webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

300

บทที่ 300 ปู่และหลาน

เจียงเซ่อเงยหน้ามองเขา เฝิงจงเหลียงทำหน้าขรึม

“เสี่ยวหลิว!”

เจียงเซ่อถอนหายใจ เธอลุกขึ้นแล้ววางของในมือลง ก่อนจะปัดๆ มัน

“อย่าโมโหไปเลยค่ะ ก็แค่เห็นว่าพวกกิ่งไม้คุณปู่ตัดไปมันตกลงบนพื้น ก็เลยเก็บมันขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ก่อนตอนที่อยู่บ้าน หนูเองก็เคยช่วยคุณปู่ทำแบบนี้เหมือนกัน เขาบอกว่า กิ่งไม้ที่ตกลงบนพื้น พอมันเน่าเปื่อยก็จะกลายเป็นแบคทีเรีย ไม่ดีต่อต้นเยว่จี้น่ะค่ะ”

เธอเดินถอยหลังไป เฝิงจงเหลียงมองเธอที่ยืนอยู่ไกลๆ บนดวงหน้ายังมีหยาดเหงื่อ ตอนที่เธอพูดคำว่า ‘คุณปู่’ ออกมามันก็ทำให้เขาเกิดคิดถึงเฝิงหนานขึ้นมา นี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย ต้องโทษที่เฝิงหนานในตอนนี้ที่เปลี่ยนไปมากต่างหาก ไม่เชื่อฟัง แต่ตัวเองก็ไม่ควรมาโมโหลงกับเธอแบบนี้

แต่ยังไงก็พูดออกไปแล้ว อีกทั้งดึงหน้าไปขอโทษคนที่อายุน้อยกว่าแบบนี้ก็ไม่เคยทำ สุดท้ายเขาก็ทำแค่เรียกให้เสี่ยวหลิวมาพยุงตัวเอง และไม่ตัดกิ่งไม้ต่ออีก เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วมองเจียงเซ่อที่ยังยืนอยู่เหมือนเดิม ก่อนจะหันไปจ้องแม่บ้านหวางเขม็ง

“ไปยกเก้าอี้มา ยกน้ำชามาด้วย ผ้าขนหนูก็เอามา!”

พอสั่งหน้าเข้มออกไปแล้ว เขาก็หันกลับมามองใบหน้าแดงๆ ของเจียงเซ่อที่โดดแดดเผาอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือออกไป เหมือนทำสัญญาณมือ

“แล้วก็ เด็กสาวเขาใช้อะไรทาหน้ากัน ที่ทาหน้าแล้วหน้าจะไม่ดำน่ะ ลองไปดูในห้องของคุณหนูซิ......”

พอเขาพูดถึงตรงนี้ ก็เริ่มรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาอีก เขากัดฟัน เงียบไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมา

“ทำไมเธอถึงคิดที่จะให้ชุดหนังสือ ‘บันทึกภูมิศาสตร์’ กับฉันล่ะ?”

เจียงเซ่อจึงตอบกลับไป

“หลายๆ ครั้งที่มาก่อนหน้านี้ บางทีก็ได้เห็นตอนที่คุณปู่กำลังอ่านหนังสืออยู่บ้าง บนชั้นหนังสือในห้องรับแขกนั่น ส่วนมากก็เป็นนิตยสารที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ เลยเดาเอาน่ะค่ะ”

“งั้นก็ลำบากเธอแล้วล่ะนะ”

เฝิงจงเหลียงยื่นมือไปทุบๆ ขาตนเอง ท่าทางตอนที่คุยกับเธอดูนุ่มนวลขึ้น

“แต่ก่อนที่บ้านฉันก็มีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง แต่ว่า ไม่เห็นว่าเธอจะรู้เลยว่าฉันชอบอะไร กลับกัน เด็กสาวอย่างเธอที่ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ มาแค่ไม่กี่ครั้งก็รู้แล้ว”

เขาเลี้ยงเฝิงหนานมาตั้งหลายปี แต่ก่อนก็ไม่เห็นว่าเฝิงหนานจะรู้ว่าตนชื่นชอบอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดเฝิงหนานในตอนนี้ที่เปลี่ยนไปอย่างลิบลับ

“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”

เจียงเซ่อชะงักไป แล้วรีบส่ายหน้าทันที

จนมาถึงตอนนี้ เธอก็เพิ่งจะรู้ว่าระหว่างตัวเองและคุณปู่ กำลังมีความเข้าใจผิดต่อกันที่ใหญ่มากๆ อาจเป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่ไม่แสดงออก เลยทำให้เป็นแบบนี้ หลังจากที่สลับร่างแล้ว ก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณปู่กำลังคิดอย่างไร เขาคิดว่าเธอไม่สังเกตถึงสิ่งที่เขาชื่นชอบ

เธอเองก็อดที่จะย้อนมาพิจารณาตัวเองไม่ได้ เธอกำลังคิดว่าหรือเพราะเธอพูดน้อยไปหรือเปล่า จนมันทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยขนาดนี้

“อาจไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นะคะ บางทีเธออาจจะรู้ แต่แค่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นหรือ?”

