webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

289

บทที่ 289 เสียสติไปแล้ว

อย่างไรเสียผู้กำกับทุกคนก็ไม่ใช่จางจิ้งอาน และหนังทุกเรื่องก็ไม่ใช่เรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’

ถ้าหนังเรื่อง ‘Evil’ ออกฉายแล้วได้กระแสที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าหนังมันล้มเหลว หยางป๋อซีก็แทบไม่กล้าที่จะคิดผลที่จะตามมาหลังจากนั้นเลย

เขารอมานานหลายปี กว่าจะได้มีโอกาสทำงานกับจางจิ้งอาน และตอนนี้เขาก็ได้เดิมพันเอาไว้สูงแล้วด้วย ถ้าชนะก็แล้วไป แต่ถ้าแพ้ ก็คงจะต้องเข้าสู่หนทางเดิมๆ ของตัวเอง

หลิวเย่ตามใจตัวเองมากเกินไปแล้ว!

สีหน้าของหยางป๋อซีไม่ค่อยดีนัก แต่หลิวเย่กลับไม่มีท่าทีกังวลใจเลยสักนิด แถมยังเอาแต่นั่งคุยเกี่ยวกับตัวละครบทหนังกับเจียงเซ่ออีก

ที่จริงตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับใครได้ง่ายๆ ถ้าพูดในมุมมองของแฟนคลับแล้ว เขาถือว่าเป็นคนที่เย็นชาสุดๆ คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจียงเซ่อเองก็เคยได้เจอเข้าที่กองถ่ายหนัง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ตอนนั้นเขาก็แค่ตามจางจิ้งอานไป ก็แค่ไปนั่งดูเฉยๆ เท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้คงเป็นเพราะว่าเป็นหนังที่เขากำลังให้ความสนใจ หลิวเย่ก็เลยพูดมากขึ้น

และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจ คือการที่เจียงเซ่อมองตัวบทหนังได้ทะลุปรุโปร่งมาก และเข้าใจตัวละครจางยวี่หูในเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ เธอยังมีความคิดเห็นที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก แถมยังได้ทำความเข้าใจและวิเคราะห์ตัวละครอย่างจูจูที่ออกมาแค่ไม่กี่ฉากก็ตาย จนไปถึงสามีของจางยวี่ฉินด้วย

รายละเอียดต่างๆ ที่อยู่ในบทหนัง แค่เขาพูดถึงขึ้นมา เธอก็ตอบกลับได้ทันที

และเป็นเพราะว่าเธอเข้าในถึงตัวละครและเนื้อเรื่องของมัน ทำให้ตอนที่เธอแสดงสวมบทบาทเป็นจางยวี่ฉินก่อนหน้านี้ มันก็เหมือนกับว่าเธอไม่ได้กำลังแสดง แต่เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังและไม่มีใครช่วยเธอได้เลย

นั่นก็ยิ่งทำให้หลิวเย่ตื่นเต้นเข้าไปอีก

มีบางครั้งที่จ้าวร่างพูดขึ้นมาบ้าง ทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จนเวลาผ่านแล้วกว่าครึ่งชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว หยางป๋อซียกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วยิ้มอย่างจนปัญญาขึ้นมา

“ดูท่าเรื่องอื่นหลังจากนี้ ผมคงจะบอกปัดได้บ้างแล้วนะครับ”

ที่จริงตอนแรกจ้าวร่างให้เวลาเจียงเซ่อเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ต่อให้มีเวลาสักหนึ่งชั่วโมงก็คงคุยกันไม่พอแล้ว

หยางป๋อซีมองไปยังเซี่ยเชาฉวินที่ยังยืนอยู่ที่โต๊ะ แขนทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ ท่าทางดูใจเย็นและนิ่งเป็นอย่างมาก รออยู่นานพอควร แต่ก็ไม่มีท่าทางรีบร้อนอะไร ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้หล่อนหลุดได้ทั้งนั้น

“เชาฉวิน เดี๋ยวฉันจะให้คนเอาเครื่องดื่มมาให้เสียหน่อย เธออยากดื่มอะไรหน่อยไหม?”

