webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

308

บทที่ 308 รวมตัวกัน

เติ้งไห่ยังเอาแต่พูดไปเรื่อยๆ จางยวี่ฉินอุ้มของที่จูจูทิ้งเอาไว้ และเพราะเว่ยจั้วลืมบทตรงนี้ เลยโดน ‘NG’ ไปอีกสองครั้ง บวกกับที่เขาพูดบทออกมาได้ไม่ดีพอ แถมจ้าวร่างก็ยังคอยจับผิดช่างคุมไฟอยู่ตลอดเวลา ต้อถ่ายใหม่ถึงห้าครั้งถึงจะผ่าน

ช่างกล้องเดินเข้าไปในบ้าน ซีนต่อไปเป็นจุดที่เมื่อวานลองเดินมาแล้ว ช่างไฟมาตรวจสอบแสงไฟเรียบร้อยแล้ว แต่เป็นเพราะเวลา ทำให้ล่าช้าไปอีก

จนกระทั่งรอจนเริ่มถ่ายได้อีกครั้ง เวลาก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว

แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องเข้ามาใต้ชายคาบ้าน ทำให้เงาของจางยวี่ฉินที่ยืนอยู่หน้าบ้านยืดยาวออกไป

“ยวี่ฉิน พวกเรา พวกเราหย่ากันเถอะ”

เติ้งไห่พูดอยู่นาน สุดท้ายก็พูดส่วนที่สำคัญที่สุดออกมา

“จูจูก็หายไปแล้ว สำหรับฉันและเธอแล้ว มันต่างก็เป็นบาดแผล” นอกบ้านมีตากล้องอยู่คนหนึ่ง จับภาพไปที่ใบหน้าของเว่ยจั้ว ใบหน้าของเขาที่อยู่ใต้แสงไฟ ทำให้ภาพที่ออกมาดูเป็นเงามืด

“ยิ่งพวกเราต้องเจอกันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ต้องนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา และฉันก็ทนมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

เขาพูดอะไรมามากมาย เส้นผมที่ห้อยค้างอยู่บนหน้าผากของจางยวี่ฉินตกลงมา กระดูกใบหน้าของเธอมันนูนเด่นออกมาอย่างชัดเจน ปลายคางของเธอมันเล็กจนดูเปราะบางก่อนหน้านี้เติ้งไห่พูดอะไรบ้าง ที่จริงเธอก็ไม่ได้สนใจที่จะฟัง จนกระทั่งเขาบอกว่า ‘หย่า’ กันเถอะ เธอก็ทำแค่พยักหน้า ตอบตกลงออกไปเบาๆ

“ได้สิ”

น้ำเสียงของเธอราวกับไม่ยินดียินร้าย ราวกับว่าไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้อะไร เธอหลับตาลง แต่ท่าทางและอารมณ์ของเธอก็ยังดูเข้มแข็งและเมินเฉย

ในกล้อง ใบหน้าของเจียงเซ่อในตอนนี้มันดูไม่แยแสแต่ก็เต็มไปด้วยความซึมเศร้า ทั้งที่จริงๆ อายุเธอก็ไม่ได้เยอะอะไร แต่มันก็ดูพอดีมากเมื่อเข้ากล้อง มันทำให้สัมผัสได้ถึงจิตใจของเธอที่มันได้กลายน้ำนิ่งไปแล้ว ยากที่จะวนมันให้เกิดคลื่นได้

ตอนนี้เธอไม่ได้แค่แสดงเป็นจางยวี่ฉินแล้ว ในสายตาของจ้าวร่าง เธอก็คือจางยวี่ฉิน ไหล่ที่ห่อตกลง หรือแม้แต่ตอนที่เธอกระตุกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้ม แต่สายตาที่ทอแสงออกมามันก็ดูเหนื่อยล้าเต็มที เธอแสดงเป็นหญิงสาวที่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานได้อย่างสมจริงสมจังมาก

ลูกสาวเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้ เธอตกและติดอยู่ในฝันร้าย และฝังความแค้นเอาไว้ลึกๆ ในจิตใจ เธอกลับบ้านมาเพื่อหาร่องรอยของลูกสาว แต่กลับต้องมาเจอกับสามีที่ยังไม่หย่ากัน เพียงแค่ในระยะเวลาไม่กี่เดือน เขาก็เดินออกไปจากเงามืดได้แล้ว

ที่จริงซีนนี้ความรู้สึกของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องรุนแรงมาก จางยวี่ฉินรักลูกมากๆ ในตอนที่เธอต้องกลับมาที่ที่ทำให้ต้องเสียใจแบบนี้ เธอเองก็รู้สึกสับสนไปหมด เธอเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูกสาวของเธอแน่ๆ และเธอก็รู้สึกได้ว่าทั้งชีวิตนี้ลูกสาวเธอคงไม่มีวันที่จะกลับมาอีก

ถึงแม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เธอเลือกมันจะยากลำบากและเสี่ยงอันตรายแค่ไหน แต่เมื่อลองคิดไปข้างหน้าดูแล้ว เธอก็สาบานว่าจะต้องลากตัว ‘ปีศาจ’ ที่มันพาตัวลูกสาวเธอไปให้ได้

