webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

301

บทที่ 301 ผ่อนคลาย

เฝิงจงเหลียงขมวดคิ้ว เจียงเซ่อจึงพูดต่อ

“สถานะทางบ้านของหนูค่อนข้างซับซ้อนน่ะค่ะ” เธอพูดเกริ่น “ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนใหญ่แล้วหนูจะโตมากับคุณปู่”

คำพูดของเธอค่อยๆ ไหลเข้าหูเฝิงจงเหลียง ไม่มีท่าทางหลีกเลี่ยงยามที่เธอพูดถึงปัญหา แม่ของเธอพาเธอมาอยู่กับครอบครัวใหม่ที่แต่งงานด้วย พอย้ายมาแล้วพ่อเลี้ยงของเธอก็เหมือนจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเธอนัก และคุณปู่ที่เธอพูดถึง ก็คงเป็นคุณปู่ฝั่งพ่อแท้ๆ

“คุณปู่เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ไม่ว่าจะห่วงใยแค่ไหนก็จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้า แต่คุณปู่ก็คอยดูแลหนูมาตลอดค่ะ” ตอนที่เธอพุดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นออกมา ใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มเล็กๆ ด้วย ขอบตามีหยาดน้ำสีใสเอ่อคลอ

เฝิงจงเหลียงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก

เธอยังคงพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อยๆ และมันก็เหมือนเรื่องราวของตนเองมากจริงๆ

ตนเป็นคนที่มีนิสัยนิ่งขรึมและจริงจัง ไม่ใช่คุณปู่ที่เหมาะกับการเลี้ยงเด็กอะไรนัก ตอนเป็นหนุ่มยุ่งแต่กับงานทั้งวัน คนที่สอนลูกส่วนมากก็เป็นภรรยาของตนเองทั้งหมด

หลังจากที่ลูกโตขึ้นมากันหมดแล้ว พวกเขาก็มีความเกรงกลัวเขาเสียมากกว่าความสนิทสนม ตอนนั้นที่ตนต้องยื่นมือเข้าไปคอยรับเลี้ยงและอบรมสั่งสอนเฝิงหนานเอง นั่นก็เพราะว่าลูกของตนต่างก็วุ่นวายและมักจะทำให้ต้องโมโหอยู่บ่อยๆ ทำให้เขาต้องพาเฝิงหนานมาด้วย และเลี้ยงให้เติบโตอยู่ที่ตี้ตู

แต่เพราะระหว่างหลานและปู่อย่างตน น้อยนักที่จะได้มานั่งคุยกันแบบนี้

ตนชอบความเงียบสงบ และเธอก็รับนิสัยของตนไปเต็มๆ มีนิสัยนิ่งเงียบและติดเย็นชา มีเวลาว่างก็ใช้ไปกับหนังสือเล่มหนึ่งกับชาอีกหนึ่งแก้ว และนั่งอยู่แบบนั้นทั้งวัน

เฝิงจงเหลียงไม่เคยสะกิดใจและรู้สึกว่าแบบนั้นมันแปลกอะไร ตนเคยชินกับชีวิตที่มีกฎเกณฑ์ของตนเอง เฝิงหนานเองก็เป็นแบบนั้น เพราะความน่าเกรงขามและความเคร่งครัดของบรรพบุรุษทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ยอมลดตัวหรือปล่อยตัวไปนั่งคุยกับหลานสาว และในขณะเดียวกันเฝิงหนานเองก็คงจะเคยชินกับชีวิตแบบนั้นแล้วด้วย ทำให้วันๆ ระหว่างปู่และหลานแทบจะไม่ได้คุยกันเลย

ตอนนั้นก็ไม่เห็นว่าจะรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ที่ได้มานั่งคุยกับเจียงเซ่อแล้ว การที่ได้มานั่งคุยกับเด็กสาว และตั้งใจฟังสิ่งที่อยู่ในใจของเธอแล้ว เฝิงจงเหลียงถึงได้ค่อยๆ รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา แต่ทว่าตอนนี้นิสัยของเฝิงหนานเปลี่ยนไปแล้ว ระหว่างหลานและปู่ในตอนนี้ คือตนอยากจะรู้ถึงความคิดและสิ่งที่อยู่ในใจของหลานสาวตนเอง อยากจะลองคุยกับเธอ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้ว