เฝิงหนานเอ่ยถามตอบลอยๆ เจียงเซ่อพยักหน้า

“ที่จริงถ้าคุณปู่รู้สึกแบบนั้นกับเธอ ก็น่าจะบอกเธอเสียหน่อยนะคะ” เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ

“คุณปู่เป็นคนเคร่งขรึมและจริงจัง ที่เธอไม่ได้ให้พวกหนังสือกับคุณปู่ อาจเพราะว่ากลัวว่าคุณปู่จะไม่ชอบมันก็ได้”

ตั้งแต่เด็กๆ เธอก็มาอยู่กับคุณปู่แล้ว เธอเติบโตที่ตี้ตู และนิสัยของเธอก็เหมือนได้มาจากเฝิงจงเหลียงเต็มๆ เขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมา ชอบเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน เฝิงหนานในตอนนั้นก็ไม่ต่างกันนัก

เพราะงั้นระหว่างหลานและปู่ ที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนสถานะไปแล้วนั้น เจียงเซ่อก็เพิ่งได้รู้ว่ากำลังถูกเข้าใจผิดแบบสุดๆ ไปเลย

เขาไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวหลิวยกน้ำเข้ามาให้ทั้งสองคนล้างมือ ตอนที่เธอยื่นมือเข้าไปล้าง ข้อมือของเธอก็ดูเล็ก ดูผอมจนเหมือนว่าถ้าลมพัดมาก็คงปลิว

“ทำไมช่วงนี้ถึงได้ผอมลงนักล่ะ?” เฝิงจงเหลียงหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมา สุดท้ายก็อดไม่ได้ เพราะว่าคำถามนี้มันผุดขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าเธอแล้ว

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เจียงเซ่อกำหนดวันเอาไว้แล้วว่าจะมาที่บ้านตระกูลเฝิงวันไหน ถึงแม้ว่าครั้งที่แล้วเฝิงจงเหลียงจะไม่ได้ออกมาเจอหน้าเธอ แต่เธอในตอนนี้ที่เมื่อพอเทียบกับเธอในหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าผอมลงไปมากๆ

“เดี๋ยวก็กลับมาทำให้เป็นเหมือนเดิมค่ะ” เจียงเซ่อยิ้มๆ แม่บ้านหวางส่งผ้าให้กับเธอ เธอหันไปขอบคุณ แล้วพูดต่อ

“มีหนังเรื่องใหม่ที่รับเล่นเอาไว้ เพราะตัวละครในบทหนูก็เลยต้องลดน้ำหนักลงน่ะค่ะ”

เฝิงจงเหลียงไม่ค่อยจะชายตามองวงการบันเทิงสักเท่าไหร่ ที่จริงตอนที่เจียงเซ่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ไม่รับประกันเหมือนกันว่าเขาจะรำคาญหรือเปล่า

แต่ว่าตอนนี้เธอก็หวังอยากจะให้คุณปู่ได้รู้ถึงความเป็นไปของชีวิตเธอบ้าง ถึงแม้ว่าจะต่อต้าน แต่เธอก็จะค่อยๆ เล่าให้เขาฟัง และมันก็ทำให้เจียงเซ่อคิดว่าในชีวิตของตัวเองในตอนนี้ ยังคงมีผู้อาวุโสคอยแนะนำอยู่เสมอ

และเขาก็ดูต่อต้านในทันที เพราะคิ้วที่ขมวดเข้าหากันหลังจากได้ยินคำตอบ

“ถ่ายหนังงั้นหรือ?” เขาดูจะโมโหเล็กๆ เหมือนว่าจะคิดถึงเฝิงหนานขึ้นมาอีกแล้ว

“ถ่ายหนังอะไรกัน? เด็กสาวที่ดีไม่ควรที่จะไปข้องเกี่ยวกับวงการแบบนี้หรอกนะ เผยอี้นี่อะไรกัน ตระกูลเผยเลี้ยงเธอไม่ไหวงั้นหรือ? ทำไมเธอถึงต้องออกไปโชว์หน้าโชว์ตาแบบนั้น”

เขากำไม่เท้าแน่น แล้วเคาะมันลงกับพื้น

“ในอนาคตถ้าแต่งเข้าตระกูลเผยแล้ว เธอก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เป็นเด็กสาวแบบนี้ จะไปแสดงหนังทำไมกัน ใช้ไม่ได้!”

