webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

290

บทที่ 290 ความทะเยอทะยาน

“นั่นมันเงินนะ ทั้งหมดนั่นมันเงินทั้งนั้นเลยนะเชาฉวิน! เธอจะไม่เอาเงินหรือยังไง?” ตอนที่หยางป๋อซีถามขึ้นมาแบบนั้น ในใจก็รู้สึกขมขื่นใจสุดๆ

เซี่ยเฉาชวินขมวดคิ้วเข้าหากัน “เงินเหรอ? ฉันมีเยอะพอแล้วล่ะ”

แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาหยางป๋อซีนิ่งไปทันที และพูดอะไรไม่ออกอีก

หล่อนเงินเยอะจริงๆ นั่นแหละ เกิดมาชาติตระกูลหล่อนก็เป็นถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงแล้ว มีพ่อที่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แค่ฐานะจริงๆ ของหล่อนก็มีฐานะครอบครัวที่ไม่ธรรมดาแล้ว

อีกทั้งยังมีหุ้นเล็กๆ ในซื่อจี้หยินเหอที่ปันมาจากลัวหยิ่นอีกด้วย ปีๆ หนึ่งก็ได้รายได้ก้อนใหญ่แล้ว ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ทำงาน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากด้วยซ้ำ และเพราะว่าหล่อนมีเงินจากทางนี้อยู่แล้ว มันเลยทำให้หล่อนมีความมั่นใจได้ขนาดนี้

“อีกอย่าง การที่ยอมถอยออกมาตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแย่ลงนี่”

หล่อนเอียงหัว แนบหน้าลงกับไหล่ตัวเอง

“บางครั้งที่ฉันถอยออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่มีเป้าหมาย มันอาจจะเป็นการเส้นทางวิ่งเสริมจากเส้นทางวิ่งหลักก็ได้”

และนี่ก็เหมือนเป็นการแนะนำอย่างหนึ่งของเจียงเซ่อในวันนั้น

วันนั้นลัวหยิ่นให้เอกสารมาปึกหนึ่ง และให้เจียงเซ่อเลือกบทสักบทที่มีคาแรคเตอร์แนวเดียวกับโต้วโค่วในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ แต่เจียงเซ่อก็ตอบปฏิเสธออกมาอย่างไม่ลังเล เธอไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ที่มากองอยู่ตรงหน้า และไม่ใช่ว่าเพราะเธอไม่ได้ขาดเงิน แต่แค่ผลประโยชน์ที่อยู่ต่อหน้าเธอในตอนนั้น มันยังไม่มากพอที่จะทำให้เธอก้าวหน้าต่อไปได้เท่านั้นเอง

เธอกำลังมองไปไกลถึงวันข้างหน้า ก็อย่างที่เซี่ยเชาฉวินบอก ปฏิเสธในตอนนี้ ก็เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในวันหน้า จะไม่มีวันสนใจผลประโยชน์เล็กๆ แล้วยอมแพ้ต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในภายภาคหน้า

และมันก็เป็นเพราะเจียงเซ่อเลือกในวันนั้น ทำให้เซี่ยเชาฉวินตัดสินใจที่จะปล่อยเถาเฉินไป

สิ่งที่หยางป๋อซีพูด สถานการณ์ที่กล่าวถึง หล่อนเองก็เข้าใจมันดีอยู่แล้ว

ในปีๆ หนึ่งเถาเฉินทำเงินได้เท่าไหร่ ในใจของหล่อนก็รู้ดี แต่ว่าเถาเฉินเป็นคนแรกที่เธอสร้างขึ้นมา ตั้งแต่วันนั้นที่หล่อนพาเถาเฉินขึ้นมาจากจุดที่ไม่มีอะไรเลย จนมามีอย่างในทุกวันนี้ แล้วทำไมวันนี้หล่อนจะทำอีกไม่ได้ล่ะ?

หล่อนนึกถึงตอนวัยรุ่นที่ต้องจากบ้านไปเรียนขึ้นมา คนอื่นๆ ต่างกระตือรือร้นที่จะซื้อนู่นซื้อนี่มาแต่งตัว ในตอนที่ทุกคนนั่งพูดคุยสังสรรค์กัน หล่อนกลับต้องเรียนเสริมและสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้มีคอนเนคชั่น นักศึกษาที่อยู่โรงเรียนเดียวกับหล่อนในตอนนั้น ส่วนมากก็มีธุรกิจที่รับสืบทอดต่อจากรุ่นก่อนๆ หรือไม่ก็แบ่งหุ้นของบริษัทบ้านตัวเองมาเก็บไว้ใช้ อายุยังน้อย แต่เหมือนทั้งชีวิตโดนจัดแจงเส้นทางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เพื่อนรุ่นเดียวกันและเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันส่วนใหญ่ก็แต่งงานตามที่ครอบครัวได้วางแผนเอาไว้ให้กันหมดแล้ว ใช้ชีวิตไปอย่างฟุ่มเฟือย คอยอยู่ในภายใต้การควบคุมของตระกูลครอบครัว จากสามี ต้องโดนกักกันจากชีวิตแวดวงของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะทำผิดเล็กๆ น้อยๆ

