webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

311

บทที่ 311 ภาพพจน์

หลังจากที่ถ่ายฉากนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวร่างก็เดินเข้ามาทวนบทอีกครั้ง เธอต้องแสดงเป็นจางยวี่ฉินที่ได้รับเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ และการรับรู้ต่อโลกภายนอกก็ลดลงจนแทบไม่เหลือ เธอมองข้ามทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่สนใจแม้แต่ตัวเอง และสายตาก็จดจ้องอยู่แค่ที่จูจู

แต่อารมณ์แบบนี้สื่อออกมาให้ได้รู้อย่างไรกันล่ะ? จ้าวร่างก็เลยใช้วิธีดูแย่ไปเสียหน่อยอย่างการปล่อยหนูออกมา

ในขณะที่ตำรวจอาชญากรรมยังคงทำการค้นหาหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุที่แสนจะย่ำแย่แบบนี้ กลับต้องเจอแต่พวกหนูที่วิ่งไต่ไปมา

พวกหนูวิ่งไปอยู่ตรงหน้าของจางยวี่ฉิน แต่เธอกลับไม่มีท่าทีตกใจเหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เลยสักนิด เธอยังคงต้องรู้สึกขวัญหาย ถึงจะสามารถสื่อให้คนดูยิ่งเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

ท่ามกลางหมู่คน หลิวเย่เองก็ต้องยืนปะปนอยู่กับคนเหล่านั้น ต้องคอยแอบลอบมองด้วยความชอบใจ

จ้าวร่างต้องการให้มันออกมาดู ‘เหี้ยมโหด’ มากจริงๆ ทั้งกลุ่มคนแสดง หนูที่วิ่งไปมา และจางยวี่ฉินที่มีแต่ความ ‘นิ่งเงียบ’ ยิ่งทำให้จางยวี่ฉินเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์จากการเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมากยิ่งขึ้น

จนกระทั่งในตอนที่จ้าวร่างปล่อยหนูเจ็ดแปดตัวให้ออกไปวิ่ง เจ้าหนูขนสีเทาแสนสกปรกนั่นก็วิ่งตัดผ่านขาเธอไป แน่นอนว่าจริงๆ แล้วเธอขนลุกขนพองไปหมดทั้งตัว แต่เธอก็กัดฟันทนเอาไว้

แต่การแสดงของเจียงเซ่อในครั้งแรกนั้นจ้าวร่างยังไม่พอใจนัก เลยสั่งให้ถ่ายใหม่อีกรอบ ถ่ายใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แบบนั้น นอกจากการแสดงของเจียงเซ่อบางจุดที่จ้าวร่างยังไม่พอใจนั้น สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด ก็คือพวกหนูที่วิ่งพล่านไปทั่ว

และเฉพาะฉากนี้ฉากเดียว ก็โดน ‘NG’ ไปกว่าสิบครั้ง และเจียงเซ่อก็เริ่มรู้สึกล้าแล้วจริงๆ แต่เธอก็อดทนผ่านมันมาได้

ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ฉากส่วนของเจียงเซ่อในหนังเรื่อง ‘Evil’ ก็ถ่ายไปได้จนเกือบจะหมดแล้ว และฉากที่เหลือก็ต้องรอให้เธอขุนร่างกายตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมก่อน เพื่อถ่ายฉากในช่วงเริ่มเรื่องนั่นเอง

กว่าจะลดน้ำหนักให้ผอมลงก็ไม่ได้ง่ายๆ และตอนที่จะขุนกลับมาให้เหมือนเดิมอีกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่เผยอี้ติดต่อมาหาเธอ บอกว่าตระกูลเผยได้จัดเตรียมให้เขาเข้าฝึกซ้อมพิเศษอีกครึ่งเดือน ดังนั้นเขาจะกลับตี้ตูได้ก็ประมาณปลายเดือนสิงหาคม

ในตอนที่เจียงเซ่อได้รับสายจากเขา ก็พอจะเดาๆ ได้ว่าตระกูลเผยตั้งใจวางแผนเอาไว้อยู่แล้ว

ความตั้งใจที่อยากจะให้ลูกชายของตระกูลได้มีหน้ามีตาและประสบความสำเร็จเธอเข้าใจมันดี แต่เธอมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ ที่จริงหลายเรื่องก็พอที่จะเดาๆ ได้บ้างแล้ว

เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่เด็กสาวอายุยี่สิบจริงๆ สำหรับความตั้งใจของตัวตระกูลเผยเธอเองก็พอจะเข้าใจ

วันหยุดของเผยอี้มีน้อยมากจริงๆ ตั้งแต่ที่เข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารกว่างโจว เวลาที่ได้กลับมาตี้ตูก็น้อยลงทุกทีๆ การเจอหน้ากันของทั้งสองคนก็น้อยลงไปด้วย

