webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

288

บทที่ 288 โน้มน้าว

หลิวเย่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนจ้าวร่างก็ยังมองไปที่เขาอย่างตื่นเต้น

เซี่ยเชาฉวินยืนกอดอกอยู่ที่โต๊ะสำนักงาน และไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาช่วยเจียงเซ่อพูดอีกแรงด้วย เขาดุนลิ้นกับข้างแก้มตัวเอง

ภายในห้องสำนักงานไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่หญิงสาวที่นำทางเธอขึ้นมาก็ยังเก็บเท้าเก็บเสียงเอาไว้อย่างที่สุด พยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง เพื่อไม่ให้เสียงหายใจของตนเองดังเกินไป

ความเงียบที่แสนประหลาดเริ่มแผ่ไปทั่วห้อง หลิวเย่ที่รู้ว่าเจียงเซ่อพูดเสร็จแล้ว เธอก็ไม่พูดอะไรอีก และรอให้เขาตอบกลับ

จ้าวร่างเท้าศอกไว้บนหน้าขาตนเอง ครึ่งตัวบนโน้มไปด้านหน้า แววตาดูร้อนใจอยู่ไม่น้อย

“หลิวเย่ ยังไงก็ลองพิจารณาดูอีกสักรอบแล้วกันนะ”

หนังเรื่อง ‘Evil’ ถือว่าถูกยื้อเวลามานานมากแล้ว ในความคิดของจ้าวร่าง การกระทำของเจียงเซ่อในวันนี้มันทำให้ตนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ตอนที่เธอเดินเข้ามา อารมณ์ตอนพูด ท่าทางที่แสดงออกมา มันเหมือนกับว่ามีจางยวี่ฉินตัวจริงๆ มาอยู่ตรงนี้เลย

ก่อนหน้านี้ จ้าวร่างเองก็เคยจินตนาการและคิดมาตลอดว่าควรจะสร้างตัวละครจางยวี่ฉินให้ออกมาเป็นแบบไหน เธอควรจะเป็นคนประเภทไหนและมีลักษณะท่าทางแบบไหนที่จะออกมาเป็นนางเอกได้

แต่ในวินาทีที่เขาได้เห็นเจียงเซ่อ จ้าวร่างก็พบว่า เจียงเซ่อได้ทำให้ตัวละครจางยวี่ฉินในบทหนังออกมามีชีวิตจริงๆ แล้ว กระดูกสันหลังของเธอที่โค้งงอเหมือนงู เส้นผมที่ยุ่งเหยิง และแววตาที่ว่างเปล่าราวกับคนที่ไม่มีชีวิตแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียว เธอไม่ได้แสดงออกให้คนเห็นแค่ทางด้านร่างกาย เธอเหมือนเป็นคนที่ได้รับความทรมานจริงๆ การใช้ชีวิตก็ไม่เหมือนกับผู้หญิง

ถึงแม้ว่าตอนนั้นเธอจะยังไม่ได้พูดบทขึ้นมา แต่ความสิ้นหวังที่ถูกส่งออกมาทางสายตา ก็สามารถทำให้คนรู้สึกได้แล้ว

“คงไม่จำเป็นต้องพิจารณาแล้วล่ะครับ ผู้กำกับจ้าว เอาเป็นว่าผมรับเล่นหนังเรื่องนี้เลยละกัน”

หลิวเย่ยิ้มๆ ท่าทางมีความสุขของเขาทำเอาหยางป๋อซีชะงักไป ก่อนที่ใบหน้าจะเผยความกังวลออกมา

“คุณเย่”

หลิวเย่ไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะยกมือขึ้นมาประสานกัน “ที่จริงผมเองก็สนใจในหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้ที่ได้ดูบทไปก็ชอบแล้ว แต่ที่ไม่ยอมตอบรับสักที ก็แค่ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องจริงจังมากขึ้นเท่านั้นเองครับ”

คำพูดของเขาทำให้จ้าวร่างโล่งอก คิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออกในทันที และมีรอยยิ้มเข้ามาแทนที่

“งั้นก็ดีมากเลย!”

จ้าวร่างกำมือแน่น “ความรู้สึกที่ได้เห็นนายกับเจียงเซ่อต่อบทกันเมื่อกี้ สายตาที่จ้องกัน มันมีพลังสุดๆไปเลย”

ในตอนที่หลิวเย่ทำท่าทางว่ากำลังใช้จักรเย็บผ้าอยู่นั้น ถึงแม้ว่าตรงหน้าจะไม่มีอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดกับสิ่งที่เขาแสดงเลยสักนิด กลับกันมันกลับทำให้คนที่ได้เห็นอินกับสถานการณ์มากขึ้น จุดนี้ถือว่าเก่งมากๆ

“นี่เป็นครั้งแรกที่นายเล่นบทเป็นตัวร้ายใช่ไหม?”

