webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

286

บทที่ 286 ทำ

หลิวเย่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน แทบไม่ต้องสงสัยเรื่องฝีมือการแสดงของเขาเลย การที่เจียงเซ่อมาทำการแสดงต่อหน้าเขาแบบนี้ มันก็เป็นไปได้สูงที่จะโดนเขากดลง

จ้าวร่างเองก็คิดว่าเจียงเซ่อเข้าใจเรื่องนี้ดี นี่เป็นโอกาสที่เธอจะได้เจอกับหลิวเย่ และเป็นเพราะเซี่ยเชาฉวินออกหน้าให้ด้วย แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเปิดฉากด้วยวิธีนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก ก็คงจะเป็นการหลงตัวเองเกินไป

รู้จักกับเจียงเซ่อมาก็ระยะหนึ่งแล้ว ร่วมงานกันก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว จ้าวร่างเองก็พอจะรู้จักนิสัยของเธออยู่บ้าง เธอไม่ใช่พวกหลงตัวเอง การที่เธอกล้ามาแสดงว่าตัวเองคือจางยวี่ฉินต่อหน้าหลิวเย่แบบนี้ ก็แสดงว่าเธอกำลังตั้งใจทำอย่างที่สุดแล้ว จ้าวร่างกำมือแน่น ในใจมันตื่นเต้นไปหมด

วินาทีต่อมาที่หลิวเย่รู้สึกตัว เขาก็เริ่มเข้าบทกับเธออย่างรวดเร็ว

การที่หลิวเย่จะเข้าบทสักทีก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เขาแค่เปลี่ยนท่านั่ง งอเอวเล็กน้อย ห่อไหล่ลงอีกนิด แค่นั้นก็ดูเหมือนคนกำลังท้อใจแล้ว นัยน์ตาของเขาค่อยๆ เลื่อนต่ำลง ในตอนมุมปากของเขามันกระตุกขึ้น มันก็ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกสั่นขึ้นทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้หนาว แต่เพราะหวาดกลัวต่างหาก

ท่าทางแบบนั้นของเขา มันก็สมแล้วที่จะทำให้จ้าวร่างมองว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่จะมาเล่นรับเล่นเป็นลั่วเซิ่นใน ‘Evil’ มุมปากของเขาที่ยกขึ้น ทั้งที่คนก็ยังเป็นคนเดิม เป็นคนที่จัดหวีผมมาอย่างเรียบร้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ดูสดใส แต่แค่ท่าทางบางอย่างของเขาที่เปลี่ยนไป หลิวเย่ก็สามารถทำให้คนอื่นมองเขาไม่เหมือนเดิมได้แล้ว

ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจ้าวร่างนี้ มันเหมือนกับว่ามีฆาตกรฆ่าคนในเรื่อง ‘Evil’ ตัวเป็นๆ หลุดออกมาจริงๆ สายตาอันเย็นเยือกที่กำลังลอบมองโลกนี้อยู่ในซอกและมุมมืด เหมือนกับว่ากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ ราวกับฝุ่นละอองที่แสนต้อยต่ำ แต่ก็เหมือนว่ากำลังเก็บซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้ในแววตา

จ้าวร่างเองก็เคยได้ดูหนังที่หลิวเย่เล่นมาก่อน แต่เวลาที่ดูจอใหญ่ มันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกับการได้มานั่งดูอยู่ข้างๆ แบบนี้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาไม่ได้แต่งหน้า แต่ความรู้สึกของเขาที่แผ่ออกมามันสามารถทำให้คนรอบๆ ข้างสัมผัสได้เช่นกัน เขาหันไปมองที่ฝั่งเจียงเซ่ออย่างกังวล เพราะเขากลัวว่าเจียงเซ่อจะเกรงกลัวต่อฝีมือการแสดงของหลิวเย่และคิดจะถอยไปเสียก่อน

แต่เธอกลับไม่ได้รีบจบฉากที่น่าสนใจนี้และไม่ได้มีท่าทางกดดันเลยสักนิด และสิ่งที่ยิ่งทำให้จ้าวร่างรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปอีก ก็คืออารมณ์ที่เธอสื่อออกมา มันไม่ได้น้อยไปกว่าหลิวเย่เลย

เธองอเอวห่อไหล่ แต่ละก้าวที่เธอเดินเข้ามามันโซเซ เส้นผมหลายเส้นที่ตกลงมาปรกใบหน้าของเธอ เมื่อแสงสลัวเข้ามาปกคลุม แววตาของเธอมันก็เต็มไปความลึกลับและซ่อนด้วยแรงอาฆาตแค้น หัวคิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน แต่ริมฝีปากกลับแยกยิ้มขึ้น

