บทที่ 319 หลอกง่าย
“ไม่ว่าจะยังไง......” เธอพยายามทนความชาเอาไว้ และย่นคอหลบ เธอสั่นเบาๆ ร่างกายค่อยๆ เห่อร้อนราวกับเถาวัลย์ที่ค่อยๆ เลื้อยปีนขึ้นมา เนื้อผ้าไหมบางๆ ขยับขึ้นลงตามลมหายใจของเขา จนบางทีก็กระทบโดนกับผิวของเธอ บางทีก็เลื่อนผ่านลงไป ทำเอาเธอรู้สึกอกสั่นขวัญหายได้ตลอด
“ถ้าฉันไม่ย้ายออกไป แล้วฉันจะรอนายมาขอแต่งงานได้ยังไง?”
เธอเอียงหน้า แก้มนิ่มแนบชิดอยู่กับศีรษะของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“อาอี้ ฉันไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้นหรอกนะ!”
พอเผยอี้ได้ยินแบบนั้น ก็กัดลงไปบนหัวไหล่ของเธอทันที
“แน่นอนพี่ไม่ได้หลอกง่ายเสียหน่อย!”
เวลาที่เขาพูด เขาต้องพยายามอย่างมากที่จะกลั้นไม่ให้ดูเหมือนกำลังตะคอกออกไป
เผยอี้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ ถ้าเธอหลอกง่ายก็ว่าไปอย่างสิ หลายปีที่ผ่านมานี้ เกรงว่าทั้งสองก็คงจะได้อยู่ด้วยกันไปนานแล้ว
“แต่ถึงผมจะหลอกง่าย พี่ก็ไม่มาหลอกผมอยู่ดี”
เขาทำน้ำเสียงอ่อนลง ราวกับว่ากำลังออดอ้อนอยู่ แต่ในคำพูดของเขาเมื่อลองพินิจดูดีๆ แล้ว กลับต้องรู้สึกปวดร้าวใจอย่างที่สุด
ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน แววตาคู่นั้นของเขามันสื่อถึงความรู้สึกที่ไม่กล้าบอกออกจากปากมาทั้งหมด ที่จริงเขาควรที่จะทำให้เป็นไปอย่างเรียบง่าย แววตาของเขาควรที่จะเรียบนิ่งและไร้เดียงสา แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับโดนแสงสลัวส่องจนทำให้ดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้น
ใครๆ ก็บอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ตอนนี้แววตาของเขามันสะท้อนได้แค่เงาของตัวเธอ มากพอจนแทบจะไม่มีที่เหลืออยู่แล้ว
แต่เมื่อลองเทียบกันแล้ว ในใจของเธอกลับมีเรื่องต่างๆ มากมาย เธอรู้สึกว่ามันยากลำบากเหลือเกิน เธอพยายามดิ้นหนีออกมา
“อย่ามองฉัน”
“ได้”
เขายังไม่อยากจะไปไหน แต่พอเธอพูดออกมาแบบนั้น เขาก็หลับตาลงอย่างว่าง่ายทันที
ขนตาของเขางอนขึ้น หนังตาบางๆ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนเจนว่าลูกตาข้างในกำลังขยับอยู่ แต่ก็เหมือนว่ายังมองมาทางเธอเหมือนเดิม ขนตาที่เรียงตัวทีละเส้นๆ มันทำให้จู่ๆ เจียงเซ่อก็เกิดคิดถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เธอเติบโตมากับเฝิงจงเหลียงตั้งแต่เด็กๆ นิสัยก็เหมือนเฝิงจงเหลียงเป๊ะๆ ไม่ค่อยที่จะแสดงความรูสึกออกมา ความคิดและคำพูดบางอย่างก็มักจะเก็บเอาไว้แค่ในใจ ไม่มีใครรู้แล้วเข้าใจได้จริงๆ
ทำให้ตอนที่เธอมาเกิดใหม่แบบนี้ ถึงเพิ่งได้รู้ว่าระหว่างตัวเองและคุณปู่ ได้เข้าใจผิดกันอย่างมากมาย
ก็เหมือนอย่างตอนที่ตระกูลเผยและเฝิงจงเหลียงเจอกัน เธอก็เพิ่งรู้ว่าคุณปู่เธอสังเกตเสมอว่าเธอชอบที่จะปลีกตัวไปนั่งที่สวนดอกไม้อยู่นานในทุกครั้งที่ไปบ้านตระกูลเผย เธอเข้าใจมาตลอด ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆแบบนี้ เฝิงจงเหลียงคงไม่เก็บมันไปใส่ใจ
ตอนแรกเธอคิดว่าเฝิงจงเหลียงกำลังตำหนิ ตั้งแต่ที่เกิดใหม่และเปลี่ยนสถานะไป ถึงได้มีโอกาสได้ฟังและรู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ
นิสัยแบบนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย เธอไม่ควรเอาแต่ปล่อยให้เผยอี้มาคาดเดาใจของเธอ มีบางคำพูดที่เธอควรจะพูดมันออกไป จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ ว่าจนถึงสุดท้ายแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดออกไปแบบนั้น
“อาอี้ นายเป็นแฟนของฉันนะ”
เธอไตร่ตรองมาแล้วว่าตัวเองควรจะพูดออกไป ควรที่จะบอกถึงความคิดของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน
“เส้นทางที่ตระกูลเผยได้วางแผนและปูทางเอาไว้ให้นาย ให้นายไปเรียนหนังสือที่กว่างโจว นายบอกว่าจะกลับมาในวันหยุดฤดูร้อนช่วงเดือนสิงหาคม ฉันเองก็ยอมรับมัน”
มือทั้งสองข้างของเธอวางเอาไว้บนไหล่หนาของเขา ก่อนจะเลื่อนมันไปสอดประสานไว้ที่หลังคอแกร่ง แล้วดึงให้เขาเข้ามาใกล้อีกนิด
“ตอนนั้นนายบอกกับฉันว่า นายจะตั้งใจเดินหน้าต่อไป เพื่อวันของเราในภายภาคหน้า แต่ฉันกลับรู้สึกว่า ยิ่งเดินไปข้างหน้ามาเท่าไหร่ เราสองคนก็ยิ่งต้องห่างไกลกันรึเปล่า?”
