webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

265

บทที่ 265 The Occasion

เถาเถากวาดสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นไปรอบๆ โรงและหล่อนก็มองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลินซีเหวินที่อยู่บนเวทีนั่น คือเจียงเซ่อที่ถือไมค์อยู่ในมือนั่นเอง นี่เป็นครั้งที่สองที่หล่อนได้เห็นเจียงเซ่อตัวจริงเสียงจริง พูดก็พูดว่านี่ถือว่าเป็นโชคชะตาจริงๆ ครั้งแรกที่หล่อนได้เจอกับเจียงเซ่อ ก็เพราะหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เช่นกัน แต่ว่าตอนนั้นเป็นแค่งานเปิดกล้องของ ‘The Occasion of Beiping’ เท่านั้น

แต่สิ่งที่แตกต่างในตอนนั้นก็คือหล่อนได้มีโอกาสเป็นคนสัมภาษณ์เจียงเซ่อเอง และเถาเถาก็ได้กลายมาเป็นแฟนคลับของเจียงเซ่อแบบนี้

ชุดเสื้อผ้าที่เจียงเซ่อใส่ หรือแม้แต่เครื่องประดับ ก็ล้วนแล้วกลายเป็นสิ่งที่มีชื่อโด่งดังในอินเทอร์เน็ต และแบรนด์เสื้อผ้าของเธอก็กลายเป็นแฟชั่นยอดนิยมของผู้ที่มีชื่อเสียงหลายๆ คนไปแล้ว เสื้อ กระโปรงที่เธอเคยใส่ ในอินเทอร์เน็ตก็ออกรูปแบบที่คล้ายๆ กันออกมาเต็มไปหมด

กับโอกาสในค่ำคืนแบบนี้ เธอยังคงแต่งตัวได้อย่างเหมาะสม ทุกครั้งที่เธอขยับตัว ชุดเดรสกระโปรงที่เป็นเนื้อผ้าชิฟฟอนสีชมพู จะพลิ้วไปตามแรงอย่างสวยงามแต่ก็ดูปราดเปรียว ขาคู่นั้นของเธอทั้งเรียวทั้งยาว ทำให้เถาเถานึกถึงในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ฉากสั้นๆ ที่แสนสง่าและแสนดึงดูสายตานั่น มันยากเหลือเกินที่จะลืมมันไป

และเพื่อนร่วมงานที่โชคดีได้ไปร่วมงานหนังภาพยนตร์ก็บอกว่า ในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ นั้น เจียงเซ่อก็แสดงความสามารถของตนเองออกมาอย่างมากมาย การที่เธอได้รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่แท้จริงเลยก็ว่าได้

ตอนนี้ในโซเชียลมีคนตั้งคำถามกับเจียงเซ่อเต็มไปหมด พวกเขาคิดว่าเธอเป็นดาราหน้าใหม่ที่ได้รางวัลนักแสดงสบทบหญิงยอดเยี่ยมไป อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

เถาเถาเชื่อมั่นในการประเมินของเพื่อนร่วมงานของตน แต่หล่อนก็ยังเชื่อเจียงเซ่อไอดอลของหล่อนมากกว่า

หล่อนหวังแค่ว่าหลังจากที่หนังปล่อยฉายแล้ว จะสามารถทำให้พวกที่เกลียดหุบปากกันไปได้บ้าง!

หน้าจอใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเหล่าทีมผู้สร้างปรากฏตัวหนังสือ ‘ The Occasion of Beiping’ ขึ้นมา เจียงเซ่อยกยิ้มขึ้นเบาๆ แววตาที่เหมือนกับกำลังมองไปรอบๆ ห้องฉายหนังทำให้เถาเถารู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนเธอมอง

ไม่รู้ว่าเธอจะยังจำหล่อนได้ไหม แต่ก็น่าจะจำไม่ได้อยู่แล้ว ตัวหล่อนเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงส่งอะไร แถมตอนนี้ก็ยังไม่ได้บรรจุงานในบริษัทหลงสิงจริงๆ เลยด้วยซ้ำ พอหล่อนคิดถึงตรงนี้ ก็เริ่มรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่หล่อนก็รีบเตือนสติตัวเองขึ้นมาอย่างรววดเร็ว และให้ความสนใจไปที่โปสเตอร์หนังบนจอนั่นทันที

หล่อนพอจะจำได้ หลังจากที่หนังจบแล้ว จะมีการจัดให้สัมภาษณ์ในระยะเวลาสั้นๆ ด้วย ถึงตอนนั้นแล้วหล่อนก็จะยังมีโอกาสได้เข้าไปใกล้เจียงเซ่ออีกสักนิด พอคิดได้แบบนั้นแล้ว เถาเถาก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

ในระหว่างที่รอเหล่าผู้มีเกียรติ์ทั้งหลายเข้ามานั่งประจำที่กันจนครบ จนกระทั่งหนึ่งทุ่มสิบห้านาทีแล้ว เจียงเซ่อก็ได้เห็นเนี่ยต้านและคนอื่นๆ กำลังเดินเข้ามา พวกเขาโบกมือให้เธอมาจากที่ไกลๆ และเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่นั่งวีไอพีตามที่คนนำทางพามา