แค่สายตาแบบนั้นของเธอ มันก็สามารถสู้กับหลิวเย่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เธอพูดบทออกมา เธอสามารถสื่อความสิ้นหวังของหญิงสาวออกมาจากท่าทางน้ำเสียงการพูดได้อย่างยอดเยี่ยม

ร่างกายที่ผอมบางยิ่งเหมือนเป็นเครื่องหมายชีวิตที่แสนทรมานของเธอ เรือนผมที่ยุ่งเหยิงทำให้เหมือนว่าเธอไม่ได้สนใจต่อรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองเลยสักนิด คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลดที่ไร้เสียง ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าความสิ้นหวังมันวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ ราวกับว่าไม่สามารถกู่กลับมาได้อีกต่อไป

ในตอนที่หลิวเย่และเจียงเซ่อปะทะกัน มันก็น่าตื่นเต้นจนแผ่นหลังของจ้าวร่างมันชื้นเหงื่อไปหมด แววตาที่เธอมองไปที่หลิวเย่ ไม่มีหลบหลีก ไม่มีหลุดบท และไม่ยอมแพ้ต่ออันตรายที่อยู่ตรงหน้า

เธอเดินอ้อมตัวหลิวเย่ จากฝีเท้าในแต่ละก้าวมันหนักขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาคือความลังเลที่จะก้าว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นก้าวเร็วขึ้นอีก กับการก้าวเดินที่แตกต่างกันสามระดับนั้น เป็นการสื่อถึงความรู้สึกภายในใจของตัวละครหลัก ความรู้สึกที่เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เธอพูดออกมาอย่างโล่งอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นงกเงิ่น

“ฉันตามหาคุณมานานแล้วรู้ไหม”

ทำให้คนที่ได้ฟังเสียงรู้สึกได้ถึงความสับสนวุ่นวายที่อยู่ในใจของเธอ เธอเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวที่กำลังหลงทาง และได้เจอจุดมุ่งหมายที่ต้องการแล้ว ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ แต่กลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนใบหน้า

“ตามหาผม?” หลิวเย่หัวเราะ แล้วเงยหน้าขึ้น

“อะไรที่อยากจะให้ผมช่วยซ่อมงั้นหรือครับ?”

ตอนที่เขาพูดออกมา ในมือก็ยังไม่หยุดสิ่งที่กำลังทำ ทำท่าทางราวกับว่ากำลังตัดอะไรบางอยู่

ในบทหนังลั่วเซิ่นเป็นช่างตัดเสื้อวัยกลางคน คอยรับซ่อมเสื้อผ้าแลกเงินเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ

ตอนนี้ตรงหน้าหลิวเย่ไม่มีสิ่งของอะไรเลยสักอย่าง ที่นี่คือสำนักงานที่ถูกตกแต่งในสไตล์โมเดิร์น ไม่ใช่ห้องที่ทั้งคับแคบและทรุดโทรมในตรอกเล็กๆ ของลั่วเซิ่นอย่างในบทหนัง แต่เวลาที่เขาพูดออกมา ขาของเขาก็เริ่มทำท่าเหมือนกับว่ากำลังเหยียบจักรเย็บผ้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขาก้มหน้าลงทำเหมือนว่ากำลังเย็บเสื้อผ้าอยู่ พร้อมกับตัวที่ขยับโยกตามแรงเหยียบ ร่างกายของเขาขยับเพียงแค่เบาๆ เส้นผมของเขาพลิ้วไปตามแรงเล็กน้อย ราวกับว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือเรื่องจริง และง่ายเหลือเกินที่จะทำให้คนดูอินกับมัน

เจียงเซ่อจ้องมองเขา ก่อนจะทำท่าทางเดินอ้อมจักรเย็บผ้าไป การกระทำของเธอทำให้หลิวเย่ต้องยกตามองขึ้น แต่ก็ลดสายตาลงกลับไปอีกครั้ง

เธอเดินอ้อมไปที่โซฟาแล้วนั่งลง แล้วเขยิบเข้าไปชิดกับที่วางมือ ท่าทางแบบนั้นทำให้รู้ว่าในใจเธอมันคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เธอยกแขนขึ้น แล้ว ‘โยน’ ของบางอย่างขึ้นไปบนเครื่องจักร “ของพวกนี้ ช่วยซ่อมให้ฉันหน่อยสิ”

หลิวแย่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปคว้าห่อนั้นมา ยิ่งเขาแกะออก ท่าทางของเขาก็ยิ่งช้าลง แววตาเผยความชั่วร้าย ราวกับว่าคิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ท่าทางตื่นเต้นเสียด้วย จนเหมือนจะเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ลมหายใจมันดูไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย

เจียงเซ่อมองเขายิ้มๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีก ถึงจะยิ้มแต่คิ้วก็ยังขมวดเข้าหากัน พร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดหางตา ก่อนจะถามออกมาอย่างนุ่มนวล

“ของพวกนี้ยังซ่อมได้หรือเปล่า?”

