webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

285

บทที่ 285 บรรจง

เจียงเซ่อรวบผมขึ้นอย่างลวกๆ อีกทั้งยังใช้มือปัดๆ มันอีกด้วย การที่เธอทำตัวทำท่าทางให้ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจตัวเองแบบนี้ มันทำให้พนักงานที่มาต้อนรับนำทางเธอรู้สึกปวดใจกับสาวสวยผิวพรรณเอิบอิ่มที่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้มาก

เส้นผมของเธอดูสุขภาพดีมากๆ ในตอนที่ปล่อยมันลงมามันสลวยสวยราวกับในโฆษนาแชมพูที่เคยได้เห็นในโทรทัศน์ แต่พอเธอสะบัดมันจนยุ่งไปหมดแล้ว ก็ยังดึงปอยผมข้างหน้าให้ตกลงมาอีกด้วย จากนั้นก็ยีให้มันยุ่งเหยิงกว่าเดิม พนักงานรีบหันหน้าไปทางอื่น ไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เจียงเซ่อกำลังทำนัก

นำจนมาถึงหน้าห้องประชุมแล้ว พนักงานนำทางคนนั้นเคาะประตู เสียงของหยางป๋อซีที่อยู่ข้างในก็ดังขึ้นมาว่า ‘เชิญเข้ามาได้เลย’ หญิงสาวเปิดประตูเข้าไป หลิวเย่และจ้าวร่างกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โซฟา หยางป๋อซีกำลังยกเก้าอี้มาตั้งไว้อีกข้าง ตอนที่เจียงเซ่อเดินเข้าไป หลิวเย่นั่งหันหลังให้เธอ เป็นหยางป๋อซีและจ้าวร่างที่สังเกตเห็นเธอก่อน

ทันทีที่ทั้งสองคนนั้นเห็นเจียงเซ่อ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที

“ทำไมเธอถึง......”

จ้าวร่างถึงกับตกใจอุทานทักออกมา เขาเองก็ไม่ได้เจอหน้าเจียงเซ่อมาถึงสองเดือนแล้ว ช่วงปลายมกราคมมันก็ใกล้จะถึงชุนเจี๋ยพอดี เขาเองก็มีเรื่องยุ่งๆ ของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะคอยนึกถึงหนังเรื่อง ‘Evil’ อยู่ตลอดเวลา แต่นอกจากการติดต่อเจียงเซ่อผ่านมือถือแล้ว ตลอดมาก็ไม่ได้ติดต่อกันทางอื่นเลย

จนกระทั่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เขาเองก็อยากจะนัดเจอเจียงเซ่อ แต่ก็โดนเจียงเซ่อบอกปัดทุกครั้งไป ทั้งๆ ที่ผ่านเซี่ยเชาฉวินด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่าเจียงเซ่อมีเรื่องยุ่งๆ ที่ต้องจัดการ แม้แต่มหาวิทยาลัยก็ทำเรื่องหยุดไปแล้วด้วย แต่จ้าวร่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ว่าในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองเดือน เจียงเซ่อจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้!

ในตอนที่จ้าวร่างมองเจียงเซ่อ เขาก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย ท่าทางของหยางป๋อซีที่ยืนอยู่อีกด้านก็ไม่ต่างกันนัก เขาเบิกตากว้างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำอยู่นาน

ครั้งก่อนที่หยางป๋อซีได้พบกับเจียงเซ่อ ก็เป็นตอนที่อยู่ในงานหนังภาพยนตร์ ตอนนั้นเจียงเซ่อดูเอิบอิ่มเปล่งประกายกว่านี้มาก สวมชุดที่ถูกสั่งทำขึ้นมาใหม่ และบุคลิกก็โดดเด่นกว่าใครๆ สวยอย่างไร้ที่ติ จะเทียบกับเธอในตอนนี้ได้อย่างไรกัน?

พอเธอเข้ามาในห้องประชุมแล้ว ก็ค่อยๆ ห่อไหล่ลง ลำคอที่เคยตั้งตรงก็ตกลง จนรู้สึกว่าคนๆ นี้ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิดเดียว เธอผอมจนเหมือนว่าถ้าลมพัดมาก็คงล้มลงไปแล้ว สันกระดูกที่นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด และความรู้สึกเล็กๆ ที่สัมผัสได้ว่าดูเป็นคนหัวแข็งอยู่ไม่น้อย

หลิวเย่ที่เห็นท่าทางของหยางป๋อซีและจ้าวร่างแล้วก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาจึงหันหน้าไปมอง พอเสี้ยวนาทีที่ได้เห็นเจียงเซ่อ เขาเองก็ตกตะลึงไปพอควร

