บทที่ 269 บาดเจ็บ
หลังจากที่แยกกับเถาเถาแล้ว หลินซีเหวินและคนอื่นๆ ก็ได้กลับกันไปหมดแล้ว เจียงเซ่อเองก็ขึ้นรถแล้วออกมาจากโรงจอดรถทันที
พอเลยเที่ยงคืนมาแล้วอากาศในตี้ตูก็จะหนาวไม่ใช่น้อย ท่ามกลางแสงไฟสลัว จะได้เห็นละอองฝนเม็ดเล็กๆ ที่เป็นเหมือนม่านหมอกกระจายตัวลงมา และเจียงเซ่อก็เห็นแล้วว่าข้างหน้านั่นมีรถสองสามคันที่จอดอยู่บนถนนแบบผิดกฎจราจรอยู่ด้วย เนี่ยต้านและคนอื่นๆ กำลังล้อมวงคุยกันกับเผยอี้ เด็กสาวอีกสองคนที่ตามมากับพวกเขาก็กำลังหัวเราะคิกคักกัน พอโม่อานฉีจอดรถลง พวกเขาก็หันมามองที่เจียงเซ่อ
เผยอี้พิงหลังไปกับรถ หมวกฮู้ดของเสื้อตัวนอกเขาถูกยกขึ้นมาคลุมศีรษะเอาไว้ ขาทั้งสองข้างไขว้ทับกัน พอได้ยินเสียงรถวิ่งออกมาจากโรงจอดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มตัว แล้วก้าวเท้ายาวเข้าไปหาเจียงเซ่อทันที
โม่อานฉียังไม่ทันได้ลงจากรถเพื่อเปิดประตูให้เจียงเซ่อด้วยซ้ำ เขาก็เป็นคนเข้ามาเปิดประตูเสียเอง เขารูดซิปเสื้อตัวนอกลง พอแค่เจียงเซ่อเดินออกมา เขาก็กางเสื้อคลุมออก แล้วห่อตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดทันที
เจียงเซ่อได้รับความร้อนจากตัวเขาจนรู้สึกอบอุ่นอย่างรวดเร็ว ลมหายใจที่ร้อนผะผ่าวของเขารินรดอยู่ตรงข้างหูของเธอ ความใกล้ชิดแบบนี้ เพียงนิดเดียวมันก็สามารถปลุกความคิดที่เก็บซ่อนอยู่ในใจของเธอออกมาแล้ว เธอยื่นมือไปโอบเอวของเผยอี้เอาไว้ แล้วฝังหน้าลงบนไหล่ของเขา เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เขาจูบลงบนกระหม่อมของเธอ และจูบลงบนเรือนผมของเธออย่างสนิทแนบชิด แต่ก็ไม่อยากจะให้ใกล้กันกว่านี้แล้ว เพราะกลัวว่าความรู้สึกสนิทสนมชิดใกล้แบบนี้จะโดนคนอื่นแบ่งปันไปด้วย
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในโรงหนัง เขาก็อยากจะกอดเธอแทบแย่แล้ว หลังจากตี้ตูไปสองเดือน การที่ต้องเรียนและแบกรับภารกิจอย่างหนักหน่วงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกต้องทนทุกข์เลย แต่ที่ทรมานคือการที่ต้องมานั่งคิดถึงคนๆ หนึ่งมากกว่า
“เครื่องบินเที่ยวหกโมงเย็น กลับมาถึงก็มาที่นี่เลย”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังพยายามกดเก็บความคิดถึงที่มีเอาไว้ สายตาที่มองมาเหมือนกับอยากจะทำให้คนตรงหน้าละลายให้ได้
แค่เจียงเซ่อมาถึง สายตาและหัวใจของเขาก็ไม่สามารถเอาใครมาใส่เอาไว้ได้อีก เนี่ยต้านและพี่น้องคนอื่นๆ ต่างก็ชินกับภาพแบบนี้กันแล้ว แต่เด็กสาวอีกสองคนที่ตามพวกเขามาด้วยนี่สิ พากันมองหน้ากันอย่างตกตะลึงไม่น้อยเลย
“เซ่อเซ่อ ยินดีด้วยนะครับ หนังสนุกมากเลย”
เนี่ยต้านและคนอื่นๆ เองก็เดินเข้ามา เจียงเซ่อหันไปบอกกับโม่อานฉีว่าให้หล่อนกลับก่อนได้เลย พอได้ยินเนี่ยต้านพูดแบบนั้น เธอก็ยิ้มออกมา
“ยินดีกับพวกนายด้วยเหมือนกัน รักษาเงินทุนที่ลงกันไปได้แล้วนะ”
เหมือนว่าเฉิงหรูหนิงจะเพิ่งนึกถึงเรื่องที่ลงทุนไปขึ้นมาได้ เขามีท่าทางดีใจขึ้นมาทันที
“นั่นสิ พวกเราเองก็ลงทุนไปเหมือนกันนี่ แล้วครั้งนี้ทำเงินได้เท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย?”
