webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

270

บทที่ 270 วิเคราะห์

บทหนังเรื่องนี้ของโหวซีหลิ่งถือว่าน่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะกับตัวประกอบ เขาแต่งแต้มเขียนบทออกมาได้อย่างลึกซึ้งมาก

ซูเพ่ยเอินไม่ได้คิดที่จะเขียนจากมุมมองของพระเอกนางเอก ตั้งแต่ฉากแรกที่หนังเริ่ม ก็คงจะมีคำวิจารณ์ที่เกี่ยวกับนางเอกและพระเอกขึ้นมามากมายพอแล้ว ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเขียนอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะคนที่ทำให้เขาต้องเข้าไปดูหนังถึงสองรอบ ก็คือเจียงเซ่อ

‘ครั้งก่อนในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ เด็กสาวคนนี้ยังทำให้ผมประทับใจอยู่ไม่ลืมเลย’

ประโยคเปิดของเขาในคราวนี้ สิ่งที่นึกขึ้นได้จากการดูหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ก็คือฉากที่โต้วโค่วปรากฏตัวออกมานั่นเอง มันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ดูฉากที่แสนงดงาม เหมือนดั่งความสดสวยหลังหิมะในเดือนกุมภาพันธ์ ที่บนกิ่งไม้เริ่มมีใบอ่อนแตกหน่องอกออกมา และได้เห็นต้นอ่อนเขียวสวยงอกเงยขึ้นมาหลังจากที่โดนหิมะปกคลุมกดกักเอาไว้ ดังนั้นในช่วงแวบแรกที่เธอยังนั่งระทมเสียใจเพราะคิดถึงครอบครัวที่ตายจาก และปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมากลางโรงละครงิ้ว แต่เพียงไม่กี่นาทีถัดมาเธอก็กลายเป็นหญิงสาวที่แสนโหดร้ายและเหี้ยมโหดในทันที ไม่เหลือเค้าของความอ่อนหวานเลยสักนิดเดียว

แต่ความเยือกเย็น และความสวยงามที่เรียบสงบนั้น มันไม่สามารถทำให้ลืมเลือนได้จริงๆ

อายุของซูเพ่ยเอินเองก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เขากับคนที่มีอายุอย่างเขา การมองและชื่นชมในตัวเด็กสาวนั้น มันก็ไม่เหมือนกับมุมมองของชายหนุ่มที่มองเด็กสาวมานานแล้ว แต่เขาให้ความสำคัญกับมุมมองบุคลิกท่าทางเสียมากกว่า ไม่ใช่แค่ใบหน้าเพียงเท่านั้น สิ่งที่หาได้ยากสำหรับเจียงเซ่อก็คือ เธอแสดงออกมาได้ถึงความสง่างามของหญิงงามผู้มีชื่อเสียงในยุคสาธารณรัฐ และความพิเศษนั้นถือว่าหาได้น้อยมากแล้วในวงการสมัยนี้

‘ตระกูลโต้วถูกทำลายไปในวันที่เจ็ด เพราะอย่างนั้นในวันที่เจ็ดของทุกๆ เดือน โต้วโค่วก็มักจะไปที่ถนนเทียนเฉียวเพื่อไปฟังละครงิ้ว และเรื่องที่ฟังก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยฟังมาแล้วด้วย หลินซีเหวินไม่ได้ใช้คำพูดอะไรมากมายในการมากล่าวแนะนำถึงตัวละครโต้วโค่วให้กับผู้ชม แต่กลับใช้อีกมุมมองหนึ่งในการดันเจียงเซ่อที่กำลังหวนคิดถึงความทรงจำที่ผ่านไปแล้วขึ้นมา ทำให้หลายๆ คนสัมผัสและรู้สึกได้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเด็กสาวคนนี้’

คำพูดที่เธอพูดกับเซียวจือเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นใจไป ตอนที่เธอพูดว่าคุณรังเกียจว่าฉันเป็นหญิงสาวที่สกปรกนั้น ดวงตาของเธอเปิดกว้าง อดกลั้นเพื่อที่จะไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาโดยเด็ดขาด ราวกับว่านิสัยเธอในตอนนี้ จะแข็งกร้าวให้ถึงที่สุดแต่จะไม่มีวันยอมศิโรราบให้