อาจเป็นเพราะว่าตระกูลเผยต้องการใช้วิธีนี้ เพื่อที่จะทำให้เธอและเผยอี้ค่อยๆ ห่างกันไป

แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้จักนิสัยของเผยอี้ดี รู้ว่าเขาเป็นคนหัวรั้น ก็เหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ที่เขายืนหยัดต่อเฝิงหนานมาเสมอ ถึงตอนนั้นจะยังเด็ก แต่ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้

ถึงเผยอี้จะยังเด็กแต่ก็มีความหยิ่งยโสในตัวเองสูง ถ้าหากว่าใช้วิธีที่หักดิบเกินไปในการทำให้ทั้งสองคนต้องแยกกัน ก็อาจจะเกิดการต่อต้านขึ้นมาได้ ผลลัพธ์จะได้ไม่เท่ากับวิธีนี้ วิธีที่เหมือนกับการค่อยๆ ใช้มีดเฉือนเนื้อออก รอจนทั้งสองคนเกิดนึกขึ้นมาได้ ก็กลับพบว่ายิ่งเดินต่อไปมันก็ยิ่งไกลห่าง และกลายเป็นเส้นทางของคนที่ไม่รู้จักกันไปเสียแล้ว

ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจ แต่แค่อยากจะลองโอบอุ้มความหวังนี้สักครั้ง เธอเป็นคนที่ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆ ไปกับความรู้สึก แต่ในขณะที่ตั้งใจก้าวผ่านไปทีละขั้นก็จะไม่ยอมเสียเผยอี้ไปด้วย

ในตอนนี้ที่เกิดนึกถึงขึ้นมา หลังจากที่บินกลับมาที่ตี้ตูแล้ว และโม่อานฉีก็ถามว่าอยากจะให้ไปส่งเจียงเซ่อที่บ้านก่อนไหม เจียงเซ่อกลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ

“เดี๋ยวไปส่งฉันที่บ้านของเผยอี้ก่อนนะคะ ขอเวลาฉันเก็บของแปบหนึ่ง แล้วไปส่งฉันที่ห้องเช่าแบบนั้นดีกว่า”

ครั้งนี้ที่กลับมาจากมณฑลซีหนาน แค่ต้องทำงานถ่ายหนังในทุกๆ วันเจียงเซ่อก็ทนเหนื่อยมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้มีเวลาผ่อนคลายเสียที และเธอก็ได้ปล่อยกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่วางเอาไว้ให้ตัวเองในก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น และปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนขี้เกียจไประยะหนึ่ง

โม่อานฉีรู้สึกแปลกใจต่อการตัดสินใจของเธอไม่น้อย มีเพียงเซี่ยเชาฉวินที่มองเธอ แล้วเอ่ยขึ้น

“วันสองวันนี้เธอก็พักผ่อนให้มากๆ ล่ะ ตั้งใจรักษาตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็พอ”

หนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ โดนผลกระทบก็เพราะว่าเจียงเซ่อต้องมาถ่ายเรื่อง ‘Evil’ ก่อน ดังนั้นจ้าวร่างก็ได้เจรจาไปเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว ว่าหนังเรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนกันยายนแทน เท่ากับว่าจะพลาดนาทีทองในช่วงฤดูร้อนไป

แต่ตอนนี้มันก็ใกล้เข้าเดือนกันยายนอีกไม่ไกลแล้ว อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการเข้าฉาย ก็ต้องมีช่วงออกโปรโมทหนังก่อน เจียงเซ่อจึงมีเวลาหนึ่งเดือน ที่จะทำให้ร่างกายกลับมาเป็นเหมือนเดิม สำหรับเธอแล้วก็ถือว่าเป็นหน้าที่อันหนักอึ้งของเธออีกเรื่องเลยทีเดียว

ในตอนที่กลับมาถึงบ้านเผยอี้ โม่อานฉีเองก็ลงมาช่วยเธอเก็บของบางส่วนด้วย

ห้องที่เจียงเซ่อเคยเช่าอยู่ในตอนนั้นถูกพวกนักข่าวเปิดเผยไปแล้ว เลยตัดสินใจที่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ ‘ชั่วคราว’ แต่กว่าจะทำอะไรให้เข้าร่องเข้ารอยได้ หลังๆ มาจึงอยู่มานานขนาดนี้

เผยอี้เองก็ออกไปเรียนที่อื่นแล้ว ที่นี่จึงเหลือแค่เธอที่อาศัยอยู่

ที่บ้านตระกูลเผยเองก็คงจะรู้เรื่องนี้กัน จึงไม่ได้มีการส่งคนมาดูแลที่นี่เลย และในอนาคตก็ต้องการจะให้ทั้งสองคน ‘เลิกกัน’ ก็เลยถือว่าให้อยู่บ้านนี้ไปเป็นการปลอบใจชดเชยล่วงหน้า