หยางป๋อซีอายุมากกว่าเซี่ยเชาฉวินนิดหน่อย และทั้งสองคนก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวระดับแนวหน้าทั้งคู่ ปกติก็ติดต่อกันบ่อยๆ อยู่แล้ว ทำให้สนิทกันอยู่เหมือนกัน เซี่ยเชาฉวินเองก็ไม่ได้เกรงใจอะไรเขา จึงขอเป็นกาแฟแก้วหนึ่งไป หยางป๋อซีทำสัญลักษณ์มือว่าโอเคออกไป ผู้ช่วยที่นั่งอยู่ในห้องด้วยก็ลุกขึ้นมาทันที

ทั้งสองคนยืนคุยอยู่ที่โต๊ะสำนักงานอีกมุมหนึ่ง อยู่ห่างจากโซฟาที่สามคนนั้นกำลังนั่งคุยกันไปประมาณเจ็ดแปดเมตรได้ ทำให้การพูดคุยของทั้งสองคนไม่ไปรบกวนบทสนทนาที่กำลังเข้มข้นของเจียงเซ่อและอีกสองคนได้ หยางป๋อซีมองไปที่หลิวเย่แวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา

“เถาเฉินล่ะ ทำงานที่อิตาลีเป็นยังไงบ้าง?”

เถาเฉินเป็นคนแรกที่บุกตลาดอเมริกาเหนือ แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นอะไรมากมายนัก เซี่ยเชาฉวินเองก็ยังอยู่ในขึ้นตอนบุกเบิก ทำให้ในปีๆ หนึ่งน้อยมากที่จะอยู่ในประเทศ เพราะส่วนมากหล่อนจะให้เวลากับงานของเถาเฉินในต่างประเทศมากกว่า

ที่จริงหยางป๋อซีเองก็รู้สึกสงสัยในตัวเซี่ยเชาฉวินที่งานดูงานยุ่งตลอดเวลาแบบนี้ยอมพักงานใหญ่ในมือ แล้วมารับเจียงเซ่อดาราหน้าใหม่คนนี้มาดูแลอยู่มากๆ แต่เป็นเพราะว่าตัวเองยังมีมารยาทพื้นฐานอยู่บ้าง เขาเลยไม่ได้พูดมันออกไป

“ก็โอเคอยู่”

เซี่ยเชาฉวินพยักหน้า และตอบรวบรัดออกไป

“งานของเถาเฉิน ฉันได้เตรียมที่จะส่งให้คนอื่นทำต่อแล้ว”

สิ่งที่เซี่ยเชาฉวินพูดออกมาทำเอาหยางป๋อซีถึงกับสำลักน้ำลาย เขาเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วแล้วจ้องเซี่ยเชาฉวินตาโต เหมือนเสียการควบคุมไปเล็กน้อย

“เปลี่ยนผู้จัดการหรือ?”

เซี่ยเชาฉวินตอบกลับว่า ‘อืม’ สั้นๆ ส่วนเขาก็ถามออกมาอย่างตกใจ

“เพราะอะไร?”

เขารู้สึกยิ่งกว่าแปลกใจเสียอีกในตอนนี้ ทำให้เสียงพูดดังขึ้น จนมันสามารถดึงดูดให้หลิวเย่และคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานหันมามอง

หยางป๋อซียิ้มแห้งๆ ให้ จากนั้นก็ทำมือขอโทษขอโพยไป จากนั้นก็กดเสียงตัวเองให้เบาลง และเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“เพราะอะไรกัน?”

เขาถามขึ้นอีกครั้ง ท่าทางจะตกใจและตะลึงมากจริงๆ

อย่างไรเสียการที่เถาเฉินประสบความสำเร็จและเดินมาถึงจุดนี้ได้ เหล่าคนในวงการต่างก็รู้ดี แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้มันก็ต้องมีเกี่ยวกับเซี่ยเชาฉวิน ถ้าเปรียบเถาเฉินเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง งั้นเซี่ยเชาฉวินก็คงเป็นคนที่ปลูกต้นกล้าต้นนั้นขึ้นมาเอง คอยดูแล คอยมองดูเถาเฉินเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง และไม่ง่ายเลยกว่าที่มันจะออกดอก แต่หล่อนกลับกำลังจะปล่อยเถาเฉินไป นี่มันก็เหมือนการที่ขายผลของต้นไม้ที่ตัวเองเลี้ยงดูมันมาอย่างยากลำบากให้คนอื่นในราคาถูกๆ อย่างนั้นหรือ?

“ฉันตั้งใจที่จะหันมาให้ความสนใจกับตัวเจียงเซ่อแล้วน่ะ” เซี่ยเชาฉวินค้ำแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วยกขึ้นเสยผมข้างหนึ่ง

“ฉันไม่ชอบที่จะทำเรื่องสองเรื่องในเวลาเดียวกันเท่าไหร่ ลองดูมาสักพักแล้ว และฉันก็คิดว่าตัวเองเหมาะที่จะทุ่มเทให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเลยมากกว่า”

เธอพูดออกมาได้อย่างผ่าเผยและผ่อนคลาย แต่ก็ทำให้หยางป๋อซีต้องอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ

