webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

303

บทที่ 303 ลองแสดง

ที่จริงแล้วการกระทำแบบนี้ สำหรับจางยวี่ฉินแล้วเป็นสิ่งที่ต้องทนทรมานเป็นอย่างมาก

จูจูเป็นดั่งชีวิตของเธอ เป็นความหวัง เป็นแสงสว่างแห่งอนาคตของเธอเพียงดวงเดียวที่เหลืออยู่ แต่จู่ๆวันหนึ่ง แสงที่สว่างไสวนั่นก็ดับไป และแน่นอนว่ามันจะต้องส่งผลกระทบต่อเธออย่างมหาศาล

“เธอมีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าจูจูจะต้องเจอเรื่องไม่ดีก่อนที่สายสุดท้ายของจูจูจะโทรเข้ามา แต่เพราะว่ามัวแต่ทำงานยุ่ง เธอจึงไม่ได้รีบกลับบ้าน ดังนั้นในใจลึกๆ ของเธอก็กำลังโทษตัวเองอยู่ไม่น้อย”

ผู้แต่ง ‘Evil’ บอกเสริมเพิ่มเติม

นักแต่งคนนี้จะต้องเป็นนักแต่งหน้าใหม่แน่ๆ มองดูแล้วก็น่าจะเป็นชายวันกลางคนอายุราวๆ สี่สิบกว่าอ้วนเตี้ย และมีท่าทางเอียงอายเล็กๆ เขาสวมแว่นสายตาด้วย พอเขาพูดจบ และพอเห็นว่าเจียงเซ่อหันมามองที่ตนเอง เขาก็ยกมือดันแว่นแก้เก้อเพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก ก่อนจะพยักหน้าให้เจียงเซ่อด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีจัด

“ใช่แล้ว” จ้าวร่างยืนยันในคำพูดของเขา แล้วเสริมเข้าไปอีก

“สำหรับการย้อนกลับมายังจุดเดิมนั้น ในใจของเธอจะต้องเจ็บปวดมากแต่ก็ยังไม่อยากจะยอมรับ ถึงจะกลัวแต่ก็ยังมีความเฝ้าปรารถนาเล็กๆ อยู่ในจิตใจ”

จ้าวร่างพูดถึงตรงนี้ ก็ยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ แล้วมองไปที่เจียงเซ่อ

“แต่พลังความรักของคนเป็นแม่ ทำให้เธออยากจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เธอกลายเป็นคนที่กล้าดาหน้าเข้าหาทุกอย่าง”

จึงพูดได้ว่า จางยวี่ฉินก็ต้องแบกรับความทุกข์เอาไว้ แน่นอนว่าเธอจะต้องกลายเป็นคนซึมเศร้า และเป็นเหมือนแม่เสือที่โดนแหย่จนโกรธ แต่กำลังเก็บซ่อนความโหดร้ายเอาไว้ภายในใจ

ตั้งแต่ที่ลูกสาวจองตนเองหายไป ในใจของเธอมันจะต้องเดือดและร้อนราวกับไฟที่กำลังแผดเผา

พอเธอกลับมาถึงบ้าน ที่จริงที่นี่เป็นที่ที่เธอไม่กล้าที่จะมาเหยียบอีกแล้ว เพราะมันเหมือนกับว่าเธอยังได้ยินเสียงลูกสาวตัวเองใช้เสียงออดอ้อนเสียงหวานถามตลอดเวลาว่า

“คุณแม่คะ ทำไมเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ล่ะ? หนูทำการบ้านเสร็จหมดแล้วน้า......”

ทุกครั้งที่ต้องมาเหยียบที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ แห่งนี้ มันก็เหมือนกับยิ่งตอกย้ำต่อตัวเองมากเท่านั้น

แต่พอเรื่องทุกอย่างผ่านไปในหนึ่งเดือนต่อมา สุดท้ายเธอก็ต้องทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง ในวินาทีที่เธอก้าวเข้าไปในบ้านเดิมของตัวเอง ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับก็ไม่ได้มีแค่การที่ต้องเข้ามาเหยียบในบ้านหลังเก่านี้ แต่ยังรวมไปถึงการที่ได้พบร่องรอยเบาะแสว่า เรื่องที่เพิ่งจะเกิดไปในระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือน เติ้งไห่สามีของเธอกลับทำเหมือนว่าปล่อยวางความเจ็บปวดได้แล้วเสียอย่างนั้น

ในบ้านมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ และเขาก็เลือกที่จะปกป้องคนอื่น อีกทั้งยังมองจางยวี่ฉินด้วยแววตาที่กังวลอีก

เธอยังวนเวียนกับการตามหาจูจู แต่พ่อแท้ๆ ของจูจูกลับยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย

เขาคิดว่ายังไงเสียเรื่องนี้มันก็ไปถึงมือตำรวจแล้ว จางยวี่ฉินเองก็ไม่ควรจะมาทำตัวให้มันยุ่งยากวุ่นวายแบบนี้อีก

ความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของสามี แน่นอนว่าจะต้องกระทบต่อตัวเธอมาก

ที่มันทำร้ายเธอไม่ได้มาจากการที่สามีกำลังนอกใจ แต่มันมาจากการที่ ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ควรจะต้องรู้สึกแบบเดียวกันกับเธอบนโลกนี้ กลับลืมความเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวตัวเองไปอย่างง่ายดาย

“เซ่อเซ่อ เธอพอจะเข้าใจมันไหม?”

