเฉยตัวเขาเองไปด้วย

อย่างไรก็ตามเจียงเซ่อเองก็เป็นคนสวย อีกทั้งยังเป็นที่สนใจและเป็นจุดโดดเด่นในวงการบันเทิง รอบกายเธอมีคนที่นิสัยแตกต่างกันมากมาย และคนที่เข้ามาร่วมงานกับเธอก็เป็นดาราชายต่างๆ มันรับประกันไม่ได้ว่าพอมีคนเห็นว่าเธอสวย ก็จะไม่หน้าด้านเข้ามาแย่งเธอไป

พอนึกถึงปัญหานี้ได้ เผยอี้ก็ตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะลากลับมาอยู่กับเธอสักระยะ แต่กลับเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เสียเวลา สุดท้ายก็ได้เปลี่ยนเป็นแผน ‘ลาป่วย’ แทน

นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่ตี้ตู ใครจะไปคิดว่าคนอื่นคิดว่าเจียงเซ่อยังโสดกันล่ะ?

ทุกครั้งที่คิดแบบนั้นขึ้นมา เผยอี้จะรู้สึกร้อนใจตลอด กลับมาครั้งนี้ก็อ้างว่าเจ็บมือเจ็บแขน และตั้งใจที่จะลาพักไปหลายวัน

“นายพูดมั่วแล้ว ฉันไปเย็นชากับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

พอเจียงเซ่อได้ยินเข้าพูดมั่วๆ แบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแกะมือที่กำลังโอบเอวเธอออก แต่เขายังอยากกอดเธออยู่ เจียงเซ่อเอนตัวถอยไปด้านหลัง เขาก็รีบพูดขึ้นมาทันที

“นี่ไง ดูสิ แค่ตอนนี้อยากจะกอดพี่ก็ยังยากเลย......”

เขาทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่าทางแบบนั้นทำเอาเจียงเซ่ออดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

เรื่องที่เผยอี้แกล้งเจ็บมือไม่ถึงสองวันก็โดนจับได้แล้ว ตอนแรกกะว่าจะหยุดอยู่กับเจียงเซ่อที่ตี้ตูจนถึงกลางเดือนตุลาคมแล้วค่อยกลับโรงเรียน แต่คุณปู่เผยกลับจับสังเกตได้เสียก่อน เลยคุมตัวเผยอี้ให้ไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลเสียเลย จนมั่นใจแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร ก็สั่งให้คนคุมตัวเขากลับโรงเรียนไปในทันที

ก่อนจะไปก็ได้โทรหาเจียงเซ่อ ด้วยน้ำเสียงที่หงอยๆ

“เซ่อเซ่อ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปเลย แต่ทำไมผมกลับคิดถึงพี่แล้วล่ะ?”

การแกล้งป่วยครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ และต่อจากนี้คุณปู่เผยจะต้องคุมเขาเข้มขึ้นอีกแน่ๆ ความรู้สึกที่ไม่ได้ดั่งใจทำให้เผยอี้รู้สึกไม่ชอบเอามากๆ การกระทำของคุณปู่เผยในครั้งนั้นทำให้เขาได้รู้ว่า หนทางที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่นั้นยังอีกยาวไกล

การเรียนรู้เหล่านั้นทำให้ความคิดในใจของเผยอี้ที่อยากจะแข็งแกร่งและก้าวหน้ากว่านี้เริ่มมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้นตอนที่คุณปู่เผยส่งคนมาคุมตัวเขากลับกว่างโจว เขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรอย่างที่คนในบ้านตระกูลเผยคิดเอาไว้เลยสักนิด

แต่พอเผยอี้คิดถึงเจียงเซ่อขึ้นมา มันก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจ

“ตอนเด็กๆ ผมมีความฝันความฝันหนึ่ง มันเกี่ยวกับพี่ ลองเดาดูสิ?”

เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี เจียงเซ่อฟังจากน้ำเสียงที่ดูฝืนใจอยู่นั่นก็พอจะรู้แล้ว

ที่จริงมีอยู่หลายๆ ครั้ง ที่ความฝันของเขามักจะเกี่ยวกับเธอเสมอ เรื่องราวหลายๆ เรื่องราว เจียงเซ่อเองก็พอจะเข้าใจมันดี

แค่แต่ก่อนไม่ทันได้คิดถึงไปในทางนั้น พอมาได้รู้แล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยได้สังเกตถึงในแต่ก่อน ก็เริ่มสัมผัสได้ในตอนนี้แล้ว

แต่ก็อยากจะให้เขารู้สึกดีขึ้น เจียงเซ่อเลยถามเขาออกไป

“ความฝันอะไรล่ะ?”

“ผมอยากจะทำให้พี่ตัวเล็กลง แล้วเอาใส่เข้าในกระเป๋าเสื้อผม ไปกับผมในทุกๆ ที่ ไม่ว่าผมไปไหนก็จะมีพี่ไปด้วย แค่ลูบที่กระเป่า พี่ก็จะอยู่ในนั้นเสมอ”

เจียงเซ่อที่ได้ฟังถึงตรงนี้ ก็หัวเราะอออกมา แล้วเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าก็ดังขึ้นมา เผยอี้ยังคงบ่นพึมพำๆ ว่าไม่รู้ว่าจะได้หยุดครั้งต่อไปเมื่อไหร่

หลังจากที่คุณปู่เผยรู้ว่าเขาแกล้งป่วย ก็สั่งให้คนพาเขากลับไปที่กว่างโจวภายในคืนนั้นทันที เที่ยวบินที่ถูกจองเอาไว้คือตอนห้าทุ่ม และตอนนี้ก็ใกล้จะห้าทุ่มแล้วด้วย รอบๆ ตัวเขามีคนคอยตามคุม จนถูกเร่งหลายๆรอบติดกัน สุดท้ายเผยอี้ก็ต้องจำใจบอกลา

หลังจากวางสายไปแล้ว มือถือของเจียงเซ่อก็แจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่ต่ำขึ้นมา เธอหยิบมือถือไปเสียบชาร์จ แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าได้รับข้อความก่อนหน้านี้ จึงลองเปิดมันดู

ยังไม่ทันที่จะได้เปิดข้อความดู เจียงเซ่อก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมา ข้อความที่ส่งมาเป็นภาษาอังกฤษ และคนที่ส่งมาก็เขียนชื่อเอาไว้ว่า เชี่ยซ่าเหลย