บทที่ 264 เอาแต่ใจตนเอง
เรื่องนี้มันกระจายไปในวงในแล้วจริงๆ เพราะแม้แต่ตอนที่กำลังแต่งหน้าทำผมอยู่ พวกช่างแต่งหน้าและสไตล์ลิสต์ก็พากันพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุด ส่วนเจียงเซ่อไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ
“เซ่อเซ่อ ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
เมื่อเทียบเจียงเซ่อในตอนนี้กับตอนแรกๆ แล้ว ก็ถือว่าเธอมีชื่อเสียงกว่าเดิมมาก ก่อนที่จะเข้าสู่โรงภาพยนตร์ IMAX เธอก็ถูกจัดให้นั่งพักแยกอยู่ในห้องแต่งตัวเดี่ยว และคนที่อยู่ในห้องก็เป็นคนของเธอเองทั้งหมด เพราะงั้นเวลาที่ทุกคุยกันจึงพูดกันตามใจปากไปเรื่อย
โม่อานฉีถามขึ้น หลิวลี่จื้อก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เจียงเซ่อถอนหายใจออกมา ในใจของเธอไม่ได้มีความสงสัยหรือแปลกใจต่อเรื่องนี้เลยสักนิด เธอแค่กำลังรู้สึกเซ็งกับเฝิงหนานอย่างบอกไม่ถูกพอได้ยินโม่อานฉีถามขึ้นแบบนั้น เธอก็เงียบไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น
“คงไม่จบกันง่ายๆ หรอกค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้โม่อานฉีและคนอื่นๆ แปลกใจเล็กน้อย แต่เซี่ยเชาฉวินที่เปิดประตูเข้ามาก็ทำให้ต้องหยุดสิ่งที่จะพูดไป เจียงเซ่อจึงพูดขึ้น
“เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็กลายมาเป็นคู่หมั้นกันขนาดนี้แล้ว เป็นเหมือนตัวแทนของตระกูลเฝิงและตระกูลจ้าวที่จะต้องร่วมมือกัน”
ก่อนที่เจียงเซ่อจะมาเกิดใหม่ ทั้งตระกูลจ้าวและตระกูลเฝิงมีการพบเจอและพูดคุยกันมาหลายครั้งแล้ว และพวกเขาก็มีความสนใจที่จะร่วมมือกันลงทุนสร้างธุรกิจรีสอร์ตโรงแรมระดับสูงขึ้นมา
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ดำเนินการจนมาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานจะมาคอยกำกับเองตามใจชอบแน่ๆ อยู่ที่ทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะอนุญาตหรือไม่เท่านั้น
และสิ่งที่ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกผิดหวังในตัวเฝิงหนานนั้น มันก็ไม่ใช่เพราะว่าหล่อนตั้งใจวางแผนที่จะทำร้ายคนอื่นตั้งแต่แรก และมันก็ไม่ใช่เพราะหลังๆ มาที่ระหว่างทั้งสองคนเกิดมีเรื่องถกเถียงกัน แต่มันเป็นเพราะว่าในเมื่อเฝิงหนานเลือกที่จะอยู่กับจ้าวจวินฮั่นแล้ว ในเมื่อหล่อนยอมรับข้อเสนอว่าให้แต่งงานจากทั้งตระกูลเฝิงและตระกูลจ้าวมาตั้งแต่แรก หล่อนก็ไม่ควรที่จะมาใช้อารมณ์ก่อความวุ่นวายอย่างไม่คิดแบบนี้
ในเมื่อหล่อนกลายเป็นคนที่ต้องมารับช่วงต่อจากตัวเธอทั้งหมด ก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่หล่อนได้ ไม่เพียงแค่ร่างกายของเฝิงหนานเท่านั้น เพราะมันยังมีฐานะของเฝิงหนาน ยังมีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบและศีลธรรม จนรวมไปถึงญาติผู้ใหญ่