ครั้งนี้ เนี่ยต้าน เผยอี้และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นกลุ่มที่ร่วมลงทุนกับหนังเรื่องนี้ ในงานหนังรอบปฐมทัศน์ครั้งนี้หลินซีเหวินก็เป็นคนเชิญพวกเขามาด้วยตัวเองเลย อีกทั้งยังจัดที่นั่งแสนพิเศษให้อีก แต่เป็นเพราะว่าเผยอี้อยู่ไกลถึงกว่างโจวจึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ส่วนเนี่ยต้านจนไปถึงเฉิงหรูหนิงและคนอื่นๆ ก็มากันหมด แถมยังควงสาวๆ มาอีกด้วย

ฟ่านจืออวิ๋นที่เห็นเจียงเซ่อทักทายกับกลุ่มเนี่ยต้านแล้ว แววตาของหล่อนก็เผยความอิจฉาออกมา แต่เวลาที่คุยกับเจียงเซ่อ ก็แสดงออกมาทำว่าสนิทสนมกับเธอ

จนเวลาล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่มยี่สิบ งานหนังรอบปฐมทัศน์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เริ่มจากการที่พิธีกรขึ้นเวทีมาแนะนำเหล่าทีมผู้สร้างจนไปถึงเหล่าดารานักแสดง และยังได้เชิญศิลปินนักร้องที่เป็นผู้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์มาอีกด้วย ในระหว่างนั้นหลินซีเหวินก็พูดไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เกริ่นนำสร้างอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ไฟรอบๆ ห้องฉายหนังก็ค่อยๆ ดับลง เสียงคนที่กระซิบกระซาบคุยกันในตอนแรกก็เงียบลงโดยอัตโนมัติ สายตาจดจ้องไปยังบนหน้าจอ

ซูเพ่ยเอินที่นั่งอยู่แถวที่ห้าก็วางโปสเตอร์ในมือลง ก่อนจะถอดแว่นออกมาแล้วใช้ผ้าเช็ดๆ มัน แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ พร้อมกับสายตาที่จ้องไปยังบนหน้าจอนั่น

ฉากเริ่มของหนัง หลินซีเหวินก็ได้เลือกที่จะให้เป็นภาพในตรอกซอยแคบๆ เป็นฉากเริ่ม ท้องฟ้าเทาสลัว และมีฝนโปรยปราย บนพื้นที่เริ่มเปียกชื้นและมันก็มากพอที่จะมีแอ่งน้ำขัง เม็ดฝนที่ตกลงมาบนพื้น กระทบกับอิฐหิน กระทบกับหลังคากระเบื้องเก่าๆ จนเกิดเสียง ‘ซา ซา’ ขึ้นมา

สิบวินาทีต่อมา หูของเหล่าผู้ชมที่กำลังดูอยู่ทั้งหลายก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูลนลานและสับสนกำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นที่มีน้ำขัง ดูท่าคนที่กำลังใกล้เข้ามาจะลนลานไม่น้อย เพราะพอจะฟังออกจากเสียงฝีเท้าที่หนักและดูรีบร้อนนั่นและเพียงอึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงหอบหายใจ และปรากฏเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังยืนยกมือขึ้นทาบอกตัวเองอยู่ตรงปากตรอกเล็กๆ นั่น หยาดฝนทำเอาเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขาเปียกชุ่มไปหมด มันลู่แนบติดกับตัวเขา เรือนผมที่มีทั้งน้ำฝนคราบสกปรกและเลือดปะปนไหลหยดลงมารวมตัวกันอยู่ที่เรียวคางได้รูป ค่อยๆ หยดค่อยๆ หยดลงบนเสื้อที่ไม่ได้ติดกระดุมทุกเม็ด เป็นฉากที่ดูอ้างว้างไม่น้อย เขาลากขาทั้งสองข้างของเขาที่มันเริ่มจะหมดแรง กัดฟันแน่นและวิ่งไปมาในซอยเล็ก ดินโคลนที่ติดเท้ามายิ่งทำให้แต่ละก้าวหนักขึ้น เขาคอยหันกลับไปมองตลอด เหมือนว่ากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากบางสิ่งบางอย่าง

มุมกล้องแพนไปตามสายตาของชายคนนั้น และก็เปลี่ยนตัดไปอย่างรวดเร็ว เป็นการทำให้ผู้ชมได้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังรู้สึกและเจอสถานการณ์แบบนั้น และนั่นก็ทำเอาเหงื่อเย็นเริ่มออก

ด้านหลังที่มาไล่โจมตีนั่นก็ยังวิ่งไล่ตาม เหมือนกับว่าจะต้องไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา เสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าของของผู้ชายดังขึ้นพร้อมกัน แถมยังปะปนไปด้วยเสียงใจเต้นเพราะร้อนรน สีหน้าของชายหนุ่มขาวซีด เดี๋ยวก็ไอเดี๋ยวก็หอบ ดูท่าทางหายใจลำบากไม่น้อย เขากลอกตาไปมา และเริ่มคิดว่าหมดหวังแล้ว และ ‘ปึก’ ล้มลงไปกองกับพื้น