“ท่านสอนอะไรให้หนูเยอะมาก สิ่งที่คุณปู่พูดหนูก็พอจะเข้าใจ อาอี้เป็นคนที่ดีคนหนึ่งเลย”

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ เวลาที่พูดถึงเผยอี้ขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นก็ทอแสงความอ่อนโยนออกมา แม่บ้านหวางยกชาเข้ามา เธอหันไปขอบคุณ แล้วจิบมันเข้าไป

“ไม่ใช่เพราะกังวลว่าเขาจะต้องมาคอยรับผิดชอบหนูหรือเปล่า ไม่ใช่เพราะกังวลว่าตระกูลเผยจะยอมรับหนูได้ไหม และไม่ใช่เพราะวงการบันเทิงมันสามารถทำเงินได้เยอะ หรือไม่ใช่เพราะอะไรทั้งนั้น”

ท่าทางตอนที่เธอจิบชา มันเหมือนเฝิงหนานมากๆ

เฝิงจงเหลียงหลุบตาลง มือมันเริ่มสั่นขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าวันนี้มานั่งคุยกับเด็กสาวอยู่นานสองนานอย่างแทบไม่เคยเป็นมาก่อนก็ได้ พูดคุยอะไรไปตั้งมากมาย รู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังได้หลานสาวคนเดิมกลับมาอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งตนมองเจียงเซ่อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเหมือนกับเฝิงหนานในเมื่อก่อน ทุกๆการกระทำ จนไปถึงน้ำเสียงการพูด และสีหน้าท่าทาง

“หนูแค่รู้สึกว่า ตอนที่คุณปู่ของหนูสอนให้หนูเขียนหนังสือ สอนให้ตั้งใจเรียน สอนกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ มันไม่ให้เพื่อในอนาคตหนูจะต้องไปอยู่ภายใต้การกำกับของใครทั้งนั้น”

เจียงเซ่อหันตัวไปวางแก้วชาลง และพูดต่อด้วยลักษณะท่าทางที่สงบ

“หนูคิดถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา ชีวิตของแม่เหมือนกับนกตัวหนึ่ง ที่ต้องถูกขังอยู่ในกรง ไม่ว่าชีวิตก่อนแต่งงานมันจะสวยงามแค่ไหน แต่พอแต่งงานมาก็เหมือนกับสูญเสียความเป็นตัวเองไปเลย คนอื่นมีอิทธิพลต่อตัวแม่มาก จึงเป็นได้แค่ภรรยาที่เชื่อฟังของครอบครัวคนอื่น เป็นภรรยาที่เชื่อฟังแค่สามีของตัวเองเท่านั้น”

ถ้าหากไม่ได้มาเกิดใหม่ ชีวิตของเธอทั้งชีวิตก็คงจะต้องถูกกำหนดให้เป็นแบบนั้นเช่นกัน ฟังแต่สิ่งที่พ่อแม่กำหนดวางแผนเอาไว้ให้ ยอมที่จะสานสัมพันธ์กับจ้าวจวินฮั่น รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วแต่งงาน แค่นั้นก็พอจะเห็นชีวิตที่เหลือของตัวเองแล้ว

หรือในอีกอย่างหนึ่ง ถ้าคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยไม่ใช่จ้าวจวินฮั่น แต่เป็นเผยอี้ เจียงเซ่อก็รู้สึกว่ามันก็คงไม่ได้ต่างกันเลย คงจะมีเพียงอย่างเดียวที่แตกต่างก็ นั่นก็คือเผยอี้จริงใจต่อเธอ แต่สิ่งที่จ้าวจวินฮั่นมีคือสิ่งจอมปลอม แต่ชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนั้นก็คงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ถ้าไม่ใช่นายหญิงของเจียงหัวกรุ๊ป ก็ต้องเป็นนายหญิงของตระกูลเผยเท่านั้นเอง