และนั่นก็เป็นความคิดของเขาที่คิดมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่เกิดในยุคก่อนสงครามต่อต้านของหัวเซี่ย ความคิดที่มีก็เลยดูคร่ำครึไปเสียหน่อย และคิดว่าความคิดของตนเองถูกเสมอ

ถ้าเป็นเฝิงหนานเมื่อก่อน ก็คงจะต้องคิดว่าการที่เฝิงจงเหลียงพูดแบบนี้ จะต้องกำลังโกรธเธออยู่แน่ๆ ราวกับว่ากำลังดูถูกเธอ แต่ตอนนี้พอเปลี่ยนสถานะไปแล้ว กลับพบว่าการที่เฝิงจงเหลียงพูดกับเธอตรงๆ แบบนี้ อาจจะไม่ใช่ว่ากำลังดูถูกเธอ แต่กำลังกังวลแทนเธอต่างหาก

“คุณปู่เป็นห่วงหนูหรือคะ?”

เฝิงจงเหลียงรีบปฏิเสธทันที

“เหลวไหล เธอไม่ใช่หลานสาวของฉันเสียหน่อย ทำไมจะต้องเป็นห่วงเธอกัน?”

พอเขาพูจบ ก็พบว่าสีหน้าของเจียงเซ่อดูสลดไปเล็กน้อย เหมือนกับว่าประโยคที่ตนพูดออกไปเมื่อครู่มันไปทำให้เธอเสียใจเข้า เขาเองก็รู้สึกแย่ แต่เจียงเซ่อก็เก็บอาการอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มขึ้นมาอีก

“ฐานะครอบครัวของหนูไม่ค่อยดีนัก หลังจากที่คุณแม่พาหนูมาอยู่กับครอบครัวที่ท่านแต่งงานใหม่แล้ว ท่านก็มีน้องชายและน้องสาวขึ้นมาอีกสองคน หนูจึงได้เลือกที่จะเข้าวงการนี้ หรือจะเรียกว่าหาเงินส่งตัวเองเรียนก็ได้ค่ะ”

เธอพูดถึงสถานะของครอบครัวตู้คร่าวๆ และพูดถึงเหตุผลที่ตัวเข้าวงการบันเทิง เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินอย่างนั้นก็มีท่าทีที่อ่อนลง ก่อนหน้านี้ที่บ้านตระกูลเผย ก็เคยได้ยินตระกูลเผยพูดถึง ว่าตอนนี้เธอกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอยู่

อย่างที่เธอพูด เพราะฐานะครอบครัวทางบ้านไม่ดีนัก แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ ก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว ถือว่าเป็นเด็กสาวที่ตั้งใจคนหนึ่ง

แต่เฝิงจงเหลียงก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอีก เพราะเกิดนึกถึงเฝิงหนานขึ้นมา

“หลานสาวของฉัน เธอเองก็จบจากคณะอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งเหมือนกัน”

ตอนที่เขาพูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาดูภูมิใจเล็กๆ แต่ขอบตากลับเริ่มแดง

“ก่อนหน้านี้ก็เชื่อฟังมาโดยตลอด พูดอะไรก็ฟัง นิสัยของเธอเองก็เหมือนหลานสาวของฉันมาก”

ตอนนั้นที่เธอตามเผยอี้เข้ามาเป็นแขกของบ้านครั้งแรก ตอนที่เธอปอกแอปเปิ้ล ตอนที่เธอแตะดูแผลให้ เฝิงหนานไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

ผู้ชายคนหนึ่งทำให้เธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ หลังจากที่เธอย้ายไปอยู่กับจ้าวจวินฮั่น ก็เหมือนกับว่ากลายเป็นคนละคน เปลี่ยนไปจนทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่รู้จักเธอไปแล้วด้วยซ้ำ

“ไม่พูดแล้ว” เฝิงจงเหลียงโบกมือ ถึงรู้ว่าเจียงเซ่อมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไรต่อเธอ เขาเองก็ไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด ภายหลังที่มีทุกอย่างได้แบบนี้ ก็ล้วนแล้วอาศัยความสู้ชีวิตของตนเองทั้งนั้น

ครอบครัวของเจียงเซ่อมีฐานะที่ไม่ดีนัก เพื่อค่าเรียนเธอถึงได้เลือกที่จะเข้าวงการนี้ ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้ เขาถามขึ้นอีก

“ตอนนั้นถือว่าไม่มีทางเลือกอื่น แต่ตอนนี้ก็อยู่กับเผยอี้แล้วนี่ ก็น่าจะเลือกที่จะตั้งใจเรียนหนังสือสิ เด็กสาวที่ดี เรียนเยอะๆ น่ะดีที่สุดแล้วนะ”

“หนังสือก็อ่านอยู่นะคะ นิยายของโหวซีหลิ่งหนูเองก็เคยอ่านมาแล้ว” เธอแกล้งเล่นมุขกับเฝิงจงเหลียง เขาเองก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “แต่ว่าเรื่องถ่ายหนังเองก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้กับมันน่ะค่ะ”