ฉากมืดไป จากนั้นก็มีเสียงตีระฆังทุบค้อนที่มีจังหวะจะโคนดังขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็เกิดเสียงร้อง ‘อี๋ อี๋ ยา ยา’ ในละครงิ้ว แสงไฟบนเวทียังไม่ทันได้สว่างดี และเสียงของเครื่องดนตรีในสมัยก่อนที่ประกอบเข้ากับสมัยนี้ และตามมาด้วยเสียงของฆ้องและกลองบวกกับเสียงร้องบรรเลงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดังออกมา

หน้าจอค่อยๆ สว่างขึ้น นักแสดงที่อยู่บนเวทีเริ่มแสดงกันอย่างออกรสออกชาติ หลินซีเหวินได้ใช้การตัดต่อสั้นๆ มาเรียงกันหลายๆ ช็อตเพื่อทำให้สถานที่มันเด่นชัดออกมา เพื่อให้ผู้ชมได้อาศัยมุมกล้อง และค่อยๆเห็นชัดว่าที่นี่คงเป็นโรงละครงิ้วแห่งหนึ่ง คนส่วนมากในโรงละครแอบอยู่ใต้ชายคาบ้าน เด็กหนุ่มมากมายกำลังคอยรินชาให้กับเหล่าแขกที่มาดูการแสดง ไม่เหมือนกับซีนเมื่อครู่ที่ดูรีบร้อนแล้วลุ้นระทึกแบบนั้น

“คุณผู้หญิงโต้วโค่ว มาดูละครหรือครับ?”

‘ซา’ ท่ามกลางเสียงของสายฝน น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประจบเอาใจดังขึ้น ได้ยินเพียงเสียงนุ่มๆ ในลำคอของหญิงสาวดังขึ้นมา แต่ไม่ได้ตอบกลับคำถามของเขา กลับกันกลับถามออกมาด้วยความใจลอย

“ที่แสดงบทเวทีวันนี้ ใช่คนของกวางเต๋อโหลวหรือไม่?”

ยังไม่ทันที่จะได้เห็นเงา แต่แค่เสียงที่ได้ยิน ก็สามารถทำให้คนที่ได้ยินบทสนทนาของผู้หญิงคนนี้แล้วต่างก็ต้องคิดฝันกันไปไกล

น้ำเสียงของเธอที่ประสานกับเสียงรอบๆ ข้างๆ ทำให้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย ตอนที่ได้ยินมัน มันก็ทำให้เหล่าแขกเหรื่อรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดื่มน้ำแร่ที่หอมหวานแก้กระหายในวันที่แสนร้อนและกำลังกินอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนอยู่ ขนอ่อนทั้งตัวมันลุกชันขึ้นมา ทำเอาหลายๆ คนอยากจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอเร็วๆ

เพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘คุณผู้หญิงโต้วโค่ว’ หลายคำนี้ ผู้คนที่อยู่ภายในห้องฉายหนังก็รู้แล้วว่าคนที่จะได้เห็นคือใคร

ตอนนี้เถาเถาที่ยืนอยู่ข้างหลังเริ่มคิดถึงตอนที่ประกาศรางวัลในงานหนังภาพยนตร์ขึ้นมา รูปที่ตัดออกมาจากฉากในหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ บวกกับเสียงที่แสนไพเราะน่าฟังนั่น ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ตามเถอะ ต่างก็ต้องโดนเจียงเซ่อนำพาอารมณ์ไปทั้งนั้น

และนั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นเสียงของเจียงเซ่อจริงๆ เธอมีเส้นเสียงที่ไพเพราะสวยงาม จังหวะการพูดนุ่มนวล ไม่ช้าไปไม่เร็วไป ให้ความรู้สึกถึงความสุขุมเยือกเย็น ทำให้โต้วโค่วที่ยังไม่ได้เผยโฉมที่แท้จริงออกมาได้ใช้น้ำเสียงอันไพเราะนี้ ซึมซับมันเข้าไปในหัวและเข้าไปในใจ

มุมกล้องแพนไปยังพื้นอิฐหิน มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น ประตูถูกเปิดออกมา มือขาวหยกข้างหนึ่งยื่นออกมา ผิวเนื้อขาวได้สัดส่วน สิบนิ้วเรียวสวยราวกับต้นหอม เล็บที่ไม่ยาวเกินไปขึ้นสีระเรื่อ แขนเสื้อที่ยาวประมาณเก้าส่วน เป็นเสื้อสีเขียวและมีลายดอกอวี้หลันสีขาว และข้อมือขาวที่สวมหยกสีเขียวมรกต

มืออีกข้างหนึ่งของเธอถือร่มเอาไว้ เธอกางร่มออก ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้า ร่มสีเข้มคันนั้นก็บดบังครึ่งตัวบนของเธอเอาไว้อีก