ตอนนั้นเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้นัก จนกระทั่งได้เห็นโจวฮุ่ย สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างหล่อนและแม่ของเฝิงหนาน ก็คงจะเป็นฐานะและชาติกำเนิดเท่านั้น โดยเฉพาะกับใจของผู้ชาย ที่มักจะไม่แยแสต่อตัวพวกเธอ

หลังจากที่เฝิงชินหลุนแต่งงานแล้วเขาก็ยังเอาแต่คบหากับผู้หญิงคนอื่นไม่หยุด ส่วนคุณนายเฝิงก็ได้แต่เก็บความโกรธความไม่พอใจเอาไว้ไม่กล้าพูด จนมันกลายเป็นความชิน และขีดเส้นเอาไว้แค่ว่าขอแค่อย่าให้เหล่าผู้หญิงของเฝิงชินหลุนมาระรานยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวหล่อนก็พอ แต่การยอมแบบนั้นมันก็ถือว่าดูอ่อนแอมากแล้ว แค่นี้มันก็เหมือนว่าศักดิ์ศรีและเกียรติของเธอมันเหลือแค่กระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้น ทิ่มแทงอีกแค่ทีเดียวก็คงขาดสะบั้น

และสิ่งที่โจวฮุ่ยต้องเจอ เป็นเหมือนกับการรับอิทธิพลมาโดยตรง ตู้ชางฉวินไม่ได้มีความสนใจหรือเคารพในตัวเธอเลยสักนิด และมันก็ปรากฏให้เห็นได้ชัดๆ อยู่แล้วบนใบหน้าของหล่อน ความอดกลั้นของหล่อนที่แผ่ออกมาเจียงเซ่อเองก็สัมผัสมันได้

เพราะงั้นตอนที่ได้มาเกิดใหม่ มันก็ทำให้เธอได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา เมื่อลองเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ถึงได้เปลี่ยนความคิดไปมากขนาดนี้

สวรรค์ให้เธอได้มาเกิดใหม่เป็นอีกหนึ่งชีวิต คงเป็นเพราะอยากจะให้เธอได้ลองมีโอกาสอีกสักครั้ง ไม่ใช่เพื่อให้เธอกลายมาเป็นคนที่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของใครอีก ไม่ใช่ว่าให้เธอได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งหมด แต่เพื่ออนาคตของตัวเองในอีกกี่สิบปีข้างหน้า เพื่อให้เธอได้เห็นตัวตนของตัวเองจริงๆ เพื่อให้เธอได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ

หลังจากที่มาเกิดใหม่ ได้คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างๆ เผยอี้ชอบเธอ แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว แต่เป็นไปไม่ได้ที่คุณปู่จะไม่รู้เรื่องนี้

เมื่อลองตั้งใจทบทวนดูดีๆ แล้ว ฐานะและชาติกำเนิดของเผยอี้นั้นแตกต่างและไม่ธรรมดา แต่ว่าตอนนั้นเฝิงจงเหลียงกลับไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับเธอ นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการให้เธอเคารพคำตอบในใจของตัวเอง ไม่ใช่การบังคับ แค่คอยคุ้มครองรักษาอย่างเงียบๆ

ตอนที่ยังเป็นเฝิงหนานอยู่ เธอไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เลย ความรู้สึกที่มีต่อคุณปู่ก็แค่รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้มงวดมากๆ เท่านั้น แต่พอได้มาเปลี่ยนสถานะแบบนี้แล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง

ความรักที่คุณปู่มีให้กับเธอมันมากมายมหาศาลจริงๆ แต่แค่เขาไม่ได้พูดมันออกมา จนกระทั่งตัวเธอมาเกิดใหม่แบบนี้ แม้แต่คำว่าขอบคุณเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดมันออกไป

คำพูดของเจียงเซ่อทำเอาเฝิงจงเหลียงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แต่ก่อนตนถือทิฐิและคิดว่าวงการบันเทิงไม่ใช่ที่ที่ดีนัก และเด็กสาวที่ดีก็ไม่ควรที่จะไปคลุกคลีอยู่ในที่แบบนั้น และไม่ควรที่จะไปแสดงหนังอะไรทั้งนั้น

เขาอยากจะให้เจียงเซ่อได้เรียนหนังสือเยอะๆ อนาคตจะได้คว้าปริญญาดีๆ มาสักใบ เรียนจบแล้วก็ไปได้ด้วยดีกับเผยอี้

แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ตนได้คติในการมองสิ่งต่างๆ อีกมุมมองหนึ่ง ทำให้ตนได้นึกถึงเฝิงหนานหลานสาวของตนเองขึ้นมา และเหมือนว่าเป้าหมายของเธอก็อยู่ที่วงการบันเทิงเช่นกัน

แต่เพราะเรื่องนี้ทำให้ปู่และหลานทั้งสองคน ทะเลาะกันจนแทบจะกลับมาสนทนากันอีกไม่ได้แล้ว

เฝิงจงเหลียงกำลังคิด ถ้าหากว่าเป็นเฝิงหนานมาพูดกับตนแบบนี้ ตนจะยังต่อต้านอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า หรือมันอาจจะไม่ได้ร้ายแรงเหมือนตอนนี้ และปู่หลานก็คงจะไม่ทะเลาะจนเข้าหน้าไม่ติดจนมาถึงทุกวันนี้

ถ้าหากว่าเป็นหลานสาวของตนเอง หลานที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่ตนหวังก็มีแค่อยากให้เธอได้มีแต่สิ่งดีๆ ไม่ใช่เพื่อจะสร้างให้เธอมาเป็นของตกแต่งราคาแพง เพื่อไปเป็นเครื่องประดับให้กับใครคนอื่น

ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนว่าพอแก่ตัวลงมากขึ้น หลักการปัญหาต่างๆ ก็ไม่หนักแน่นเหมือนกับตอนหนุ่มๆ แล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่มีทางที่จะมานั่งคุณกับเด็กสาวแบบนี้แน่ๆ แค่ได้ยินว่าเธอเป็นพวกคนแสดงหนัง ก็คงจะสะบัดหน้าหนีไม่พูดไม่จากับเธอไปแล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเคยมองเธอใน ‘แง่ร้าย’ มาก่อน แต่ไปๆมาๆ กลับคิดว่าจริงๆ เธอก็เชื่อฟังและน่ารักดีเสียอย่างนั้น?

“พูดถึงว่า ก่อนหน้านี้หนูได้แสดงหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า ‘The Occasion of Beiping’ คุณปู่เคยดูไหมคะ?”

เจียงเซ่อเห็นว่าเขาเงียบไป เลยหาเรื่องคุยขึ้นอีก

“หนังเรื่องนี้ บทหนังแต่งโดยอาจารย์โหวซีหลิ่งด้วยนะคะ น่าสนใจมากๆ เลย”

“ไม่ดู! ฉันชอบแค่ละครงิ้วเท่านั้นแหละ พวกหนังเหนิงอะไรนั่น ฉันไม่ดูหรอก!” เขาส่ายหน้าพัลวัน เจียงเซ่อก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เธอยิ้มแล้วพูดต่อ “งั้นคราวหน้าถ้าหนูมาเยี่ยมคุณปู่อีก จะเอาแผ่นหนังมาฝากด้วย คุณปู่ชอบแบบไหนหรือคะ?”

เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ในใจก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ปากกลับพูดว่า

“มาเยี่ยมหรือ? ตัวเองผอมขนาดนี้ เห็นแล้วก็รู้สึกกลุ้มใจ ครั้งหน้าถ้ามาแล้วยังไม่มีเนื้อไม่มีหนัง แม่บ้านหวางไม่ต้องเปิดประตูให้เข้ามาเลยเข้าใจไหม!”