แต่ตอนนั้นหล่อนเลือกที่จะละทิ้งเส้นทางที่พ่อได้ปูและกำหนดเอาให้ และเอาแต่กระตือรือร้นที่จะมาที่ตี้ตู และได้มีทุกอย่างอย่างในวันนี้ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ตัวเองเพียรพยายามด้วยตัวเองทั้งสิ้น ไม่ต้องก้มหัวร้องไห้ขอความเห็นใจจากใคร ไม่ต้องไปยื่นมือขอเงินจากใคร เป็นอิสระในตัวเอง

หล่อนยังไม่ได้สูญเสียหนทางก้าวหน้า หล่อนยังมีความทะเยอทะยานอย่างเต็มเปี่ยม และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะสู้

ถึงแม้ว่าเถาเฉินจะดี ถึงหล่อนจะทำเงินได้มหาศาล ก็อย่างที่หยางป๋อซีพูด ถ้ายังร่วมมือกับหล่อนต่อไปเรื่อยๆ ภายภาคหน้าก็อาจจะราบรื่นกว่านี้ก็ได้ ไม่มีความสุ่มเสี่ยง แต่นั่นก็ดูจะน่าเบื่อไปเสียหน่อย

“ชีวิตของคนหนึ่งชีวิต สิ่งที่ยังไม่รู้คือสิ่งที่ดึงดูดคนได้มากที่สุด”

หล่อนสะบัดผมอีกครั้ง แล้วหันหน้าไปมองที่เจียงเซ่อ แล้วค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา

ผู้ช่วยยกเครื่องดื่มเข้ามาแล้ว หยางป๋อซีคิดตามคำพูดนั้น แล้วมองหล่อนรับกาแฟไปจิบ ท่าทางดูเมินเฉยไม่น้อย แล้วก็วางแก้วลง

“งั้นทางเถาเฉินล่ะ เธอจะส่งต่อให้ใครกัน?”

“ส่งต่อให้ใครงั้นหรือ?”

เซี่ยเชาฉวินถามกลับ พร้อมกับเสตามอง “ฉันควรจะส่งต่อให้ใครดีล่ะ?”

เซี่ยเชาฉวินแก้คำพูดของหยางป๋อซี

“ฉันจะบอกกับเธอ ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำ”

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเป็นการร่วมงานกันอยู่แล้ว ถ้าเข้ากันได้ก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันก็แยกย้าย ตอนที่เถาเฉินไม่มีอะไรมาดึงดูดหล่อนได้อีก หล่อนก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะปล่อยไป

นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความเย็นชาและนิ่งเฉยของหล่อน และมันก็เหมาะกับนิสัยของหล่อนแล้ว

หยางป๋อซีรู้สึกอิจฉาหล่อนที่สามารถพูดออกมาได้ง่ายๆ แบบนั้น ก็แค่คิดเฉยๆ

เขากับหลิวเย่ร่วมงานกันมาหลายปี แต่ไม่มีทางที่จะมาพูดง่ายๆ แบบเซี่ยเชาฉวินแน่ๆ ทั้งสองคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน หล่อนยังเด็ก ในใจอยากจะได้อะไรก็รู้ตัวเองดี

หล่อนก็เป็นเหมือนนักรบผู้กล้าหาญ และสงครามของหล่อนก็คือการก้าวไปข้างหน้าเพื่อฟันฝ่าขวากหนาม ไม่ใช่เรื่อลำหนึ่งที่แล่นผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่มีใครต้องมาเกลี้ยกล่อมใครทั้งนั้น

แต่แค่เขายังมีความคิดอยู่ในใจว่าหล่อนกำลังเสี่ยงเกินไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง

หลิวเย่และเจียงเซ่อรวมไปถึงจ้าวร่างได้ทำการนัดเจอกันครั้งต่อไปเรียบร้อยแล้ว และได้นัดทานมื้อเย็นด้วยกันอีกด้วย จนกระทั่งเซี่ยเชาฉวินและเจียงเซ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว หยางป๋อซีก็หาโอกาสส่วนตัว พูดคุยกับหลิวเย่ถึงเรื่องนี้ และยังเอ่ยอีกว่า

“เหมือนเชาฉวินจะคิดอะไรแปลกๆ ไปหมดแล้ว”

หลิวเย่ไม่ได้พูดอะไร แล้วหยางป๋อซีก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลิวเย่ตอบตกลงที่จะรับเล่นหนังเรื่อง ‘Evil’ ไปแล้ว และรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

“นายตอบตกลงจ้าวร่างเร็วไปนะ”

“ตอนนี้กลุ่มผู้สร้างหนังหลายคนกำลังสนใจที่จะมาทาบทามนายอยู่ ส่วนเจียงเซ่อก็เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ถ้าร่วมงานกับนายครั้งนี้ มันไม่ดูตะเกียกตะกายสูงไปหน่อยหรือ? ผลดีมันจะไปตกที่เธอมากกว่านาย......”

