บทที่ 305 ฝีมือการแสดง
และเพราะเจียงเซ่อเป็นคนที่มีผิวพรรณดีอยู่แล้ว เลยต้องพึ่งพาฝีมือของช่างแต่งหน้าเท่านั้น
หล่อนทาเบสไพร์มเมอร์ให้เจียงเซ่อก่อน จากนั้นก็ค่อยลงรองพื้นลงไป นี่ถือว่าเป็นงานใหญ่พอสมควร เพราะนอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว ก็ยังต้องลงที่แขน ฝ่ามือ นิ้วมือและขาด้วย
รองพื้นก็ต้องระวังเรื่องสีเบอร์ให้ดี ช่างแต่งหน้าและผู้ช่วยเลือกหากพวกมันอยู่สิบกว่าอัน ถึงจะทำงานนี้ออกมาได้สำเร็จ
ไม่รู้ว่าจ้าวร่างมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้เจียงเซ่อเองก็ปิดตาเอาไว้ตลอดเพราะแต่งหน้า พอลืมตาขึ้นมาก็เจอจ้าวร่างที่กำลังยืนกอดอกมองพิจาณาตัวเธอผ่านกระจกอยู่แล้ว และก็ดูจะพอใจกับใบหน้าของเจียงเซ่อที่ถูกแต่งให้ดูซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าพอใจ
แต่ทว่าช่างแต่งหน้ากลับมีท่าทางกังวลในตอนที่ลอบมองไปยังอีกคนที่กำลังยืนกอดอกอย่างเซี่ยเชาฉวิน ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่การที่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น บรรยากาศก็ดูน่ากดดันมากแล้ว
เจียงเซ่อเป็นดาราในความดูแลของหล่อน พอแต่งหน้าออกมาแบบนี้แล้วก็ทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงๆ ของเธอขึ้นมาในระดับหนึ่ง และแบบนั้นก็อาจจะเป็นการทำลายภาพพจน์ของดาราไปเลยก็ได้ ช่างแต่งหน้ากลัวว่าจะโดนจับผิดหรือสั่งให้หยุดทำ แต่ตั้งแต่ที่หล่อนเริ่มแต่งขึ้นมาจนมาถึงตอนนี้ ทั้งเซี่ยเชาชวิน โม่อานฉีและเจียงเซ่อ ต่างก็ไม่มีใครบอกให้หล่อนหยุด
และนั่นก็ทำให้ช่างแต่งหน้ารู้สึกโล่งอกไปด้วย หล่อนหยิบแว่นตาขึ้นสวม แล้วลองพิจารณาอีกนิด ก่อนที่จะลงเงาบริเวณรอบดวงตาของเธอเพิ่ม และลงสีม่วงอ่อนบริเวณเปลือกตาเธอเพิ่มด้วย และแต่งให้เหมือนว่ามีถุงใต้ตาเพิ่มขึ้นมา
เธอผอมลงไปมาก กรอบหน้าก็เล็กลง ทำให้ดวงตาของเธอดูใหญ่ขึ้น บวกกับถุงใต้ตาที่แต่งขึ้นมาแล้ว ทำให้ดูมีอายุและดูเหนื่อยล้ามากขึ้น
“ดีมาก” จ้าวร่างมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ตอนนี้ในกระจกปรากฏภาพของหญิงสาวรูปร่างผอมแห้งและดูอ่อนระโหยโรยแรงสุดๆ คนหนึ่ง ผมถูกปล่อยสยายออก เพราะว่าแต่งถุงใต้ตาไปแล้ว ทำให้สภาพโดยรวมดูซึมเซาและดูไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม จ้าวร่างคิดอะไรนิดหน่อย “เพิ่มรอยตีนกาเข้าไปหน่อย แล้วก็” เขาเดินวนดู แล้วยื่นนิ้วชี้ไปที่ดวงตาของเจียงเซ่อ
“เพิ่มความคล้ำของตาเพิ่มด้วย”
หลังจากที่จางยวี่ฉินสูญเสียลูกสาวไป จะต้องมีอาการนอนไม่หลับ และในบทหนังก็มีเขียนเอาไว้เช่นกัน เธอนอนไม่หลับในเกือบทุกๆ คืน แน่อยู่แล้วว่าเธอคงหลับไม่ลง เพราะทุกครั้งที่หลับเธอก็มักจะได้ยินเสียงหวานๆ ของลูกสาวที่กำลังเรียกตัวเองว่า ‘คุณแม่’
ดังนั้นทำให้อาการอดหลับอดนอนของเธอมันหนักขึ้นเรื่อยๆ อาการขอบตาดำก็ต้องหนักเช่นกัน
ช่างแต่งหน้าพยักหน้า แต่ก็ลงมือแต่งเพิ่มอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
พอเติมรอยคล้ำใต้ตาเข้าไปแล้ว สีหน้าท่าทางของเธอก็ยิ่งดูซึมเศร้าและอึมครึมเข้าไปอีก กลายเป็นคนที่ดูห่อเหี่ยว บลัสออนคอนทัวร์ก็เป็นสีเข้ม พอแต่งรายละเอียดเสร็จแล้ว เจียงเซ่อก็มองตัวเองในกระจก จะมุมไหนก็ยังเป็นเธอ แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีก
“ผมนี่ก็ต้องดูให้ดีๆ เหมือนกันนะ”