พวกเขารวมเงินกันเพื่อนำไปลงทุนถึงสองร้อยล้านกว่า แต่เผยอี้คนเดียวก็ปาเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว เบื้องต้นในตอนนี้ยอดขายบัตรของ ‘The Occasion of Beiping’ ได้ปาเข้าถึงสามร้อยล้านแล้ว ช่วงเย็นเจียงเซ่อได้ยินหลินซีเหวินเอ่ยขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ ว่าทางโรงหนังจะมีการเพิ่มรอบหนังเรื่องนี้ด้วย และถ้ารอบหนังเพิ่มขึ้น บวกกับคำชมที่แพร่ออกไป หลังจากนี้ยอดขายในหัวเซี่ยที่หวังจะได้สักหนึ่งพันล้านก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรอีกแล้ว
นอกจากจะเป็นตัวหนังที่ออกฉายแล้ว ก็ยังมีกำไรจากช่องทางอื่นอีก
พูดตามจริงแล้ว เนี่ยต้านและคนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะขาดเงินหรือคิดมากกับเงินส่วนนี้เสียหน่อย แต่การที่ได้รู้จักช่องทางด้วยตัวเอง การที่ได้หางานให้ตัวเองได้อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาทางบ้านแบบนี้ มันก็ทำให้เนี่ยต้านและคนอื่นๆ รู้สึกมีความดีใจขึ้นมามากพอดู
“จริงสิ......” พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็เหมือนว่าเนี่ยต้านจะนึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้ “พี่อี้ พี่เพิ่งกลับมาถึง อาจจะยังไม่รู้ว่า......”
“ฉันรู้แล้ว”
เหมือนเผยอี้รู้ว่าเขากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร จึงขัดสิ่งที่เขากำลังพูดทันที ก่อนจะจูงมือเจียงเซ่อไปที่รถของตัวเอง “พวกฉันไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะติดต่อหาอีกที”
เนี่ยต้านนิ่งค้างอยู่แบบนั้น แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วโบกมือให้เขา พอพวกนั้นกลับไปกันแล้ว เผยอี้ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะออกรถ แต่เขากลับรีบเอนเบาะลงแล้วดึงเจียงเซ่อเข้าไปกอดเอาไว้ในอ้อมแขนทันที
“คิดถึงจนแทบแย่อยู่แล้ว”
ในห้องโดยสารที่แคบลงมา ขาทั้งสองข้างของเขายืดได้ไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ ทำได้แค่ชันขาขึ้นมา ซ้อนทับกับขาเธอเอาไว้
เขาพรมริมฝีปากไปบนริมฝีปาก จมูก ตาและทุกๆ ส่วนบนใบหน้าของเธอ เขาสัมผัสได้ถึงเปลือกตาบางๆ ของเธอ กับลมหายใจที่รดรินอยู่บนปลายคางของเขา ทำให้ใจของเขามันอ่อนยวบยาบไปหมด
เผยอี้ชอบความรู้สึกแบบนี้ เธอคล้อยไปตามแขนของเขาที่กำลังใช้หนุนอยู่ เขาค่อยๆ ยันตัวขึ้นและใช้ทั้งตัวของตัวเองแผ่ปกคลุมเธอเอาไว้ กักขังเธอเอาไว้ในอ้อมกอดและลมหายใจของเขา
ครึ่งหนึ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดและอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นสัญชาตญาณกำลังต่อสู้กัน สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วยื่นมือไปลูบผมของเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เซ่อเซ่อ คุณปู่ของพี่เรียกหมอประจำตระกูลให้ไปหาด้วย”
แค่เธอได้ยินอย่างนั้น ร่างทั้งร่างมันก็สั่นไปหมด ความรู้สึกระหว่างชายหญิงที่อยู่ในใจเหือดหายไปหมด เธอกำมือของเผยอี้แน่น มือของเขาใหญ่กว่ามือของเธอมาก เต็มไปด้วยพละกำลังและความอบอุ่น แค่เธอทำแบบนั้น เขาก็รวบตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้อีกครั้งในทันที ปลอบใจเธอโดยที่ไม่เอ่ยคำใดๆ ออกมา
เจียงเซ่อเคยคิดมาตลอดว่า เผยอี้นั้นอายุน้อยกว่าเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมาเกิดใหม่ และมันก็สลับสับเปลี่ยนกันแล้ว แต่ในใจของเธอ เวลาที่เธอมองดูเผยอี้นั้น ในหลายๆ ครั้งเธอก็ยังมองเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักโตคนหนึ่ง และมักจะคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กที่ชอบก่อกวน