และหลังจากที่หลิวเย่ตกปากรับคำว่าจะรับเล่นหนังเรื่อง ‘Evil’ แล้ว บรรยากาศในห้องสำนักงานก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นอกจากแววตาของหยางป๋อซีที่เต็มไปด้วยความกังวล และใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนแล้ว คนอื่นๆ ก็พากันยิ้มกันหมด หลิวเย่เงยหน้ามองเซี่ยเชาฉวินแวบหนึ่ง เธอเองก็เม้มปาก ดูมีกิริยาท่าทางที่ผ่อนคลายขึ้น

ก่อนหน้านี้ที่เธอเห็นการแสดงของเจียงเซ่อก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไร เกี่ยวกับคำขอของเจียงเซ่อที่ขอให้เขาช่วยรับเล่นหนังเรื่องนี้ เธอเองก็ไม่ได้กังวลอะไร ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองมั่นใจในตัวเจียงเซ่อ หรือเป็นเพราะตัวหล่อนเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่หลิวเย่จะรับหรือไม่รับเล่นหนังกันแน่

“เป็นครั้งแรกจริงๆ นั่นแหละครับ ที่จริงทุกอย่างก็ถือว่าเป็นครั้งแรกทั้งนั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ได้รับเล่นแต่บทที่เป็นตัวดีมาตลอด เลยตั้งใจที่จะเปลี่ยนทางดูบ้าง”

เขายิ้มขึ้นมา และจับมือกับเจียงเซ่อ “ช่วงเวลาหลังจากนี้ หวังว่าจะได้ร่วมมือกันอย่างราบรื่นนะครับ”

พอหมดซึ่งความกังวล ตอนนี้จ้าวร่างเองก็เลยพูดคุยอย่างสนุกสนาน

“เจียงเซ่อก้าวหน้าขึ้นเยอะเลยนะ ที่เข้าไปฝึกการแสดงกับทางคณะละครนี่ถือว่าได้ฝึกฝนมากจริงๆ ตอนแรกฉันยังกังวลอยู่ที่นายบอกว่าจะพิจารณาดู เพราะนายเองก็รับปากมานานแล้ว แต่ยังไม่ยอมตกลงสักที”

หลิวเย่ยิ้ม แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างนั่งอย่างสบาย

“ปัจจัยในทุกๆ ด้านต้องพิจารณาให้ดีน่ะครับ แต่ที่ใช้เวลาพิจารณานาน สิ่งที่ต้องการก็แค่จุดสำคัญเท่านั้น” เขายื่นมือขวาออกมา แล้วถูนิ้วชี้และนิ้วโป้งทำเป็นสัญลักษณ์

“โอกาสที่ดีแบบนี้ ผมเองก็ไม่อยากจะพลาดจากมัน”

“ไม่ใช่เพราะว่าการแสดงของเจียงเซ่อ ทำให้นายประทับใจเหรอ?”

จ้าวร่างไล่ถามขำๆ หลิวเย่เหมือนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง หยางป๋อซีคิดว่าเขาจะไม่ตอบด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็เปิดปากออกมา

“พูดตรงๆ เลยนะครับ ถ้าเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ ผมก็คงไม่ตอบแน่ๆ แต่อย่างไรซะผู้กำกับจ้าวก็ออกปากถามมาแล้ว ผมก็คงต้องตอบเสียหน่อย”

เขามองไปที่เจียงเซ่อด้วยรอยยิ้ม

“การแสงดของเจียงเซ่อทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจ ไม่ใช่เรื่องนี้”

“ไม่ใช่เรื่องนี้?”

คำตอบของหลิวเย่ทำให้จ้าวร่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อย หยางป๋อซีเองก็ประหลาดใจ เจียงเซ่อมาถึงก็ต่อบทกับเขาทันที ต่อจากนั้นเธอก็มาขอร้อง หลิวเย่ยังไม่ทันได้ปรึกษาอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ ก็ตอบตกลงรับเล่นหนังเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

คนทั่วไปคงจะพากันคิดว่าการที่หลิวเย่รับเล่นหนังเรื่องนี้ ก็เพราะรูปลักษณ์ของเจียงเซ่อก่อนหน้านี้แน่ๆ

อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็มีท่าทีลังเลที่จะรับเล่นหนังเรื่อง ‘Evil’ ไม่ใช่กังวลว่าบทหนังเรื่องนี้มันไม่ดี แต่สิ่งที่กังวลคือการที่จ้าวร่างเป็นคนมากำกับเรื่องนี้ และกังวลที่เจียงเซ่อเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ต่างหาก แถมอายุเธอก็ยังน้อย กลัวว่าจะแสดงถึงความรู้สึกของจางยวี่ฉินออกมาไม่ได้ และไม่สามารถต่อบทกับเขาได้

แต่การแสดงของเจียงเซ่อมันมากเกินกว่าความแปลกใจของเขาเสียอีก และความกังวลของหลิวเย่ก็คงถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว และหยางป๋อซีก็คิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวตอบตกลงที่จะรับเล่นหนังแน่ๆ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่ามันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดเสียอย่างนั้น

“แน่นอนว่าไม่ใช่ครับ ถ้าจะพูดให้ถูก คือไม่ใช่ทั้งหมดต่างหาก จุดนี้เป็นแค่หนึ่งในเหตุผลเท่านั้นเอง”

หลิวเย่โยกหัว น้ำเสียงของเขาฟังดูก็รู้ว่าพูดออกมาจากใจ

“จุดที่สำคัญที่สุด คือความตั้งใจและความรอบคอบของเธอต่างหาก”

เพื่อตัวละครตัวนี้เธอยอมลดน้ำหนักเกือบสิบกิโล รู้ว่าการแสดงของตัวเองยังไม่พอ ก็เลือกที่จะไปฝึกซ้อมและเรียนรู้ที่โรงละครใหญ่ก่อนตั้งเกือบครึ่งปี

และนี่คงเป็นสองเรื่องที่เธอเลือกจะทำเองตามที่เธอกล่าวมา ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็คงไม่ได้เห็นชัดๆ ว่าเธอก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้

หลิวเย่ชอบที่เธอให้ความสนใจกับหนังที่จะเล่นแบบนี้ ให้ความสำคัญและรอบคอบต่อตัวละครที่ได้รับเล่น ไม่ใช่ว่าสักแต่ทำชุ่ยๆ อีกทั้งยังไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่อาจเป็นไปไม่ได้ ไม่พึ่งพาคนรอบข้าง ใช้เพียงความพยายามของตัวเอง และสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับมาด้วย

ไม่ใช่เพราะว่าเธอมีคนมีอำนาจคอยหนุนหลัง และไม่ได้พึ่งพาให้เซี่ยเชาฉวินมาใช้ความสนิทกันพูดเกลี้ยกล่อมให้ อีกทั้งเธอก็ไม่ใช่พวกก่อกวนให้ยุ่งยาก แต่รู้จักที่จะเตรียมตัวให้ดีก่อนด้วย

เธอมีความคิดเหมือนจะไปตายเอาดาบหน้าอย่างแน่วแน่ เธอใช้เวลาภายในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ในการเตรียมตัวเพื่องานๆ นี้ ลดน้ำหนักจนผอมขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าช่วงนี้เธอจะออกไปไหนหรือไปรับงานโฆษณาอีกไม่ได้แน่ๆ

ยิ่งรูปร่างของเธอในตอนนี้ก็ไม่เหมาะกับการพูดถึงงานโฆษณาด้วยซ้ำ เพื่อหนังเรื่อง ‘Evil’ ถึงกับยอมลดน้ำหนัก แม้แต่ภาพลักษณ์ที่เหมือนกับโต้วโค่วในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ก็ไม่เหลือแล้วด้วย

เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้คิดถึงหนทางข้างหน้าของตนเองเอาไว้หรอก ตั้งใจแต่ว่าจะเดินเส้นทางเดิมนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความไฟแรงแบบนั้น หลิวเย่เองก็เคยเป็นมาก่อน

คำพูดของเขาทำให้จ้าวร่างต้องลองขบคิด ส่วนหยางป๋อซีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว วิธีแบบนี้ถือว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของหลิวเย่จริงๆ แต่ยังไงเขาก็พูดแบบนี้ออกมาแล้ว เรื่องนี้ก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

แต่ช่วงนี้หนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ก็กำลังโด่งดัง ผู้กำกับที่เป็นชาวต่างชาติหลายๆ คนต่างก็ออกมาชื่นชมเขา ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ การที่ดาราของหัวเซี่ยจะไปตีตลาดของอเมริกาเหนือได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ถ้าเขามัวแต่เสียเวลาอยู่ตรงนี้ละก็ โอกาสที่จะได้เจอสิ่งดีๆ แบบนี้อีกก็คงยากแล้ว