webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

310

บทที่ 310 ตัวละคร

“พออ้วนแล้ว ก็เหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของลั่วเซิ่นมากขึ้นด้วย”

ถึงแม้ว่าเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกจะใช้การตกแต่งเมคอัพเอาก็ได้ แต่ไม่ว่าช่างแต่งหน้าจะมีฝีมือที่ดี หรือจะทำออกมาได้เหมือนอย่างที่หลิวเย่คิดเอาไว้ได้แค่ไหนก็ตาม แต่อย่างไรเสียการใช้วิธีแบบนั้น มันก็ไม่สามารถมาทดแทนกับความรู้สึกของหลิวเย่ที่ได้อ้วนเองได้ พอได้ลักษณะรูปร่างที่เหมือนคนแก่มาแล้วมันก็เหมือนเพิ่มความรู้สึกให้ตนเองด้วย

หลังจากที่เขาอ้วนขึ้น บุคลิกและภาพลักษณ์ของเขาก็ดูเปลี่ยนไปราวกับฟ้ากับเหว หยางป๋อซีเองก็เห็นว่าช่วงนี้เขากินได้กินดี ก็ทำได้แค่ส่ายหัว ทุกครั้งที่เขาเห็นหลิวเย่ ก็มักจะแสดงท่าทีกลัดกลุ้มเสมอ

ก็เหมือนกับเจียงเซ่อที่ลดน้ำหนักลง ช่วงนี้หลิวเย่เองก็ออกไปให้คนเห็นไม่ได้เช่นกัน งานสัมภาษณ์หรืองานพรีเซนเตอร์สินค้าก็รับไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ ทุกครั้งที่ต้องถ่ายรูป เขาก็มักจะสร้างความกดดันให้กับตัวเองไม่น้อย

ในจิตใจของเขา เวลาที่ได้เห็นตัวเองกลายเป็นอีกคนที่แตกต่างจากคนเดิมราวกับฟ้ากับเหวแล้ว เขาก็มักจะแสดงอารมณ์ในทางที่ไม่ดีออกมาบ่อยๆ ด้วย และนั่นก็ช่วยได้มากในการแสดงของเขา

“เซ่อเซ่อเองก็คิดว่าเป็นเพราะแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงได้ลดน้ำหนักลงแบบนี้?”

หลิวเย่ทานอาหารที่สั่งมาจนหมด จนสุกท้ายก็กินไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้วางตะเกียบลง

ตอนนี้เจียงเซ่อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่กำลังลดน้ำหนัก เธอจึงกินไปแค่สองคำ จากนั้นก็ดันตะเกียบออกไปทันที

เซี่ยเชาฉวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มองมาที่เธอ เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“หนังที่เล่นสบายๆ ก็ไม่เอา อยากจะลำบากดีนัก”

วันถัดมาเข้าสู่ขั้นตอนการถ่ายจริงแล้ว ทีมงานฝ่ายอาร์ตก็ได้จัดการเอาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องเข้าฉากไปไว้ในสถานที่ถ่ายทำเรียบร้อยแล้ว

เรื่องที่ขุดเจอโครงกระดูกศพถูกแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว จางยวี่ฉินเองก็รีบไปดูเช่นกัน เธอยืนอยู่บริเวณนอกวงล้อมของคนที่กำลังมุงดูด้วยความหวาดกลัว

เพราะความเป็นแม่ของเธอทำให้แขนขาสั่นไปหมด

ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนี้ ที่ที่มีแมลงวันบินตอมหึ่ง คนส่วนมากล้วนพากันล้อมมุงดูรอบๆ และตำรวจก็ได้ล้อมที่เกิดเหตุด้วยครามซีนเทป*เทปสีเหลืองที่เอาไว้ล้อมที่เกิดเหตุ นิติเวชกลุ่มหนึ่งกำลังตรวจสอบสถานที่อย่างจริงจัง

ตำรวจยังคงเดินหาหลักฐานไปเรื่อยๆ และเธอก็ยังคอยฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงที่ไม่ชัดเจนนัก

“ดูจากสภาพโครงกระดูกแล้ว เป็นเด็กแน่นอน”

เมื่อสิ่งที่ห่ออยู่ถูกเปิดออก กลิ่นเหม็นสาบก็พุ่งเตะจมูกอย่างจัง ผู้ดูแลสคริปที่ยืนอยู่ไกลๆ ยกสัญญาณมือขึ้น นักแสดงติดตามก็เริ่มทำตามสคริปที่จำกันเอาไว้ โดยการส่งเสียงฮือฮาและสีหน้าที่สุดจะรับได้ แกล้งทำเป็นก้าวเท้าถอยหลัง เพื่อให้ได้เริ่มเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างเจียงเซ่อที่แสดงเป็นจางยวี่ฉินได้ชัดเจนมากขึ้น

‘เป็นเด็กผู้หญิง อายุแปดถึงเก้าขวบ ถูกข่มขืน’ คำพูดเหล่านั้นไหลวนเข้าหูเธอไม่หยุด จนรู้สึกปวดหัวและตาลายไปหมด