จ้าวร่างเล่าเรื่องราวให้ฟังรอบหนึ่ง เจียงเซ่อตอบกลับ

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“งั้นก็ตามนี้นะ งั้นลองแสดงดูก่อนนะ จำตำแหน่งเอาไว้ให้ดี พรุ่งนี้ตอนเริ่มถ่าย ซีนนี้มีหลายคัทมาก ภายในสองสามวันนี้จะต้องถ่ายให้เสร็จทั้งหมดนะ”

พอถ่ายตรงนี้เสร็จแล้ว หลิวเย่เองก็คงจะมาแล้ว และถึงตอนนั้นถึงจะเป็นฉากที่ทั้งคู่ได้ปะทะฝีมือกันจริงๆ เสียที และนั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว

พอจ้าวร่างปรบมือ รองผู้กำกับคังเจียเฉิงก็ตะโกนขึ้น ตัวละครที่จำเป็นในซีนนั้นก็ออกมารวมตัวกันอยู่ตรงบริเวณของนักแสดง

ทั้งช่างไฟ ตากล้อง ผู้ช่วยและทีมงานตกแต่งต่างก็ไปยืนอยู่ด้านหลังจ้าวร่าง มองดูจ้าวร่างที่ชี้ไปยังจุดที่เจียงเซ่อจะต้องเดินไป ทุกก้าวที่เดิน ไม่ว่าจะหยุดลงตรงไหน กล้องก็ตามเธอไปทุกที่ และต้องจดตำแหน่งเอาไว้อย่างละเอียด และนั่นก็เพื่อให้การถ่ายทำในวันพรุ่งนี้มันราบรื่นมากขึ้น เพื่อจะได้ประหยัดเวลาด้วย

ยิ่งได้สัมผัสวงการนี้ลึกมากเท่าไหร่ เจียงเซ่อก็ยิ่งเข้าใจมันมากขึ้น การถ่ายหนังจริงๆ มันไม่ได้ง่ายเหมือนกับตอนที่เป็นตัวประกอบเลยสักนิด ทุกๆ ก้าวที่เดินไป ทุกๆ จุดที่ต้องหยุดยืน ต่างก็ต้องสัมพันธ์กันกับตัวกล้องที่กำลังถ่าย ถ้าหากว่ามีใครคนใดคนหนึ่งพลาด งานที่วางแผนเอาไว้ต่อจากนี้ก็จะดำเนินต่อไม่ได้ และทั้งกองถ่ายก็จะต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน

ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น มันก็จะเป็นการเสียเวลาของคนทั้งกอง ทำให้แผนงานคนอื่นต้องมาเดือดร้อนก็คงไม่ต้องพูดถึง มันยังแสดงถึงการให้ทุนอย่างสิ้นเปลืองอีกด้วย

ดังนั้นตอนที่จ้าวร่างพูดอธิบายอะไรทุกคนก็จะต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก จนกระทั่งจ้าวร่างอธิบายมุมองศากล้องอะไรเรียบร้อยแล้ว กว่าผู้ช่วยผู้กำกับจะจัดการตำแหน่งการเดินกล้องและตำแหน่งที่ต้องหยุดกล้องเสร็จ ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว

ทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ทันได้เริ่มถ่ายด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็ต่างเหนื่อยจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก

‘บ้าน’ ของจางยวี่ฉินในเรื่องนั้นอยู่บริเวณนอกชานเมือง เป็นห้องเก่าๆ ทรุดโทรมหลังหนึ่ง ที่จริงแถวนี้เป็นบ้านหลังเก่าๆ ที่กำลังจะถูกรื้อด้วยซ้ำ คนส่วนมากก็เลยย้ายออกกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เพียงบางส่วนที่ทางรัฐบาลยังไม่ได้มีกำหนดจัดการอะไร ดังนั้นบ้านเปล่าๆ ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง

หลังจากที่กำหนดวันที่จะเริ่มถ่ายเรื่อง ‘Evil’ แล้ว ทางทีมงานกำได้เลือกสถานที่เรียบร้อยแล้ว และได้ทำการเช่าสถานที่แห่งนี้เอาไว้ จากนั้นก็ใช้เวลาปรับแต่งไปอีกหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นจ้าวร่างก็ดึงตัวนักแต่งบทออกมา และพูดคุยปรึกษากับเขา จากนั้นก็จ่ายเงินไปก้อนใหญ่เพื่อตกแต่งบ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