หลังจากช่างแต่งหน้าทำให้จ้าวร่างพอใจแล้ว สายตาของเขาก็มองไปที่เรือนผมของเจียงเซ่ออีก เพราะว่าเส้นผมของเธอถูกดูแลมาดีมากๆ แต่ทว่าผมของจางยวี่ฉินไม่จำเป็นต้องการการดูแล โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับลูกสาวตัวเองแล้ว เธอก็ไม่มีเวลาที่จะหันกลับมาดูและตัวเองอีก ดังนั้นช่างทำผมจึงทำให้ผมของเจียงเซ่อดูยุ่งเหยิงขึ้นอีก จากนั้นก็ค่อยรวบเป็นช่อเดียว และปล่อยให้เส้นผมตกลงไปบริเวณหน้าผาก และตามความต้องการของจ้าวร่าง ช่างแต่งหน้าก็ได้ใช้มาสคาร่าสีเทาขาวมาทาลงบนผมของเธออีกด้วย ทำให้เหมือนว่าเธอมีผมขาว และเติมรายละเอียดอีกเล็กๆ น้อยๆ ตามความต้องการของจ้าวร่าง
จนกระทั่งแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมากว่าเกือบสองชั่วโมง ตอนนี้แดดข้างนอกกำลังร้อนระอุได้ที่ เจียงเซ่อนั่งอยู่นานแล้ว ก็เอื้อมมือออกไป
ทีมงานของกองถ่ายก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง เธอนั่งอ่านบทอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อที่จะทำให้ริมฝีปากของตัวเองมันดูแห้งขาดน้ำเหมือนอย่างในบทหนังที่สุด ตั้งแต่เช้าจนมาถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะหิวน้ำแค่ไหนก็ตาม เจียงเซ่อก็ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด
รอจนทีมงานของกองถ่ายเช็คดูแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จ้าวร่างก็ทำสัญญาณมือขึ้น ผู้ดูแลสคริปก็ตะโกนผ่านโทรโข่งขึ้นมา เจียงเซ่อเดินไปยังจุดแรกที่กล้องจะเริ่มถ่าย และส่งสัญญาณว่าตนเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน
รอบแรกเป็นการลองถ่าย เจียงเซ่อเดินไปตามจุดต่างที่เดินเมื่อวานเหมือนเดิม นักแสดงคนอื่นเองก็เริ่มเดินตามเข้าไป ช่างไฟเองก็ต้องจดจำจุดเดินของแต่ละคนเอาไว้เช่นกัน ตากล้องเองก็ได้จัดมุมกล้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งคิดว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เจียงเซ่อก็เติมหน้าอีกครั้ง ซ้อมแสดงกันจนถึงบ่ายโมงกว่า การถ่ายทำจริงๆ ก็ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ
เพราะว่าสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และมุมแสงต่างๆ นอกจากจะต้องติดไมค์เอาไว้แล้ว ผู้ช่วยอัดเสียงก็ยังต้องคอยดูแลจัดการเรื่องหูฟังไร้สายให้เธออีกด้วย ต้องคอยใส่มันลงไปในเสื้อเพื่อซ่อนมันเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตอนจัดปรับเสียงในภายหลังมันหลุดออกไป พอทำเสร็จแล้วก็ถอยออกมาจากฉากถ่ายทำไป
ที่จริงตั้งแต่ตื่นเช้ามาจนถึงตอนนี้ เจียงเซ่อก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด นี่ก็เลยเที่ยงไปแล้ว แถมยังแต่งหน้าแต่งตัวขนาดนี้ ถ้าวันนี้ถ่ายไม่เสร็จละก็ แน่นอนว่าคงกินข้าวไม่ลงแน่ๆ
เธอค่อยๆ เดินเข้าฉาก แล้วนึกถึงความรู้สึกของจางยวี่ฉินที่ได้กลับเข้ามาเหยียบในบ้านเก่าอีกครั้ง เธอก้มหัวลง หัวไหล่ก็ตกและห่อเข้าหากัน และนั่นก็ยิ่งทำให้ดูรู้สึกท้อถอยกว่าเดิมมาก
เสียงเดินของเพื่อนบ้านค่อยๆ ดังขึ้นมารอบๆ ตัวเธอ ราวกับว่าจำเธอได้ เหมือนกับว่ากำลังจะเอ่ยทักทายเธอ แต่เธอกลับมีท่าทางเลื่อนลอยเหมือนกับไร้วิญญาณ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนบ้านที่ทักทายเธอเลยสักนิด
คนเหล่านั้นต่างมองเธอด้วยสายตาเห็นใจ เธอรู้ดี พวกเขาเองก็คงคิดว่าต้องเกิดเรื่องกับจูจูของเธอแน่ๆ