แต่สำหรับเจียงเซ่อแล้ว ค่าตัวของเธอในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะซื้อบ้านสักหลังไม่ได้ สำหรับเธอแล้วความหมายของที่นี่ มันก็เป็นเพราะเผยอี้เท่านั้นเอง

เพิ่งอยู่ได้ไม่นาน แต่เธอกลับพบว่าของของตัวเองมันมีไม่น้อยเลย เธอกับโม่อานฉีต้องลากกระเป๋าเดินทางมาคนละสองใบเลยด้วยซ้ำ เธอคิดๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่เดินผ่านห้องรับแขกนั่นเอง ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมา

เธอหันหน้าไปมอง ตู้กระจกตู้หนึ่งที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก เต่าสองตัวที่โตขึ้นไม่น้อยแล้วกำลังแย่งกันปีนขึ้นก้อนหินก้อนหนึ่ง เวลาที่ปีนขึ้นมีเสียงกระทบดัง ‘แต๊ก แต๊ก’ ขึ้นมา

เผยอี้เป็นคนซื้อเจ้าเต่าสองตัวนี้มา แต่เพราะว่าเขาต้องไปเรียนที่กว่างโจว หน้าที่การดูแลเจ้าเต่าจึงตกเป็นของเธอ นี่ก็เลี้ยงมาได้หนึ่งปีกว่าแล้ว

ในทุกๆ วันจะมีคนคอยมาทำความสะอาดบ้าน และในตู้เย็นก็จะมีอาหารของเจ้าเต่าและมีคนมาป้อนให้มันกินเสมอ ถึงแม้ว่าเธอจะย้ายออกไปแล้ว เจ้าเต่าสองตัวนี้ก็คงจะไม่อดกันอยู่แล้ว

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในตอนที่โม่อานฉีมองเธออย่างแฝงด้วยการเร่งอย่างเงียบๆ นั้น เจียงเซ่อกลับถอนหายใจออกมา แล้วปล่อยมือออกจากกระเป๋า

“ฉันจะเอาเต่าไปด้วยนะคะ”

ตอนที่เผยอี้ซื้อเต่ามาแรกๆ ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้ชอบพวกสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนี้นัก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกยากที่จะทิ้งมันเอาไว้แบบนี้

ใบหน้าของเธอดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร แต่โม่อานฉีก็พอจะรู้สึกได้ว่าในใจของเธอตอนนี้ไม่ค่อยโอเคนัก

“เซ่อเซ่อ เธอทะเลาะกับคุณเผยอย่างนั้นหรือ?”

โม่อานฉีนึกถึงตอนก่อนหน้านี้ที่เจียงเซ่อได้รับโทรศัพท์จากเผยอี้ ตอนนั้นที่รับสาย เจียงเซ่อก็ยังคุยและยิ้มหัวเราะอยู่เลย แต่พอคุยเสร็จแล้ว เธอก็กลับมาเงียบและนิ่งไปกว่าเดิมมาก

เจียงเซ่อเพียงแค่ส่ายหน้า และไม่ได้อธิบายหรือพูดอะไรมากกว่านั้น

แม้แต่หน้าของเผยอี้เจียงเซ่อก็ไม่ได้เห็นมานาน แล้วจะทะเลาะอะไรกันได้ล่ะ? แต่ก็พูดจากใจเลยว่าในตอนนี้รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ สุดท้ายแล้วอาจจะเป็นเพราะว่าเกิดความรู้สึกแย่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้

ตอนนั้นที่เจียงเซ่อเริ่มคบหากันกับเผยอี้ จริงๆ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ได้

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ หลังจากที่เกิดใหม่มา นอกจากอิสระที่ได้มาแล้ว ก็ยังมีฐานะของเธอและเผยอี้ที่แตกต่างกันอีกด้วย

จู่ๆ เธอก็รู้สึกแย่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

หลังจากนี้ถึงแม้ว่าเซี่ยเชาฉวินจะไม่ได้วางตารางงานให้เธออีก แต่การเรียนเต้นและการเสริมความงามในทุกๆ วันก็ไม่ได้ลดหย่อนลงแต่อย่างใด ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็เริ่มกลับมากินตามหลักโภชนาการโดยมีนักโภชนาการมาคอยแนะนำเหมือนเดิม

ยุ่งวุ่นวายแบบนี้อยู่พักหนึ่ง ก็ล่วงเลยมาถึงต้นเดือนกันยายน เจียงเซ่อเพิ่มน้ำหนักมาได้สามกิโลครึ่งลำบากและยากไม่น้อยไปกว่าตอนที่ลดน้ำหนักเลย แต่เจียงเซ่อคิดว่ามันหนักกว่าตอนที่ลดด้วยซ้ำ

แต่สุดท้ายเผยอี้ที่นัดว่าจะกลับมาตอนปลายเดือนสิงหาคม ก็ถึงช่วงเปิดเทอมใหม่พอดี เขาก็เลยกลับมาที่ตี้ตูไม่ได้