‘เซียวจือพูดว่าเธอมันเป็นพวกกำเริบเสิบสาน เวลาที่เธอโมโหขึ้นสียง เวลาที่เธอโต้แย้งความคิดของเขา เธอมักจะมองข้ามและไม่เห็นด้วยกับเขาทุกครั้ง เหมือนกำลังคัดค้านกับสังคม เหมือนกับจะไม่ยอมแพ้ให้แก่สภาพสังคมที่มันสกปรก เธอจำเซียวจือได้ แต่เซียวจือกลับไม่เคยได้รู้จักเธอมาก่อนเลย มุมมองความรักของชายหญิงไม่เหมือนกัน และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่โหวซีหลิ่งตั้งใจจะเสนอให้ทุกๆ คนได้เห็น โต้วโค่วไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเซียวจือต่างหาก จิตใจของคนที่เปลี่ยนไป แต่แค่เขาไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง’

‘ในใจของเซียวจือเอาแต่คิดว่าคู่หมั้นของตนเองได้ตายไปแล้ว และความคิดนี้ของเขาที่มีตั้งแต่ในตอนต้นของเรื่องและยืนหยัดไปจนตอนสุดท้ายของฉากนั้น ถือว่ามีความหมายมากๆ สำหรับผมแล้ว มันให้ความหมายถึงสองด้าน ด้านแรกก็คือ โต้วโค่วหญิงสาวที่แสนบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจของเซียวจือนั้นได้ตายไปแล้ว และอีกด้านก็คือ ถึงแม้ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ในใจของเซียวจือก็จะยังคงคิดว่าเธอตายไปแล้วเช่นเดิม มีค่าให้รำลึกถึง แต่ไม่มีค่าพอที่จะมาใกล้ชิดกัน อย่างไรเสียในยุคนั้น หญิงสาวคนเดียวที่ยังมีวิตอยู่ได้หลังจากที่ทั้งครอบครัวตายจากไป จะต้องผ่านอะไรมาบ้าง เซียวจือเองก็พอจะรู้พอจะนึกได้เหมือนกัน’

‘ในตอนที่เริ่มถ่ายทำกัน ผมได้ยินมาว่า มีหลายๆ คนไม่เห็นด้วยที่จะให้เจียงเซ่อรับบทโต้วโค่ว แต่พอลองได้ดูหนังจริงๆ แล้ว ผมก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่หลินซีเหวินยืนยันที่จะเป็นคนเลือกด้วยตัวเองตั้งแต่แรก’

‘และมันก็เป็นเพราะเขาดึงดันในการตัดสินใจของตัวเองตั้งแต่แรก ถึงได้เห็นตัวละครโต้วโค่วมาโลดแล่นสมจริงอยู่ในตอนนี้ ได้มีโต้วโค่ว หญิงสาวแสนสวยสง่าที่มีความเศร้าหมองติดตัวมา เธอกางร่ม เดินลงจากรถ เดินเข้าไปโรงละครงิ้ว และเดินเข้ามาในใจของผม’

หลังจากที่ซูเพ่ยเอินเขียนบทวิจารณ์หนังเสร็จแล้ว เขาก็ได้เผยแพร่มันผ่านเว็บเวทีการอภิปรายอย่างสือไต้ผิงซัวทันที ตอนนี้ยังมีชาวเน็ตอีกมากมายที่ยังไม่ได้เข้านอน และหลังจากที่เหล่าแฟนคลับที่ติดตามซูเพ่ยเอินอยู่แล้วได้เห็นบทความวิจารณ์ที่เขาเพิ่งลงมา ก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยทีเดียว คนเหล่านั้นพากันโพสข้อความตอบโต้ตอบบทวิจารณ์ของซูเพ่ยเอินบนสือไต้ผิงซัวทันที