“ได้สิ” ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งแหบและแห้ง

“สามสิบไขว้*เงินหยวนของจีนก็พอแล้ว”

ตรงหน้า ‘เขา’ มีกองเสื้อที่ทั้งสกปรกและมีสภาพที่ดูไม่ได้กองหนึ่ง มันเปื้อนไปด้วยรอยเลือดและเศษดิน แผ่นอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง และเผลอยกมือขึ้นลูบมันให้สงบลง

“ถ้าซ่อมของพวกนี้ได้ แล้วใจคนล่ะ?” เจียงเซ่อชี้นิ้วจิ้มไปบนอกของตนเอง

“ถ้าตรงนี้มันพัง มันจะยังซ่อมได้ไหม?”

พอเธอพูดจบ หลิวเย่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

เวลาที่เขามองลูกตาสีดำมันเหลือบขึ้นด้านบน การที่มองด้วยสายตาแบบนั้นทำให้สามารถเผยตาขาวได้มากขึ้น ทำให้คนที่ถูกจ้องมองต้องรู้สึกเหมือนโดนกดดัน มันดูทะมึนทึบไปหมด

ทั้งสองคนปะทะสายตากัน บรรยากาศโดยรอบดูเยือกเย็นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความชั่วร้ายมันแผ่กระจายไปทั่วจิตใจของทุกคน

“cut!” แล้วจู่ๆ จ้าวร่างก็ตะโกนตัดขึ้นมาอย่างรู้สึกสนุกไม่น้อย เขารู้สึกตื่นเต้นจนต้องถูมือไปมา ที่จริงเมื่อครู่เขาเองก็โดนหลิวเย่และเจียงเซ่อดึงดูดเข้าไปในบทของทั้งสองคนแล้ว ราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในฉากๆ นั้นเลย แต่คิดว่าการแสดงของทั้งสองคนมันมาถึงจุดที่พอดีแล้ว เลยสั่งให้หยุดเอาไว้ก่อน

พอตะโกนออกไปแล้วจ้าวร่างก็ทำเหมือนว่าไม่ตัวเองไม่ได้อยู่ในฉากอีกต่อไป เพราะจริงๆ พวกเขาก็อยู่กันแค่ในสำนักงานของหลิวเย่ แต่เขาเองก็สัมผัสได้ว่าที่ตัวเองตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นนั้นไม่ใช้เพราะอึดอัด แต่เป็นเพราะตื่นเต้นมากต่างหาก

ฉากก่อนหน้านี้ที่เล่นกันไป ฝีมือการแสดงของหลิวเย่คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่เจียงเซ่อที่ต้องเล่นบทปะทะอารมณ์กับหลิวเย่แล้วไม่โดนเขากดลงนี่สิที่น่าตื่นเต้น แถมยังให้ความรู้สึกว่าทั้งคู่มีฝีมือที่พอๆ กันเลยด้วย

เจียงเซ่อเปิดฉากโดยการใช้ภาษาร่างกาย เป็นการใช้ประโยชน์เพิ่มความรู้สึกให้คนอื่นมากขึ้น ในนาทีเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่พูดออกมาหรือจะเป็นท่าทางอารมณ์ เธอก็สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าเธอคือจางยวี่ฉิน ความรู้สึกที่ได้พบกับคู่อาฆาตที่ฆ่าลูกสาวของตัวเองสักทีหลังจากที่ตามหามานานอย่างยากลำบาก มันง่ายมากที่จะทำให้ใครๆ คล้อยไปตามอารมณ์ของเธอ!

จ้าวร่างนึกถึงครั้งแรกที่เธอเข้ามาในกองถ่ายหนังเรื่อง ’99 Love Letter’ ของเขาในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีความมุมานะอดทน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือการแสดงของเธอในตอนนั้นมันยังไม่เพียงพอจนถึงขึ้นยังใช้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

อีกทั้งเธอไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนสอนการแสดงที่ไหน แต่แค่ในระยะเวลาสั้นๆ ในหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอก็สามารถก้าวหน้ามาได้ขนาดนี้ ตอนที่ต่อบทกับหลิวเย่ กลับดูไม่มีท่าทางเกรงกลัวเลยสักนิด?