หลิวเย่ยกมือขึ้น เป็นการตัดบทพูดของเขาที่ยังไม่ทันได้พูดจบในทันที

“ตอนนี้เธอเป็นดาราหน้าใหม่ก็จริง แต่ว่ามีการก้าวหน้าที่ดีมาก และไม่มีการตะเกียกตะกายสูงไปอะไรทั้งนั้น”

ในวงการนี้ต้องใช้ระดับและตัวเลขสถิติในการคุยกันเท่านั้น และยอดขายหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เป็นต้นทุนที่ดีที่สุดของเจียงเซ่อแล้ว

“แต่ว่า มันไม่ง่ายเลยกว่าที่นายจะได้รับเลือกให้แสดงเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ แล้วได้รับหนทางเข้าสู่ประตูยุโรปอเมริกาแบบนี้ แล้วตอนนี้ก็ยังจะมารับเล่น ‘Evil’ อีก มันเสี่ยงเกินไปแล้วนะ”

หยางป๋อซีขมวดคิ้วแน่น ดูก็รู้ว่าไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

“คุณเย่ นี่เป็นโอกาสที่นายรอมานนานหลายปี และตอนนี้โอกาสมันก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แล้วทำไมนายถึงไม่คว้ามันเอาไว้อีก?”

“ฉันเห็นด้วยกับเชาฉวิน”

ประโยคนั้นของหลิวเย่โต้หยางป๋อซีกลับไป หยางป๋อซีถามขึ้นอีก

“แล้วถ้าเกิดว่ายอดขายของ ‘Evil’ มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดเอาไว้ล่ะ? ถึงตอนนั้นโอกาสมันก็ลอยหายไปแล้วมั้ง”

“ก็ถ้ายอดขายของเรื่อง ‘Evil’ มันไม่ดี ก็แสดงว่าผมเองก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ถึงตอนนี้จะได้รับความชื่นชอบจากผู้สร้างหนังชาวต่างชาติ แต่ถ้าความมั่นใจไม่พอ สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาที่จุดเดิมอยู่ดี”

เขาเห็นด้วยกับคำพูดของเซี่ยเชาฉวิน ยอมถอยออกมาก่อนสักระยะ ลองปล่อยโอกาสตรงหน้าไป ไม่ใช่ว่าจะยอมแพ้ แต่เป็นเพราะยังมีความทะเยอทะยานอยู่เต็มเปี่ยม เพราะหวังในสิ่งที่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น

หยางป๋อซียักไหล่กางมือออก

“งั้นก็เอาเถอะ”

นี่เป็นสิ่งที่หลิวเย่เลือกเอง เขาเองก็จนปัญญาที่จะพูดอะไรแล้ว เพราะยังไงฐานะของหลิวเย่นั้น หยางป๋อซีก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะไปเปิดปากพูดอะไรมากนัก

หลังจากที่กำหนดและประกาศตัวละครหลักทั้งชายและหญิงของเรื่อง ‘Evil’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ถือว่าดำเนินงานต่อได้ง่ายขึ้น

ซื่อจี้หยินเหอมีสิทธิ์ที่จะแก้ไขตัวบทหนัง ‘Evil’ ได้ สิ่งสำคัญที่เหลืออยู่ก็คงเป็นเรื่องหาทุนแล้ว

นอกจากนี้ ก็ยังมีการเปิดรับสมัครผู้เขียนบท รองผู้กำกับจนไปถึงลูกทีมในกองอีกด้วย รวมไปถึงการหานักแสดงตัวละครอื่นๆ ที่เหมาะสมตามในเนื้อเรื่อง และพูดคุยกันเรื่องค่าตอบแทน

เรื่องที่ต้องทำหลังจากนี้ก็มีไม่มากแล้ว แต่เรื่องพวกนี้ล้วนแล้วไม่เกี่ยวอะไรกับจียงเซ่อ หลังจากที่เธอเกลี้ยกล่อมหลิวเย่ได้แล้ว เธอก็เริ่มเข้ากล้องเพื่อเตรียมตัวลงสนามจริง

เธอเคยได้ปรึกษากับจ้าวร่างแล้ว ว่าจะถ่ายฉากหลังๆ ของจางยวี่ฉินก่อน ส่วนฉากแรกๆ จะเอาไว้ถ่ายทีหลังสุด

เพราะว่าชีวิตของจางยวี่ฉินในช่วงแรกๆ ที่ถึงแม้จะมีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนกัน แต่ในใจของเธอยังมีความหวังอยู่ เพราะงั้นร่างกายของเธอจึงไม่ได้เป็นหญิงสาวผมโซอย่างในตอนหลังๆ

ตอนนี้เจียงเซ่อลดน้ำหนักไปแล้วถึงหกกิโลกรัม และเธอก็คิดว่าจะลดอีกสักหนึ่งโลครึ่ง เพื่อที่จะได้ถ่ายออกมาให้ตรงกับสภาพที่สุด