ในตอนที่เจียงเซ่อจะดึงมือกลับ เผยอี้ก็ไม่ได้รวบมือเธอเอาไว้อีก และปล่อยให้เธอดึงมือตัวเองกลับไป
พอนิ้วมือนุ่มๆ นั่นถูกดึงกลับไปแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกว่าลมหน้าร้อนในตอนกลางคืนช่างเย็นเหลือเกิน จึงอดไม่ได้ที่จะกอดรัดเธอให้แน่นขึ้น
เขาหลับตา และตั้งใจฟังสิ่งที่เธอต้องการบอกกับเขา
“ตั้งแต่ที่นายไปเรียน จนมาถึงตอนนี้ นายพูดสิว่าเราได้เจอหน้ากันน้อยลงใช่ไหม?”
น้อยครั้งที่เธอจะมาตัดพ้อกับเขาแบบนี้ เพราะบางทีเธอก็นิ่งเงียบจนเผยอี้เสียความมั่นใจและคิดว่าตัวเองทำอะไรผิด รู้สึกเหมือนระหว่างเราสองคนมักจะเป็นเขาคนเดียวที่ทุกข์ร้อน และชอบคาดเดาในสิ่งที่กลัว
เขาค่อยๆ แอบลืมตาขึ้นมา เธอยังคงนับนิ้วไปเรื่อยๆ ริมฝีปากที่บวมแดงขึ้นมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน มันต่างก็ทำให้หน้าอกของเขามันร้อนรุ่มไปหมด รู้สึกว่าเธอที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างน่ารักจนมองเท่าไหร่ก็คงไม่พอ
“ครั้งที่นายกลับกว่างโจวไป ตอนนั้นฉันอยากจะไปที่สนามบิน แต่รถดันติด และนายก็ขึ้นเครื่องไปแล้ว......”
คำพูดของเจียงเซ่อทำเอาหัวใจของเผยอี้ค่อยๆ เต้นแรง พอกำลังจะพูดอะไร เธอก็เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่าเขาลืมตามองอยู่ ก็เอ่ยขึ้นทันที
“หลับตาลงเดี๋ยวนี้นะ!”
“ผมไม่......”
ครั้งนี้เขาไม่ทำตามที่เธอบอก เขาจ้องหน้าเธออยู่แบบนั้น แม้แต่จะกะพริบตาก็ไม่ทำ
“ผมอยากมองที่รักของผม”
เธอเบือนหน้าหนี เหมือนมีไอร้อนๆ ตีขึ้นมาจากกั้นบึ้งของหัวใจ ดวงตาของเธอร้อนผะผ่าวแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับลูกไฟ
“ฉันแค่กำลังคิดว่า เราสองคนก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน แล้วจะเป็นไปได้หรือเปล่าที่สุดท้ายมันจะไปกันไม่รอด”
พอเผยอี้ได้ยินแบบนั้น กำลังจะพูดอะไรขึ้นมา แต่เจียงเซ่อก็ยกมือขึ้นปิดตาเขาเอาไว้เสียก่อน
“ฉันกำลังคิดว่า ถ้าหากว่าวันใดวันหนึ่งที่นายเดินเร็วเกินไป ได้ไปยืนอยู่ในที่ที่สูงกว่านี้ แล้วนายจะมีตัวเลือกมากกว่าตอนนี้ไหม”
ถ้าหากตระกูลเผยใช้ชาติตระกูลและฐานะ สร้างสิ่งที่ดีกว่าให้กับเขา ให้เขาไปไกลกว่านี้ ให้เขาได้ยืนอยู่ที่ที่สูงกว่านี้ ให้เขาได้เข้าใจและเห็นว่าตัวเลือกของเขาไม่ได้มีแค่ตระกูลเฝิง ไม่ได้มีแค่เจียงเซ่อ
“ถ้าอย่างนั้นฉันเองก็พอจะมีสิทธิ์ที่จะให้นายเลือก ว่าถ้านายยังต้องการฉัน นายก็ควรที่จะเดินกลับมาหาฉันบ้าง แบบนั้นใช่ไหม?”