ผมของเธอถูกรวบขึ้นอย่างลวกๆ ราวกับเพิ่งถูกรีบๆ รวบขึ้นเพราะรีบ แถมมีบางจุดที่ยังยุ่งอยู่เลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญเลยคือเธอดูผอมลงมากๆ ยิ่งตรงข้อมือเธอก็ยิ่งดูเหมือนหนังหุ้มกระดูก มันบางราวกับแค่คนไปแตะต้องก็คงหักแล้ว

ชุดพนักงานตัวใหญ่ที่ดูเชยๆ นั่นอยู่บนตัวเธอ และเพราะร่างกายของเธอที่ผอมเกินไป มันเลยยิ่งดูหลวม ดูไม่เหมาะกับตัวเธอสุดๆ ขอบกระโปรงนั่นมีขาที่เล็กเหมือนตะเกียบโผล่พ้นออกมา และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือใบหน้าขาวซีดของเธอนั่นเอง ยิ่งสายตาที่เธอจ้องมองมานั้น มันก็ทำให้หลิวเย่รู้สึกหนังศีรษะชาไปหมด

เขายังจำตัวเองที่ตกตะลึงในความสวยของเธอในตอนที่เจอกันครั้งแรกได้ ใน ‘The Occasion of Beiping’ เธอสวยราวกับดอกอวี้หลันดอกหนึ่ง แต่เจียงเซ่อในตอนนี้กลับมีแต่กลิ่นอายของความเซื่องซึม ใบหน้าซีดขาวจนแทบไม่เห็นรอยเลือดฝาดเลยสักนิด กรอบใบหน้าเล็กที่อยู่ภายใต้เรือนผมที่ยุ่งเหยิงนั่นยังสามารถสัมผัสได้ถึงความสะสวย แต่กลับเหมือนว่ากำลังโดนท่าทางความรู้สึกเหนื่อยล้าที่แสนหนักอึ้งนั่นกลบปิดเอาไว้จนหมด

ตอนนี้เธอเหมือนกับคนที่มีเรื่องอันหนักอึ้งอยู่ในใจ เหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแบกรับเรื่องต่างๆเอาไว้มากมาย ไหนกันผู้หญิงที่เคยมีบุคลิกที่แสนสง่างามคนนั้น?

“ลั่วเซิ่นใช่ไหม?”

ในตอนที่หลิวเย่หันมามอง เธอก็ค่อยๆ กดมุมปากลง เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา ใบหน้าและปากของเธอมันดูเกร็งแข็งไปหมด ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่ากำลังยิ้ม แต่กลับรู้สึกว่ามันช่างดูเยือกเย็นจนชาไปหมด เส้นเลือดบนหน้าผากของเธอที่เต้นตุบขึ้นมาสองครั้ง พร้อมๆ กับดวงตาที่หรี่ลง แก้มตอบทั้งสองข้างกระตุกขึ้น แม้แต่ปลายแขนเสื้อที่ดูใหญ่เกินตัวก็ยังสั่นจนเห็นได้ชัด หลิวเย่สังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน ว่าในตอนที่เธอเอ่ยขึ้นมา ร่างกายของเธอมันดูหดเกร็งไปหมด ที่คอเสื้อคลุมสีดำนั่น กระดูกไหปลาร้าของเธอหดบุ๋มลงไปเพียงเพราะเธอหายใจเข้าลึก และมันก็เว้าลึกลงไปอย่างน่าใจหาย

น้ำเสียงของเธอที่เอื้อนเอ่ยออกมาราวกับว่าอยู่แค่ในลำคอ ราวกับว่าถูกอาบไปด้วยยาพิษ และแฝงไปด้วยความคับแค้นใจ เวลาที่เสียงนั้นเข้ามาในโสตประสาท มันก็ทำให้เกิดตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

‘ลั่วเซิ่น’ ที่เจียงเซ่อเรียกขึ้นมานั้นคือตัวละครชายหลักในหนังเรื่อง ‘Evil’ และเขาก็เป็นปีศาจร้ายที่ฆ่าจูจูลูกสาวของจางยวี่ฉินนั่นเอง หลังจากที่จางยวี่ฉินทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ถามตามหา และหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวตนเองกันแน่ ในที่สุดเธอก็เจอเขาจนได้