ตากล้องยังคงแบกกล้องตามเธอไปอย่างต่อเนื่อง โดยการนั่งรถรางไปเรื่อยๆ และไหลไปจนมุมกล้องอยู่ตรงหน้าเธอ
จ้าวร่างนั่งอยู่ไกลๆ สายตาจ้องใบหน้าของเจียงเซ่อผ่านจอมอนิเตอร์ ตอนนี้แววตาของเธอเป็นเหมือนกับคนไร้ชีวิต ราวกับเป็นคนที่ตายไปแล้ว
วันนั้นที่สำนักงานของหลิวเย่ จ้าวร่างเองก็ได้เคยเห็นการแสดงที่แสนน่าสนใจของเธอมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนั้นที่เธอต่อบทกับหลิวเย่ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นแค่แจกันสวยๆ เอาไว้ประดับ และทำให้หลิวเย่ยอมตกลงที่จะร่วมงานด้วย
แต่การแสดงของเจียงเซ่อในวันนี้ไม่ได้แย่ไปกว่าวันนั้นเลย และถึงขนาดที่ดีกว่าด้วยซ้ำ
ความรู้สึกที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวที่เลวร้าย ราวกับว่ามันออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอ ราวกับว่าดึงมันออกมาจากหัวใจแล้วแสดงออกมาให้เห็น มุมกล้องถ่ายใบหน้าเธอตรงๆ เก็บสีหน้าและอารมณ์ของเธอผ่านกล้องมาทั้งหมด สายลมพัดปะทะกับเส้นผมของเธอ ฝีเท้าของเธอก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งถ่ายไปได้เกือบยี่สิบวินาที ตาของเธอก็ยังไม่กะพริบเลยสักครั้ง และเธอก็ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความรู้สึกว่างเปล่าแบบนั้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ขบริมฝีปากตัวเอง เก็บเอาความเมินเฉยเอาไว้ในความแข็งกร้าว ราวกับว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้ซึ่งชีวิตเหมือนในวอร์คกิ้ง เดด เธอแสดงออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจจริงๆ!
“เยี่ยมมาก!”
จ้าวร่างกำมือแน่นข้างหนึ่ง แล้วชกเข้าไปในมืออีกข้างขอองตัวเอง เธอเก็บรายละเอียดได้ดีมากๆ ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ และฝีเท้าที่ก้าวเดินก็หนักหน่วง กับชุดตัวใหญ่กว่าตัวที่สวมใส่อยู่ ท่าทางที่แสดงออกมาโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ เธอแสดงความคับแค้นที่มันอัดอั้นอยู่ในใจออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจเลยทีเดียว
“OK!”
จ้าวร่างโบกมือไปมา ซีนนี้แทบไม่ต้องเสียเวลาอะไรมากเลย ทำให้ได้ถ่ายซีนต่อไปทันที
ซีนต่อไปคือซีนที่เธอกลับมาถึงที่บ้านของครอบครัวเติ้งแล้ว และเป็นซีนที่ต้องมีการสนทนากับเติ้งไห่ด้วย
คนรอบๆ ต่างก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวเติ้ง และเกิดกับจูจูลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้าน ตั้งแต่ที่รู้เรื่องนี้กัน จางยวี่ฉินก็กลับบ้านน้อยลงทุกที ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เธอเอาแต่วิ่งไปรอบๆ แถวนั้น ก็เพื่อตามหาจูจูให้หมดทุกซอกทุกมุมนั่นเอง
หิวน้ำก็หาน้ำกินไปเรื่อย หิวก็หาอะไรกินให้พอมีอะไรลงท้อง ที่เธอยังต้องมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดก็เพื่ออยากจะตามหาลูกสาวของตัวเองให้เจอ
เพราะว่าเธอมีความคิดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเห็นคน ถ้าตายแล้วก็ต้องเห็นศพ
เธอกลับมาที่บ้านครอบครัวเติ้ง บ้านที่ไม่ได้กลับมาเห็นนาน ให้ทั้งความรู้สึกคุ้นเคย ทั้งความรู้สึกว่าแปลกที่
แต่ก่อนจูจูมักจะชอบยกโต๊ะเล็กๆ ออกมาข้างนอก แล้วนั่งทำการบ้านตรงนั้นเพื่อรอเธอกลับบ้าน