ยังไม่พูดถึงเรื่องเกียรติยศที่กำลังรุ่งโรจน์ แต่มองในด้านรายได้จากต่างประเทศแล้ว ยังไงตอนนี้เจียงเซ่อไม่มีทางสู้เถาเฉินได้แน่นอน

เถาเฉินสามารถดึงดูดกำลังทรัพย์ได้มากมาย โฆษณาที่ได้เซ็นสัญญาด้วยก็มีเยอะแยะไปหมด ในทุกๆปีอย่างน้อยก็ต้องมีหนังสองเรื่องที่ได้ออกฉาย ตารางงานกิจกรรมก็แน่นเอี๊ยด ค่าตัวของเธออยู่ในระดับไหน ก็อย่างน้อยหนังเรื่องหนึ่งก็แตะร้อยล้านแล้ว อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องยอดขายตั๋วหนังเลยด้วยซ้ำ แถมส่วนมากก็เป็นคนทำหนังดีๆ ทั้งนั้นที่มาขอเชิญให้เธอไปแสดง

และเพราะว่ามันเป็นแบบนั้น ทำให้ในปีๆ หนึ่งเถาเฉินมีรายได้มากกว่าเจ็ดร้อยแปดร้อยล้าน เซี่ยเชาฉวินที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของหล่อน ส่วนแบ่งที่ได้มาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวดาราเลยด้วย

เงินเยอะขนาดนั้น เพราะอะไรกันที่ทำให้เธอต้องออกนอกเส้นทางแบบนี้?

ยิ่งหยางป๋อซีเห็นหล่อนนิ่งสงบแบบนั้น ก็เกิดร้อนรนใจขึ้นมาแทน

“เชาฉวิน เธอนิ่งใจเย็นมาตลอด เธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้เถาเฉินมีความหมายมากแค่ไหน ถ้ายอมปล่อยหล่อนไปตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเลือกดาราหน้าใหม่แทน เธอจะสูญเสียไปไม่น้อยเลยนะ”

ถึงแม้ว่าตอนนี้เจียงเซ่อเองก็เริ่มที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทางเทียบกับเถาเฉินได้แน่ๆ “เท่าที่ฉันรู้มา ว่าหลังจากที่หล่อนเซ็นสัญญากับเธอแล้ว โฆษณาแบรนด์ แอมบาสเดอร์ที่ได้ก็มีแค่สองตัวเองไม่ใช่หรือ? แค่ Gang Hua Jewelry กับแบรนด์เล็กๆ ของอิตาลีอีกหนึ่งแค่นั้นเอง”

นอกจากนั้นแล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีอย่างอื่นอีกเลย

“กางเกงยีนส์แบรนด์ Adeele”

เซี่ยเชาฉวินเตือนเขาขึ้นมา แล้วเขาก็มีท่าทางเหมือนกำลังตีอกชกหัว

“แบรนด์นี้มันเพิ่งเป็นที่สนใจไม่นานมานี้เอง ตอนที่เจียงเซ่อเซ็นสัญญาไปก็ยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ ค่าใช้จ่ายโฆษณาก็ไม่มีทางเทียบกับโฆษณาแบรนด์ใหญ่อื่นๆ ได้หรอกนะ ส่วนเรื่องงานหนัง ตอนนี้หล่อนก็หยุดรับงาน ถ้าไม่นับเรื่อง ‘Evil’ ก็มีแค่หนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ ของจ้าวร่างไม่ใช่หรือไง?”

เช่นกันว่าตอนที่เธอรับเล่นก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าค่าตัวจะต้องต่ำแน่ๆ สำหรับเซี่ยเชาฉวินแล้ว ส่วนแบ่งที่จะได้จากจุดนี้ ต่อให้ประหยัดแค่ไหนก็ไม่พอหรอก

“ก็ใช่”

เซี่ยเชาฉวินยกมุมปากขึ้น เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

“รายได้เธอไม่ได้สูงอะไร แถมตอนนี้ก็ยังเป็นหนี้ด้วยซ้ำ”

หล่อนนึกถึงเจียงเซ่อที่เคยพูดเอาไว้ว่าในหนึ่งปีจะไม่รับเล่นหนังมากเกินไป และตอนที่เธอได้รู้ถึงสถานการณ์การเงินของตัวเอง และถามหล่อนว่ามีงานเข้ามาให้ทำบ้างหรือเปล่าด้วยใบหน้าเจื่อนๆ นั่น มันทำให้รอยยิ้มของหล่อนมันชัดขึ้นอีก แววตาซุกซ่อนความขบขันเอาไว้

หยางป๋อซีกำลังคิดว่าหล่อนเสียสติไปแล้วแน่ๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะต้องสูญเสียไปอย่างมหาศาล แต่หล่อนก็ยังยิ้มออกมาได้อยู่อีก