แต่ในทางกลับกัน เติ้งไห่เองก็เสียใจไม่น้อย แต่เขาได้แสดงความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาสู่ภายนอกแล้ว เรื่องราวโชคร้ายเหล่านี้ แต่แค่การแสดงออกของเขามันหนักแน่นมากกว่าจางยวี่ฉินเท่านั้นเอง

เมื่อลองดูจากภายนอกแล้ว เขาก็ดูเหมือนว่ายังคงใช้ชีวิตไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง ไม่ได้มีสภาพเหมือนศพเดินได้แบบนี้ ไม่มีอาการโรคประสาท เวลาที่ยืนอยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้าน ก็ยังสามารถพูดคุยกันได้เหมือนเดิม

ตามบทหนังหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับจูจูแล้ว ก็เป็นเขาที่วิ่งเรื่องไปแจ้งตำรวจ เพื่อให้พวกเขาช่วยออกตามหาให้ และรอการตอบกลับมาของทางตำรวจ

แต่เมื่อลองเทียบกับจางยวี่ฉินที่เอาแต่จมอยู่กับความเสียใจแบบนั้นแล้ว เขาก็ได้พยายามอย่างมากที่จะหลีกหนี

เกี่ยวกับเรื่องหลังจากเกิดเรื่องของจูจูขึ้น สิ่งแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการเปลี่ยนกุญแจบ้าน ที่เขาทำแบบนั้นก็ถือว่าเป็นการแอบซ่อนเพราะกลัวว่าเรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะทำให้ตัวเองสบายใจขึ้น เขาคบกับแฟนสาวคนใหม่ และจัดการจัดข้าวของในบ้านใหม่ทั้งหมด

ราวกับว่าจะไม่มีทางเห็นเรื่องราวหรือสิ่งของเก่าๆ อีกต่อไป ไม่ต้องเห็นอะไรที่เคยเกี่ยวข้องกับวันเก่าๆ และเขาก็จะได้ลืมเรื่องราวชีวิตที่ผ่านไปในช่วงนั้นเสียที

จางยวี่ฉินและเติ้งไห่สองสามีภรรยาคู่นี้ เพียงแค่ฉากไม่กี่วิที่ถ่ายไป แต่ก็สามารถรู้ถึงนิสัยที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน

ทีมงานกองถ่ายได้คำนวณเอาไว้ว่าจะอยู่ที่นี่แค่สามวัน และในสามวันนี้เจียงเซ่อจะต้องถ่ายซีนของจางยวี่ฉินที่ต้องใช้สถานที่ถ่ายทำตรงนี้ให้หมด

พอนำไปเข้าขั้นตอนการตัดต่อฉากที่ถ่ายไปก็อาจจะสั้นจนเหลือแค่ไม่กี่สิบนาที แต่มันกลับทำให้เจียงเซ่อรู้สึกเหนื่อยล้าเอามากๆ็

เธอต้องตากแดด ต้องไปรื้อกระท่อมที่ทีมงานได้สร้างเอาไว้ให้ ซีนนี้จะเป็นซีนที่จางยวี่ฉินกลับมาที่บ้านเพื่อหาร่องรอยเบาะแส และจะถ่ายมันในตอนบ่าย เพราะงั้นทำให้มันสูบพลังจากเจียงเซ่อไปมากโข

จ้าวร่างเองก็คอยกำกับการแสดงของเธออย่างเข้มงวด ดังนั้นตอนที่ถ่ายซีนนี้กัน ก็ไม่มีอะไรพอให้เอาไว้ป้องกันตัวเลย และทั้งการรื้อบ้านกระท่อมเจียงเซ่อก็ต้องทำเองด้วย

เสื้อผ้าที่เธอต้องสวมใส่ก็หนาหลายชั้น เหงื่อก็ออกเร็วเหลือเกิน ทุกครั้งที่รื้อกองหญ้าเสร็จ พวกต้นหญ้าเหล่านั้นก็บาดมือเธอจนเป็นแผลเล็กบ้างใหญ่บ้างเต็มไปหมด และเพื่อทำให้หนังมันดูสมจริงสมจังมากขึ้น ตอนที่ถ่ายจริงเจียงเซ่อก็ต้องแสดงทำเป็นว่าไม่รู้สึกเจ็บอีก เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดจากคาแรคเตอร์ของจางยวี่ฉินที่ต้องตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่จะตามหา ‘ปีศาจ’ ให้เจอ จนมองข้ามความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองไป

ถึงแม้ว่าจะคำนวณเอาไว้ว่าจะใช้เวลาถ่ายทั้งหมดสามวัน แต่เพราะเหตุนู้นเหตุนี้ ฉากที่ต้องถ่ายทั้งหมดก็ใช้เวลาไปกว่าห้าวัน

เจียงเซ่อได้มีเวลาพักสองวัน และหลิวเย่ก็เพิ่งบินมาถึงที่มณฑลซีหนาน และเข้ามาพบกับทุกคนทันที