เพราะเธอเคยเห็นตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เคยได้เห็นตอนที่เขาเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน เคยเห็นเขาร้องไห้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่โดนเขากอบกุมมือเธอเอาไว้ และพูดปลอบเธอเบาๆ
“อย่าเพิ่งตกใจ”
ในตอนนี้วินาทีนี้ เขากลับเป็นเหมือนจิตใจและที่พึ่งพิงของเธอไปแล้ว เธอพยายามพยักหน้า เผยอี้พูดขึ้นต่อ
“สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงต้องไปโรงพยาบาลแล้ว”
ปัญหาใหญ่ไม่มีแน่นอน แต่ปัญหาเล็กๆ นี่สิที่ปกปิดไม่ได้แน่
เจียงเซ่อรู้นิสัยของเฝิงจงเหลียงดี เขามีหมอส่วนตัวของตัวเอง ในทุกๆ เดือนหมอจะไปที่บ้านตระกูลเฝิงเพื่อตรวจร่างกายให้เขา
เพราะตอนที่เขายังเป็นหนุ่มได้เข้าร่วมสงครามจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าพออายุเริ่มมากขึ้นเขาเองก็รักษาสุขภาพอยู่เสมอ เวลาว่างๆ เขาก็จะไม่ค่อยนั่ง กลับชอบไปเดินปลูกต้นไม้ใบหญ้าเสียอย่างนั้น ก่อนที่จะมาเกิดใหม่ เธอเองก็ได้เห็นอย่างชัดเจน นอกจากรอยแผลเก่าแล้ว ร่างกายในด้านอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาไร
“เกิดอะไรขึ้น?”
เงียบอยู่ครู่ใหญ่ เจียงเซ่อถึงได้ถามขึ้นมา เผยอี้ลุกขึ้นแล้วปรับพนักเก้าอี้ขึ้นตามเดิม และดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้เธอเรียบร้อย
“ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ตอนที่คุณปู่โทรไปก็บอกมาแค่ว่าหกล้มในบ้าน”
พอเขาพูดจบ ก็หันไปมองเธอ สีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่น
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยไปที่บ้านตระกูลเฝิงกันนะครับ”
ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะไปที่บ้านตระกูลเฝิงแล้ว แต่เขายังมีอยู่ เจียงเซ่อพยักหน้ารับ
เขากลับมาแบบกะทันหัน เจียงเซ่อเองก็อยากจะถามว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้กลับมา แต่พอโดนข่าวที่ว่าเฝิงจงเหลียงเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ความดีใจที่มีอยู่ก็ลดลง
กว่าจะกลับไปถึงที่บ้านก็ดึกพอสมควร เธออาบน้ำเสร็จก็ขึ้นเตียง แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็นอนไม่หลับเสียที เผยอี้เองก็อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอ โชคดีที่มีเขาอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ ในตอนนี้
แต่ทว่าตอนนี้ก็ตีสามแล้ว คนที่ยังไม่ได้นอนนั้น นอกจากนะมีเหล่าคนที่กำลังทำโอทีในสำนักงานหลงสิง เถาเถาที่กำลังตระเตรียมข้อมูลเพื่อจะให้ทันมีลงข่าวในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ยังมีคนที่เพิ่งจะเข้าร่วมงานหนังรอบปฐมทัศน์ของ ‘The Occasion of Beiping’ เพื่อดูมันอีกรอบอย่างซูเพ่ยเอินด้วย
นานมาแล้วที่เขาไม่ได้นอนทั้งคืนแบบนี้
นอกจากร่างกายประท้วงไม่ยินยอมแล้ว ก็ยังเป็นเพราะชีวิตที่มีแบบแผนของเขาเองด้วย ปกติแล้วประมาณสี่ทุ่มเขาก็จะเข้านอนทันที
แต่ในค่ำคืนนี้เขากลับยังนั่งอยู่ในห้องหนังสือ และกำลังหวนนึกคิดถึงเรื่องราวและตัวละครของหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’
เขาคิดว่าอยากจะลงมือเขียนบทวิจารณ์หนังอีกสักครั้ง ครั้งก่อนหน้านี้ที่เป็นแบบนี้ ก็เป็นเพราะพึ่งดูหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของจางจิ้งอานจบมานั่นเอง