เพราะว่าช่วงหลายปีมานี้เขาไม่ค่อยจะได้เขียนบทวิจารณ์หนังแล้ว นอกจากจะเป็นเพราะว่าหนังในสมัยนี้มักจะทำแต่หนังการตลาดแล้วนั้น งานหนังศิลปะที่ควรจะได้รับการยกย่องนั้นกลับถูกปิดกั้นโดยหนังวงการหนังป็อบคอร์น*หนังที่ดูโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ดูไปตามเนื้อเรื่องหรือดูฆ่าเวลา แค่เอามาทำให้เหล่าคนดูได้ตื่นตาตื่นใจเพียงเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้คนดูเหล่านั้นหลงเหลือความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อหนังได้ และยังมีพวกผู้กำกับบางกลุ่มที่ชอบสร้างหนังเหมือนสร้างให้มันเสร็จๆ ไป เพื่อแค่ให้มันทำเงินคืนทุนได้เท่านั้น ไม่สามารดึงดูดสายตา ทั้งนักแสดง และมุขที่ใช้ในหนัง มันยากที่จะมีใครอยากจะมาใจเย็นเพื่อให้มีหนังดีๆ ออกมาสักเรื่อง และแน่นอนว่ามันก็ยากที่จะมาดึงดูดความสนใจของซูเพ่ยเอินด้วย เลยทำให้เขาไม่ได้เขียนบทวิจารณ์หนังอีก

แต่แค่ภายในไม่กี่เดือนติดต่อกันนี้ เขากลับเขียนบทวิจารณ์ออกมาถึงสองเรื่องแล้ว และมีคนที่สังเกตเห็นได้ว่า ทั้งสองบทความวิจารณ์นั้นต่างก็เกี่ยวข้องกับเจียงเซ่อทั้งสิ้น

นอกจากจะมีแฟนคลับของซูเพ่ยเอินหลายๆ คนที่กำลังแปลกใจที่เขาออกมาเขียนบทวิจารณ์ถึงหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ แล้วนั้น ก็ยังมีคนที่โพสถามใต้คอลัมน์พิเศษของซูเพ่ยเอินด้วย

ลมพัดธงสะบัด : ฉันสังเกตเห็นว่า บทวิจารณ์หนังทั้งสองเรื่องที่คุณซูเขียนในช่วงนี้ จุดสำคัญล้วนแล้วแต่อยู่ที่เจียงเซ่อทั้งหมด เท่าที่ฉันรู้มา ตอนนี้เจียงเซ่อเป็นนักแสดงในสังกัดของซื่อจี้หยินเหอ ผู้จัดการส่วนตัวคือเซี่ยเชาฉวิน ซื่อจี้หยินเหอเองก็เงินหนักแถมยังมีอิทธิพลมาก มันทำให้ฉันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่านักแสดงหน้าใหม่คนหนึ่งจะมีฝีมือการแสดงที่โดดเด่นขนาดนี้ ในตอนแรกที่หนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ออกฉายไป เธอก็มีกระแสมาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนนี้ กลุ่มที่มีอิทธิพลต่างๆ ก็พากันออกมาชื่นชมกัน ตอนแรกคิดว่าทางสือไต้ผิงซัวและคุณซูเองก็คงจะมีความยุติธรรมพอ และคิดว่าที่ตรงนี้น่าจะยังเหลือคำวิจารณ์ที่เป็นจริงอยู่บ้าง แต่พอวันนี้ได้มาเห็นแล้ว มันกลับทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าคุณซูเองก็โดนซื้อไปแล้ว?

ซูเพ่ยเอินได้เขียนชื่นชมตัวเจียงเซ่อมาถึงสองครั้งติดกัน และข้อความของคนที่ใช้ชื่อ ID ว่า ‘ลมพัดธงสะบัด’ ก็ถูกดันไปอยู่ข้างบนสุดอย่างรวดเร็ว บทความของซูเพ่ยเอินมีคนเข้ามาแสดงความเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย และก็มีคนออกมาโต้แย่งเช่นกันแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร

ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ซูเพ่ยเอินก็ได้ตอบคำถาม

ผมก็อายุปูนนี้แล้ว สิ่งที่จะมาบงการผมได้ ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ผลประโยชน์ แต่เป็นวงการหนังของหัวเซี่ยในอนาคตต่างหาก ทั้งความพยายามของนักแสดง ผู้กำกับเองก็เช่นกัน

คำพูดของเขามีความหนักแน่นเป็นอย่างมาก และทำให้ชาวเน็ตหลายๆ คนเข้ามาเห็นด้วยกันไม่น้อย และคนที่ใช้ชื่อ ID ว่า ‘ลมพัดธงสะบัด’ เองก็กลับมาตอบข้อความเช่นกัน

อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ จึงทำให้ฉันพูดออกไปโดยขาดความยุติธรรมเสียเอง ฉันจึงสินใจแล้วว่าจะลองปรับเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนหน้านี้ดูนะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าโรงหนังไปดูเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เสียหน่อย ถ้าหากว่ามันเป็นอย่างที่คุณพูดจริงๆ ฉันเองก็ต้องกล่าวขอโทษคุณอย่างจริงใจ แต่ถ้าหากว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดจริงๆ ก็ต้องขอโทษด้วยเช่นกัน ที่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในใจของฉันคงจะมองว่าคุณค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ

แล้วเขาก็ไม่ได้ออกมาโต้ตอบอะไรอีก ตอนนี้ในสำนักงานหลงสิง เถาเถายังคงเอาแต่ใช้เวลาว่างจากการถูกงดโอที ไปกับการตรวจเช็กดูคะแนนของหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ บนเว็บหนังภาพยนตร์

ตอนนี้ตอนนี้ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว รอบแรกของการฉายเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ที่เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนคงยังไม่จบ คะแนนในตอนนี้ก็เลยยังไม่สูงเท่าไหร่ คอมเม้นท์ใต้ตัวอย่างหนังก็ยังมีน้อย คอมเม้นท์ส่วนมากที่มีก็เป็นพวกที่ถูกภาพที่เจียงเซ่อถือร่มในงานหนังภาพยนตร์ดึงดูดเข้ามา

แล้วหล่อนก็ไปเปิดดูแอคเค้าท์ส่วนตัวของเจียงเซ่ออีกว่ามียอดแฟนคลับเท่าไหร่แล้ว นี่เป็นเหมือนกับงานที่หล่อนต้องทำในทุกๆ วันเลยก็ว่าได้ หล่อนรู้สึกยินดีไม่น้อยที่พบว่าเจียงเซ่อมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อวาน เพิ่มขึ้นมาตั้งหลายร้อยคนแน่ะ จากนั้นหล่อนก็ไปเปิดดูคอลัมน์พิเศษของสือไต้ผิงซัวดู และค้นหาคำว่า ‘The Occasion of Beiping’ และมันก็ขึ้นบทวิจารณ์ของซูเพ่นเอินมาอย่างรวดเร็ว

จนเวลาเดินมาถึงช่วงเกือบจะเช้ามืด แต่ใต้คอลัมน์พิเศษของซูเพ่ยเอินยังคงคึกคักกันอย่างน่าดู คอมเม้นท์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาแทบทุกๆ นาที ตั้งแต่ที่เขาลงบทความวิจารณ์มาจนถึงตอนนี้ ก็ราวๆ ยี่สิบกว่านาทีมาแล้ว แต่คนที่เข้ามาตอบแสดงความคิดเห็นกลับมีถึงสามพันกว่าข้อความ!

ในขณะที่เถาเถากำลังดีใจแทนเจียงเซ่ออยู่นั้น ก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับบทความวิจารณ์ของซูเพ่ยเอินด้วย

แต่ก่อนหล่อนรู้แค่ว่าซูเพ่ยเอินมีชื่อเสียงมากๆ แถมในหัวเซี่ยก็ยังยกย่องให้เขาเป็นผู้วิจารณ์หนังอันดับหนึ่ง แต่เขามีชื่อเสียงในด้านไหน และมีดีในด้านไหน เถาเถาเองก็พูดออกมาไม่ได้เช่นกัน แค่รู้ว่าเขามีชื่อเสียงเท่านั้นเอง

แต่พอได้มาเห็นบทวิจารณ์ของเขาแล้ว หล่อนก็คิดถึงว่าตอนที่ตัวเองดู ‘The Occasion of Beiping’ นั้น หล่อนได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดและความงดงามของโต้วโค่ว ได้เห็นถึงความโหดร้ายของโลก ได้เห็นโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและสร้างคนใหม่ขึ้นมา แต่ซูเพ่ยเอินกลับได้มองเข้าไปลึกถึงจิตวิญญาณถึงรากถึงแก่นเลยทีเดียว