ทั้งจ้าวร่าง เจียงเซ่อและหลิวเย่ต่างก็พากันพูดถึงซีนต่อไปที่ต้องถ่ายกัน และกองถ่ายก็เพิ่งได้เริ่มเข้าการถ่ายทำจริงๆ เสียที

สถานที่ถ่ายทำได้ถูกเซตอัพขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ซีนต่อไปที่ต้องถ่ายก็คือตอนที่หลิวเย่และเจียงเซ่อได้เจอกันเป็นครั้งแรก

ศพของจูจูถูกพบแล้ว และเธอก็โดนทำร้ายมาก่อน หลังจากที่ศพของเธอถูกแยกชิ้นส่วนออกแล้ว ก็นำใส่ลงในกระเป๋าและโยนทิ้งในที่ที่ไม่ค่อยมีใครเดินเข้าไปอย่างริมแม่น้ำ

อุปกรณ์และของทุกอย่างทีมงานได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับใส่ลงไปในกระเป๋าใบใหญ่ เจียงเซ่อและหลิวเย่ได้พูดคุยเกี่ยวกับซีนที่ต้องแสดงด้วยกันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว ส่วนทิศทางเดินก็จำตำแหน่งกล้องก็พอ

นักแสดงติดตามที่ทางทีมงานได้ว่าจ้างมาก็อยู่ที่นี่แล้ว หลายๆ คนเองก็กำลังจดจ้องมาที่หลิวเย่กันอย่างตื่นเต้น

เขาสวมแว่นดำ และสวมหมวกเบสบอล มือข้างหนึ่งถือขวดน้ำแร่เอาไว้ ส่วนหยางป๋อซีก็ถือพัดลมขนาดเล็กเอาไว้ให้เขา แต่ถึงจะทำแบบนั้น เหงื่อของหลิวเย่ก็ยังออกอยู่ดี

“ที่นี่ร้อนมากจริงๆ นะครับ”

ตอนที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ทีมงานก็รีบหยิบน้ำแร่แช่เย็นออกมา แล้วส่งให้กับหลิวเย่และเจียงเซ่อ

เจียงเซ่อรับมาพร้อมกับบอกขอบคุณออกไป แต่หลิวเย่ก็สังเกตเห็นว่าเจียงเซ่อไม่ได้แกะฝาออกเลยด้วยซ้ำ แต่กลับทาบขวดน้ำลงบนใบหน้าแทน

ไม่ใช่ว่าเธอไม่หิวน้ำ เพราะดูจากริมฝีปากที่แห้งผากขนาดนั้นก็รู้แล้ว

เซี่ยเชาฉวินยืนอยู่ข้างหลังเธอ ราวกับว่าไม่เห็นว่าเจียงเซ่อกำลังทำอะไรอยู่

ครั้งนี้ที่หลิวเย่ได้มาเจอเจียงเซ่อที่ซีหนาน เขาก็พบว่าเจียงเซ่อดูซีดเซียวและเหี่ยวแห้งเสียยิ่งกว่าตอนที่เจอที่ตี้ตูอีก แต่คงเป็นเพราะครีมกันแดดทำหน้าที่ของมันได้ดี ผิวของเธอก็เลยยังไม่โดนแดดเผาจนคล้ำไปเสียก่อน แต่ในตาของเธอมีรอยเส้นเลือดฝอยขึ้นอย่างชัดเจน และริมฝีปากก็แห้งผาก

เซี่ยเชาฉวินเป็นคนที่ดูแลนักแสดงในสังกัดอย่างเข้มงวดไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับยอมให้เธอทำตามใจตนเองเสียอย่างนั้น ไม่มีการคัดค้านสักคำ ถือว่าเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากจริงๆ

เจียงเซ่อสวมชุดเดรสผ้าฝ้ายกระโปรงยาวถึงตาตุ่ม ด้านบนสวมเป็นเสื้อกล้าม และคลุมทับด้วยผ้าคลุมอีกที เธอกอดอกเอาไว้แน่น และบนหัวก็มีหมวกกันแดด บริเวณใกล้ๆ ที่ถ่ายทำนั้นล้วนแล้วเป็นพื้นที่ว่าง ไกลออกไปหน่อยคือโรงงาน ไม่ว่าจะทิศไหนก็เป็นโรงงานทั้งหมด

ทีมงานได้เลือกสถานที่ที่จะถ่ายทำเป็นริมแม่น้ำที่ค่อนข้างแห้งขอด ไกลๆ นั่นมีสะพานหินด้วย ตอม่อสะพานค่อนข้างที่จะเก่าแล้ว และมีหญ้าเถาวัลย์ขึ้นมาเต็มไปหมด

น้ำสีน้ำตาลไหลผสมมากับเงาของน้ำ หินคอบเบิลที่อยู่บนพื้นถูกโรงงานปล่อยน้ำเสียออกมาจนกลายเป็นสีเหลือง ในวันอากาศร้อนๆ แบบนี้ทำให้มีแมลงวันบินวนผ่านไปมามากมาย ยิ่งทำให้ได้เห็นถึงความสกปรกและความน่าอึดอัดของสภาพแวดล้อมแบบนั้น