แต่ตอนนี้หล่อนกลับใช้อารมณ์ในการทำเรื่องต่างๆ แค่เกิดความขัดแย้งกับจ้าวจวินฮั่นแค่นี้ ก็ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว หล่อนไม่ได้นึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในภายหลังเลยด้วยซ้ำ หรือพูดได้ว่า หล่อนไม่ได้นึกถึงหน้าตระกูลเฝิงหรือแม้แต่เฝิงจงเหลียงเลยสักนิด
การเกิดใหม่ไม่ได้ให้แต่ประโยชน์แก่หล่อนเท่านั้น เพราะหล่อนเองก็ต้องรู้จักที่จะแบกรับความรับผิดชอบที่ต้องเจอด้วย
แต่เรื่องนี้เฝิงหนานอาจจะก่อเรื่องพวกนี้เพราะอารมณ์ของตัวเองก็ได้ เพราะไม่ว่าตระกูลเฝิงจะเดือดร้อน หรือเฝิงจงเหลียงจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องนี้หรือไม่ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหล่อนเลย แต่ตัวจ้าวจวินฮั่นจะต้องกังวลและพะวงกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยแน่ๆ
เพราะงั้นหลังจากที่เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้แล้ว จ้าวจวินฮั่นจะต้องยอมก้มหัวไปพักหนึ่งแน่ๆ และเรื่องนี้ก็จะถูกตระกูลจ้าวและตระกูลเฝิงกดมันลงไป
เซี่ยเชาฉวินคิดตามอย่างตั้งใจ สิ่งที่เจียงเซ่อพูดมาถือว่ามีเหตุมีผลมากๆ ราวกับว่าเธอเข้าใจกับการที่ตระกูลเฝิงและตระกูลจ้าวร่วมมือกันอยู่แล้ว แต่เธอไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกันล่ะ?
โม่อานฉีเองก็คิดว่าสิ่งที่เธอพูดมีเหตุผลไม่น้อย
“ที่เธอพูดก็......อ้าว คุณเซี่ย”
โม่อานฉีเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าบนกระจกนั่นสะท้อนเงาของเซี่ยเชาฉวินอยู่ หล่อนเรียกออกมาอย่างตื่นๆ ไม่รู้ว่าเซี่ยเชาฉวินจะได้ยินสิ่งที่ทุกคนคะยั้นคะยอให้เจียงเซ่อพูดถึงนู่นนี่เมื่อครู่นี้หรือเล่า เพราะท่าทางหล่อนก็ไม่ได้ดูโมโหอยู่ด้วย
“ยังเหลืออีกยี่สิบนาที พวกสื่อกับเหล่านักวิจารณ์หนังที่หลินซีเหวินเชิญมาจะเข้าไปข้างในกันแล้วนะ”
เพราะสองสามคนนี้ก็เกรงกลัวหล่อนอยู่ไม่น้อย พอได้ยินแบบนั้น ก็รีบเร่งมือสิ่งที่ทำอยู่ในทันที เสื้อผ้าหน้าผมของเจียงเซ่อใกล้จะเสร็จแล้ว ช่างแต่งหน้าหยิบสเปรย์เซ็ตเครื่องสำอางขึ้นมาและฉีดมันลงบนใบหน้าของเจียงเซ่อ และผลที่ออกมาก็ดูน่าพอใจไม่น้อย
“OK”
เซี่ยเชาฉวินมองดูครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
ในห้องจัดงาน ฟ่านจืออวิ๋นยังมาไม่ถึง หลินซีเหวินเองก็กำลังบอกให้ทีมงานรีบติดต่อหาหล่อนเรื่อยๆ พอเจียงเซ่อเดินออกมาแล้ว ในงานก็มีแค่ซ่งเซี่ยนที่รออยู่ ตอนที่เห็นเจียงเซ่อมาถึง เขาก็เดินเข้าไปทักทายทันที
ในหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลสาขานักแสดงมา และจุดยืนในกลุ่มหนังก็สูงขึ้นไปอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะเป็นนักแสดงนำอย่างซ่งเซี่ยนก็ตาม ตอนที่เดินเข้าไปเขาก็ทักทายและยังเรียกเจียงเซ่อว่า ‘คุณเซ่อเซ่อ’ อีกด้วย
ในวงการนี้ไม่ได้เรียกฐานะกันตามอายุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงฐานะจุดยืนและผลงานด้วย เจียงเซ่อที่ถูกซ่งเซี่ยนเรียกอย่างตั้งใจว่า ‘คุณ’ แบบนั้นแล้ว ก็ชะงักไปเล็กน้อย
“เรียกแค่เซ่อเซ่อก็พอแล้วล่ะค่ะ”
พูดจบก็มีคนตะโกนขึ้นมาแทรกขึ้นมาพอดี
“เซ่อเซ่อ”
เจียงเซ่อกล่าว ‘ขออภัย’ กับเขา ก่อนจะหันไปพบว่าเป็นภรรยาของโหวซีหลิ่งที่กำลังกวักมือเรียกเธออยู่ เธอรีบเดินเข้าไปหาทันที
‘The Occasion of Beiping’ เป็นผลงานการเขียนบทหนังครั้งแรกของโหวซีหลิ่ง ตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการเตรียมการของหนังเรื่องนี้ จนกระทั่งถึงขึ้นตอนการจรดปากกาเขียนมันออกมา ก็ล้วนแล้วเป็นฝีมือของโหวซีหลิ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีการยืมมือใครคนอื่น มันเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความตั้งใจของเขา เป็นธรรมดาที่เขาจะให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้
งานหนังภาพยนตร์เมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะว่าต่างคนต่างยุ่งไม่น้อย เจียงเซ่อจึงยังไม่ทันได้เข้าไปพูดคุยกับโหวซีหลิ่งเลยสักนิด พอได้มาพบกันตอนนี้ พูดคุยกันได้เล็กน้อย หลินซีเหวินก็เดินเข้ามาพอดี
พอถึงเวลาแล้ว เหล่าผู้คนที่ถูกเชิญให้มาร่วมงานก็เริ่มถูกปล่อยให้เดินเข้าไปในห้องชมภาพยนตร์ หางตาหลินซีเหวินมองเห็นคนๆ หนึ่งในกลุ่มคน เขาเกิดความแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย
“นั่นมันซูเพ่ยเอินไม่ใช่หรือ?”
ซูเพ่ยเอินชื่อนี้สำหรับเจียงเซ่อแล้วก็ไม่ใช่คนทั่วๆ ไปอีกต่อไป เพราะเขาคือนักวิจารณ์หนังที่มีชื่อเสียงคนแรก ที่กล่าววิจารณ์ชมเชยเจียงเซ่อในหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ และเขายังเป็นถึงกรรมการในงานหนังภาพยนตร์ที่ผ่านมาด้วย น่าเสียดายที่เพราะปัญหาสุขภาพของเขา เขาออกมาให้เห็นหน้าแค่แปบเดียวก็ไปแล้ว เจียงเซ่อเองก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเลย
เขาสวมกางเกงทราวเซอส์*กางเกงขายาวเหมือนกางเกงสูท ส่วนท่อนบนเป็นเสื้อไหมพรมสีลูกพุทรา และทับด้วยเสื้อขนเป็ดแขนกุดสีเข้ม เรือนผมสีขาว และสวมแว่นตาทรงธรรมดาๆ รูปร่างไม่เตี้ยไม่สูง ดูรวมๆ แล้วก็ดูเรียบๆธรรมดาๆ
“เขาน่าจะเคยดู ‘The Occasion of Beiping’ ไปแล้วนี่ ทำไมถึงยังมางานหนังรอบปฐมทัศน์อีกล่ะ?”