บ้านที่ว่างเปล่าแห่งนี้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ตะไคร้น้ำถูกขุดทิ้ง วัชพืชก็โดนจัดการเอาออกทั้งหมด และตามความต้องการของผู้เขียนบท ยังเพิ่มฟางข้าวและกองฟืนเข้าไปอีกด้วย

ไม่ไกลจากตรงนี้คือผืนนา แต่เพราะว่าคนที่อยู่บริเวณนี้ต่างก็ย้ายไปกันหมดแล้ว จึงเหลือเพียงพื้นที่ใช้สอยที่ไม่มีใครต้องการแล้ว และมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด พอตอนกลางคืนมาถึง เจียงเซ่อก็ยังได้ยินเสียงยุงบินผ่านไปมาอยู่เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าโม่อานฉีจะคอยพัดให้อยู่ตลอดเวลา แต่บนมือของเธอก็โดนกัดไปแล้วถึงสองจุดจนขึ้นเป็นตุ่ม พอเหงื่อออกแล้วไปโดนมันก็คันจนน่ารำคาญสุดๆ

“โอเคพอแล้ว เลิกงานได้”

คนรอบๆ ข้างต่างก็พยายามและลำบากและเหนื่อยกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่กล้าที่จะโอดครวญกัน จนกระทั่งจ้าวร่างบอกว่าเลิกงานได้ นักแสดงที่ชื่อเติ้งไห่ก็ถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะรีบรับผ้าชุบน้ำจากผู้ช่วยมาเช็ดหน้า

“เหนื่อยหรือเปล่าเนี่ย?”

จ้าวร่างเอ่ยถามเจียงเซ่ออย่างยิ้มๆ เจียงเซ่อรับน้ำแร่จากโม่อานฉีมาดื่ม แล้วพ่นลมหายใจออกมา

“นี่เพิ่งเริ่มต้นเองนี่คะ จะเหนื่อยได้อย่างไรกัน?”

สีหน้าเธอดูนิ่งเรียบและจริงจังไม่น้อย เหมือนไม่ได้กำลังคุยเล่นกับจ้าวร่างอยู่

ท่ามกลางแสงไฟของกองถ่ายทั้งสี่ด้าน ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเธอเป็นเงามืด ถึงแม้ว่าตัวเธอจะผอมลงไปจนดูไม่ใช่คนเดิม แต่ความเด็ดเดี่ยวของเธอกลับทำให้จ้าวร่างรู้สึกประทับใจในตัวเธอมากกว่าครั้งแรกที่ได้เจอเสียอีก

เวลาก็เดินมาถึงป่านนี้แล้ว ทีมงานกองถ่ายก็ได้เริ่มเตรียมข้าวกล่อง จ้าวร่างและเจียงเซ่อนั่งโต๊ะเดียวกัน นักแสดงตัวประกอบคนอื่นที่นั่งอยู่อีกโต๊ะต่างก็มองมาด้วยความอิจฉา อยากจะลองเดินเข้าไปแต่ก็ไม่กล้าพอ

เมื่อลองเทียบกันแล้ว ถึงแม้ว่าอาหารมื้อค่ำของจ้าวร่างและเจียงเซ่อจะไม่ได้มากมายหรูหราอะไร แต่พอลองเทียบกับของนักแสดงตัวประกอบแล้ว มันก็ถือว่าดูดีกว่ามากทีเดียว บริเวณไกลๆ ที่มีแสงไฟดวงเล็กๆสว่างไสวเหมือนดวงดาวนั่นยังมีทีมงานบางกลุ่มทำงานอยู่ คนที่สำคัญๆ ของกองถ่ายสามารถพักผ่อนได้แล้ว แต่ทีมงานที่เหลือกลับยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ

ผู้แต่งเนื้อเรื่องเดิมกับผู้แต่งบทเรื่อง ‘Evil’ และคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วยกัน และต่างก็มองไปยังเจียงเซ่อที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาดันแว่นตัวเองขึ้น แล้วเปิดฝาขวดเบียร์ออก

“แต่ก่อนฉันคิดมาตลอดว่าคนที่เป็นดารานี่มีหน้ามีตาและสบายไม่น้อย เป็นนักแต่งบทเองก็คงจะเป็นกันง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะลำบากได้ขนาดนี้”

เขาเองก็พอจะรู้จักเจียงเซ่อ อย่างน้อยก็เคยได้เจอในงานหนังภาพยนตร์ ดาราสาวหน้าใหม่ที่กำลังโด่งดังในหัวเซี่ย นอกจากเจียงเซ่อแล้วก็คงจะไม่มีคนไหนอีก