คนรอบๆ เริ่มเข้ามาออจนเหมือนเป็นกำแพงกั้น ราวกับว่าค่อยๆ ล้อมตัวของเธอเอาไว้ ยิ่งถูกล้อมเอาไว้แบบนี้ อากาศที่มีก็ยิ่งเบาบางลงทุกที และขอบตาของเธอก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ

เจียงเซ่อยังคงตกอยู่ในภวังค์ของตัวละครจางยวี่ฉิน ในตอนนี้เธอเริ่มที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีสุดๆ สายใยที่ผูกกันของแม่ลูก สิ่งที่นิติเวชจดบันทึกเอาไว้ได้สร้างความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงให้กับเธอ

สิ่งที่ถูกห่อเอาไว้ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมา นอกจากจะมีชิ้นส่วนของศพที่ถูกแยกกระจายออกจากกันแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ชิ้นส่วนหนึ่งที่มีรอยบากอยู่หลายรอย และมันเป็นเพราะว่าเป็นชิ้นส่วนที่แข็งเกินไป จึงไม่สามารถหั่นหรือตัดให้มันขาดได้อย่างศีรษะ

และเพราะเวลาที่มันผ่านไปเนิ่นนานแล้ว บวกกับที่ได้รับผลกระทบจากสภาพดินและสิ่งแวดล้อม และอากาศที่ร้อนแบบนี้ มันก็ยิ่งเร่งให้ตัวศพมีสภาพที่เน่าเปื่อยเร็วขึ้นไปอีก จนเริ่มจะมองไม่ออกแล้วว่าเป็นใคร

อุปกรณ์ที่ทางทีมงานได้เตรียมเอาไว้ในครั้งนี้เป็นอุปกรณ์ที่สั่งทำมาจากอเมริกาโดยเฉพาะ และมันก็สมจริงมากจนทำให้คนที่ได้เห็นต้องแสดงสีหน้าท่าทางออกมาจากความรู้สึกจริงๆ

แวบแรกที่จางยวี่ฉินได้เห็นก็คือส่วนผมที่ติดกับศีรษะ ผมที่ถูกรวบขึ้น และถูกมัดด้วยหนังยางสองชั้น ที่ตอนนี้มองเห็นสีได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่เธอยังจำได้ ว่ามันคือยางมัดผมที่จูจูใช้มันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันเกิดครบเก้าขวบของเธอและก่อนที่จะเกิดเรื่อง ตอนที่สองแม่ลูกเดินไปซื้อของด้วยกัน

ตอนนั้นจูจูเห็นใจแม่ที่ต้องหาเงินและมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงเลือกยางมัดผมที่มีราคาถูกที่สุด ท่ามกลางหนังยางราคาแพงทั้งหลาย

ในวินาทีที่จางยวี่ฉินได้เห็นหนังยางนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นแค่เหยื่อตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกกลืนกิน เธอกำคอเสื้อและปลายแขนเสื้อเอาไว้แน่น เธอยืดไหล่ขึ้นมา แต่ทั้งร่างกายก็ยังสั่นระริกไม่หยุด

บางทีความเศร้าโศกเสียใจ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องระบายออกมาโดยกการตะโกนกรีดร้อง

ตามเนื้อเรื่องในบทหนัง สิ่งที่เขียนบรรยายจางยวี่ฉินเอาไว้ก็คือ เหมือนกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง มันล่องลอยไปไกล มีเพียงสายตาที่ลอบมองดูอย่างเงียบๆ มองดูใบหน้าของ ‘เธอ’ ที่ซีดขาวราวกับผี ร่างกายที่แข็งทื่อควบคุมไม่ได้เหมือนตะคริวกิน ใบหน้าของคนที่ยืนอยู่รอบๆ มันกลายเป็นใบหน้าของสัตว์ดุร้าย ที่พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่เธอ ฉุดรั้งไม่ให้เธอเดินเข้าไปหาจูจู

เธอมองไปที่หญิงสาวผู้น่าสงสารด้วยความเวทนา ราวกับว่ากลายเป็นโรคป่วยทางจิต มันกระเทือนขนาดที่ทำให้เธอไม่สนใจคนรอบๆ ข้างอีก เพราะสายตาของเธอจดจ้องอยู่เพียงแค่ซากศพที่เน่าเปื่อยนั่น

‘จะโทษใครได้ล่ะ?’

จิตวิญญาณที่หลุดออกไปยิ้มเยาะ เหมือนกับว่ากำลังโทษ ‘ตัวเธอ’ เอง

งานมันสำคัญแค่ไหนกันเชียว? สำคัญกว่าลูกสาวอย่างนั้นหรือ?