หลิวเย่เองก็เคยได้อ่านบทหนังเรื่องนี้มาก่อน ทันทีที่เจียงเซ่อเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น เขาก็ชะงักไป แต่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรวดเร็ว และรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ ถูกเก็บลง เปลือกตาค่อยๆ ลดลง เพื่อปิดบังความรู้สึกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในดวงตาของตัวเอง สายตาของจดจ้องไปที่เรียวขาของเจียงเซ่อ แล้วท่าทางของเขาก็เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร

แต่ในขณะเดียวกัน มือที่ตั้งอยู่บนขาของเขานั้นก็กำเข้าหากันแน่น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และกดลงไปบนขาตัวเองแน่น นี่เป็นท่าทางของคนที่กำลังตื่นตระหนกและกำลังจะปกป้องตัวเอง เป็นกริยาท่าทางที่เป็นไปเองตามสัญชาตญาณ

เจียงเซ่อค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าวๆ ‘ตึก ตึก’ เสียงฝีเท้าดังขึ้นตามจังหวะ ราวกับร่างกายของเธอเป็นวิญญาณ และผู้ชายที่ถูกเธอเรียกชื่อในตอนนี้ กำลังมีท่าทางไม่รู้สึกรู้สาและเยือกเย็น ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว

ชายหนุ่มหล่อเหลาที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงในนาทีก่อนหน้านี้ เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนท่าทางอารมณ์ไปเพียงเพราะภาษาร่างกายเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกส่งมาให้ กลายเป็นชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ สี่สิบห้าสิบปี มีท่าทางที่ไร้ความรู้สึกจนถึงขั้นเย็นชา และตอบกลับคำถามของเธอกลับอย่างไร้เสียง

“ลั่วเซิ่นใช่ไหม?”

เจียงเซ่อถามออกไปอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาจดจ้องไปที่ตัวของเธอ ก่อนที่รูม่านตามันจะขยายใหญ่ขึ้น

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก แต่เพียงครู่เดียว ดวงตาของหลิวเย่ก็มีริ้วเลือดสีแดงขึ้นเต็มไปหมด แววตาที่จ้องมองแดงก่ำและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด เขาค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา เห็นอยู่ว่ายิ้มแต่ก็ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่ตั้งใจจะยิ้ม แถมกลับทำรู้สึกเหมือนว่ากำลังได้เห็นปีศาจตัวเป็นๆ มานั่งอยู่ตรงหน้า และกำลังแยกเขี้ยวที่แสนอัปลักษณ์ให้ดู

“ใช่ แล้วเธอล่ะเป็นใคร?”

ตอนที่เขาพูดออกมา คิ้วก็เหมือนจะขมวดเข้าหากัน หนังตาปรากฏรอยย่นลึก ในตาเผยความดุร้าย หางตาตวัดขึ้น ราวกับงูพิษเลือดเย็นตัวหนึ่ง เจียงเซ่อหัวเราะ ‘หึ หึ’ ออกมา

“คุณไม่รู้จักฉันงั้นหรือ?”

เธอถอนหายใจออกมา นัยน์ตาเริ่มมีหยาดน้ำสีใสคลอ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำ

“ฉันตามหาคุณมาตั้งนาน”

น้ำเสียงของเธอเบาหวิว และสั่นเครือ ราวกับว่านานมาแล้วที่ไม่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแบบนั้น แต่ก็เหมือนยังอยู่ในภวังค์ที่กู่ไม่กลับ ราวกับว่ามีความสุขที่สิ่งที่หวังเป็นจริงแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเป็นโรคประสาท ที่แม้แต่งหยางป๋อซีที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็ยังรู้สึกขนลุกขนพอง และคิดว่าเจียงเซ่อกำลังป่วยหรือเปล่า

ที่จริงตั้งแต่ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้อง แล้วเรียกชื่อ ‘ลั่วเซิ่น’ สองคำนั้นขึ้นมา จ้าวร่างก็รู้แล้วว่าเจียงเซ่อกำลังเข้าบทอยู่

เขาคิดไม่ถึงว่าพอเจียงเซ่อได้มาเจอกับหลิวเย่แล้ว ก็จะสามารถเข้าถึงบทบาทด้วยกันเพียงในระยะเวลาไม่กี่วิได้ขนาดนี้ การกระทำของเธอ ถือว่าเป็นอะไรที่เสี่ยงมาก ต่อหน้าหลิวเย่ที่ได้รับรางวัลจากงานหนังภาพยนตร์ถึงสองครั้งติด กับคนที่ได้รับการสรรเสริญทางด้านการแสดงจากผู้คนและนักวิจารณ์มากมาย ถ้าเจียงเซ่อไม่ระวังให้ดีละก็ ก็อาจจะกลายเป็นที่น่าขันไปเลยก็ได้