ตั้งแต่ที่เธอย้ายออกจากบ้านเผยอี้ไป ไม่ใช่เพราะว่าเริ่มเข้าใจความรู้สึกมากขึ้น และไม่ใช่เพราะไม่ได้ชอบเขาแล้ว
แต่แค่เธอกำลังรู้สึกว่าถ้าหากตระกูลเผยกำลังวางแผนที่จะให้ทั้งสองคนเลิกกันจริงๆ ผลที่ได้รับก็ไม่ควรเป็นเธอคนเดียวที่ต้องแบกมันเอาไว้ เผยอี้เป็นแฟนของเธอ ไม่ว่าหลังจากนี้ผลมันจะออกมายังไง มันก็ควรเป็นทั้งเขาและเธอที่ร่วมกันแบกรับเรื่องพวกนี้เอาไว้
“เพราะฉะนั้น ฉันนิสัยไม่ดีตรงไหนหรือ?”
เขาพยักหน้าไม่หยุด ปล่อยมือที่โอบเอวเธอแล้วยกขึ้นมากุมมือของเธอที่กำลังปิดตาของเขาเอาไว้
“เซ่อเซ่อไม่ได้นิสัยไม่ดี ผมเองที่นิสัยไม่ดี”
ที่จริงการวางแผนของครอบครัวเขาก็เข้าใจมันดี ผู้ใหญ่ในตระกูลเอาแต่คิดว่าเขายังเป็นแค่วันรุ่น คิดว่าก่อนหน้านี้เขายังชอบเฝิงหนานมาได้ตั้งหลายปี แต่จู่ๆ คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แล้วที่มาเจอกับเจียงเซ่อ ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
แต่คนในบ้านไม่มีวันเข้าใจ ว่าคนที่เขาชอบนั้นยังคงเป็นคนคนเดียวกันมาเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“เซ่อเซ่อ......”
ตอนนี้ในใจของเขามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ความสุขที่ได้รับเหล่านั้นมันกำลังเอ่อล้นออกมาด้วยซ้ำ รู้สึกอยู่ตลอดว่ากอดเธอเท่าไหร่ก็ไม่พอ
“ฉันโดนยุงกัด”
เธอบ่นพึมพำออกมา เผยอี้รีบปล่อยมือออก แล้วก้มลงไปปัดๆ ที่ขาให้เธอ
ผ้าพันคอที่เคยอยู่บนไหล่ตกลงพื้นไปแล้ว อีกทั้งสายชุดเดรสของเธอก็โดนเขาดึงออกไปแล้วอีก และเนินอกขาวๆ คู่นั้นก็กำลังจะโผล่ออกมาอยู่แล้ว
ชุดเดรสราตรีในวันนี้ไม่เหมาะที่จะให้เธอสวมชุดชั้นในเอาไว้ หน้าอกก็มีเพียงแค่สติกเกอร์ปิดไว้ มองแล้วก็ทำเอาเผยอี้แทบจะเลือดกำเดาพุ่งออกมา เกือบจะห้ามเอาไว้ไม่อยู่
“เดี๋ยวผมปัดให้”
น้ำเสียงของเขาสั่น แล้วรีบพยุงเธอให้ยืนดีๆ สายเสื้อของเธอยังคล้องอยู่ที่ไหล่ของเธออย่างหมิ่นเหม่ ในหัวของเขายังคงตื่นตะลึงกับภาพวิวสวยๆ ที่ได้เห็นเมื่อครู่อยู่ เขาลองแตะสายเสื้อนั่นดูแล้ว มันทั้งเบาและบาง แค่เขาเป่าลมเบาๆ ก็คงจะหลุดออกมาแล้ว
วัตถุดิบบางๆ ที่ห่อปิดสิ่งสวยงามนั่นเอาไว้ ทำให้เขาสามารถแอบลอดดูผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายๆ
แต่เขาเกิดลังเลอยู่เสี้ยวหนึ่ง ก่อนจะกัดฟัน และอดใจเอาไว้ และรีบช่วยเธอทำให้มันเรียบร้อยกว่านี้
เสร็จแล้วแต่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจ เขาก้มลงไปอีกครั้งพร้อมกับหยิบผ้าพันคอขึ้นมา แล้วเอามันมาห่อปิดด้านบนของเธอไว้อย่างมิดชิด