เกิดเรื่องกับจูจูขนาดนี้ ในตอนนั้นเธอจะต้องตื่นตระหนกและหวาดกลัวกว่าใครๆ ในตอนที่ปีศาจมันออกมา เธอจะต้องกรีดร้องดิ้นรนแค่ไหน เธอคงร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดมากแน่ๆ

แต่ตอนนั้น ‘เธอ’ กลับไปอยู่ที่ไหนกัน? เธอกำลังวิ่งเต้นอยู่กับชีวิตตัวเองยังไงล่ะ!

ในช่วงนี้ที่กล่าวอธิบายถึงชีวิตของจางยวี่ฉิน ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจของ ‘จางยวี่ฉิน’ อย่างความรู้สึกรังเกียจและอาฆาตแค้นอีกด้วย

เธอเกลียดแค้นปีศาจที่ฆ่าจูจู แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่สามารถให้อภัยตนเองได้เช่นกัน ในตอนที่เธอได้เห็นศพของลูกสาว เธอก็ไม่ได้มีท่าทางยับยั้งสติอารมณ์ของตนเองไม่อยู่ และไม่ได้ฟูมฟายร้องไห้จะเป็นจะตาย และไม่ได้คิดที่จะหนีจากตรงนั้นไป

นั่นก็เพราะว่าเธอตั้งใจที่จะกักเก็บความเจ็บปวดแบบนั้นเอาไว้ มันเป็นทรมานที่เธอจะต้องได้รับ

เขียนถึงตรงนี้ นิสัยเบื้องลึกของจางยวี่ฉินก็ค่อยๆ เผยออกมาแล้ว

เธอเป็นคนที่ดื้อรั้นจนถึงขั้นหัวดื้อ เกิดเรื่องขึ้นกับลูกสาว เธอก็ไม่มีความคิดที่จะยอมให้อภัยใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร และมันก็รวมไปถึงตัวเธอเองด้วย

แม้แต่ตัวเองเธอก็ไม่มีที่ให้ ไม่มีลังเลที่จะให้ตัวเองได้รับความทุกข์ทรมาน และนั่นก็นำพามาซึ่งหารแก้แค้นในภายหลังของเธอ

ในตอนที่จ้าวร่างถ่ายมาจนถึงตอนนี้ เขามีท่าทางลังเลไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปเซี่ยเชาฉวินที่ยืนมองจากที่ไกลๆ นั่นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เรียกเอคคูซีฟ ไดเรคเตอร์*ผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินงานการถ่ายทำ มา

“ผู้กำกับจ้าว จะเอาแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?”

“ใช่”

จ้าวร่างพยักหน้า ตอนนี้เจียงเซ่อกำลังเข้าลึกสู่อารมณ์ของตนเองแล้ว ท่าทางแบบนี้ถือว่าทำได้ยากมาก แต่มันก็ยังไม่มากพอ

เขาเคยได้พูดคุยกับผู้เขียนบทและเจ้าของเนื้อเรื่องจริงๆ แล้ว ว่าอยากจะให้ในหนังมีการเพิ่มรายละเอียดเล็กน้อยที่อยู่เหนือจากเนื้อเรื่องจริงๆ บ้าง แต่เพราะว่ากลัวเจียงเซ่อจะไม่ตอบตกลง ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเธอเอาไว้ล่วงหน้า และจริงๆ ในบทก็ไม่มีแบบนี้ด้วย

คนที่แสดงเป็นตำรวจอาชญากรรมยังคงเดินขุดหาไปรอบๆ พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อหาหลักฐานให้มากกว่านี้ พอเอคคูซีฟ ไดเรคเตอร์ได้ยินที่จ้าวร่างสั่งแบบนั้นแล้ว ก็ทำได้แค่ยกกรงขังสัตว์ออกมา

ในกรงนั่นมีหนูอยู่ฝูงหนึ่ง ทีมงานที่อยู่รอบๆ ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวกัน ส่วนจ้าวร่างก็ส่งสายตาให้เจียงเซ่อเป็นนัยๆ ทีมงานในกองถ่ายเองก็ทำตามคำสั่งของเขา เปิดกรงออก และหนูในนั้นก็พากันวิ่งออกมาทันที แล้วเขาก็ก้มตัวลงต้อนให้พวกหนูวิ่งไปที่เจียงเซ่อ

โม่อานฉีที่ยืนอยู่นอกฉากก็เผลอร้องหวีดขึ้นมา เซี่ยเชาฉวินเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

ครั้งแรกหนูไม่ได้วิ่งไปตามทิศอย่างที่จ้าวร่างหวังเอาไว้นัก มันวิ่งไปทางเจียงเซ่อ แต่ก็วิ่งตัดไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ทำเอาหลายๆ คนตกใจวิ่งหลบกันใหญ่ แต่หนูเหล่านั้นก็ถูกจับเข้ากรงอย่างรวดเร็ว

เจียงเซ่อเองก็พอที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของจ้างร่าง แต่จ้าวร่างก็ไม่ได้สั่งให้หยุด กลับเรียกให้คนมาปล่อยหนูอีกรอบด้วยซ้ำ