ฟ่านจืออวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ส่วนใบหน้าของโหวซีหลิ่งในตอนนี้มีแต่ความยินดีจนปิดไม่มิดแล้ว
ซูเพ่ยเอินเป็นถึงหนึ่งในกรรมการงานหนังภาพยนตร์ และแน่นอนว่าหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เขาก็น่าจะเคยได้ดูไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะงั้นถึงได้เอามาตัดสินได้ ว่าจะเอาบัตรคะแนนโหวตให้กับใคร
แต่ถ้าตามความเคยชินแล้ว ในวันงานหนังรอบปฐมทัศน์แบบนี้ เป็นเพราะฐานะของเขาเอง บัตรเชิญให้มาร่วมงานอย่างรอบปฐมทัศน์ก็ต้องส่งไปถึงเขาอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็อุตส่าห์มาที่นี่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่ค่อยจะดีแบบนี้ การที่เขามาที่นี่ ก็คงจะคิดถึงความเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวก็คือ หนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ นั้นเป็นที่ชื่นชอบของเขามาก ถึงทำให้เขายอมที่จะเสียเวลามาดูในงานอีกสักครั้ง
และอาจจะเป็นไปได้ว่า หลังจากที่ดูหนังจบแล้ว ก็จะเขียนคำวิจารณ์ให้กับหนังของเขาอีก
ตอนนี้น้อยครั้งที่ซูเพ่ยเอินจะออกมาเขียนคำวิจารณ์หนัง ครั้งล่าสุดที่เขียนไป ก็เป็นของหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ที่เข้าฉายไปตอนเดือนกันยายนปีที่แล้ว และหลังจากนั้นก็หายเงียบไปอีก
เหล่าแฟนคลับที่ติดตามเขาก็จะรู้ดี ว่าเขาจะเขียนหรือไม่เขียน ก็ต้องดูว่าหนังเรื่องนั้นๆ จะสร้างความประทับใจให้เขาได้หรือไม่ แล้วในคืนวันนี้ของงานหนังรอบปฐมทัศน์เรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ถ้าเขาเขียนบทวิจารณ์ให้กับหนังเรื่องนี้จริงๆ ละก็ แบบนั้นคำชื่นชมของหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ จะต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ
และถ้าหากว่าหนังเรื่องนี้ได้รางวัลมาอีกสักนิดแล้วละก็ หลินซีเหวินมั่นใจเลย ว่ายอดขายบัตรมันจะต้องได้มากกว่าที่เขาให้ถ่ายทำไปทั้งหมดแน่ๆ!
เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาเหล่มองดูเลขที่นั่งของซูเพ่ยเอิน และมองเขาที่นั่งลงไปบนที่ของตัวเอง และมองดูโปสเตอร์หนังในมืออย่างเงียบๆ เหล่านักวิจารณ์หนังคนอื่นๆ สื่อมวลชนและนักข่าวยังคงทยอยกันเดินเข้างาน และก็มีคนพบกับซูเพ่ยเอินแล้วด้วย ในตอนที่เห็นซูเพ่ยเอิน ใบหน้าของใครหลายๆ คนก็เต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย และในใจก็คงมีความคิดไม่ต่างจากหลินซีเหวินนัก
ในคืนนี้เถาเถาเองก็ตามรุ่นพี่จากที่สำนักงานมายังงานหนังรอบปฐมทัศน์ของ ‘The Occasion of Beiping’ ด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นนักข่าวฝึกงานเฉยๆ และถึงแม้ว่าตอนที่ดูหนังก็ทำได้แค่ยืนดูอยู่ข้างหลังเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ที่จะให้ได้นั่งก็ตาม แต่เถาเถาก็พอใจมากแล้วในตอนนี้
เพื่อที่จะได้โอกาสนี้มา หล่อนได้รับปากกับทางบริษัทไปแล้วว่า ภายในสองเดือนนี้จะไม่ทำโอทีเลยสักวัน และนั่นก็เพื่อที่ได้มาเข้าร่วมงานหนังเรื่องแรกของเจียงเซ่อ ที่หลังจากถ่ายทำออกมาแล้ว มีแอร์ไทม์*ช่วงที่ได้ออกกล้องหรือฉากที่เป็นของตัวเองมากที่สุด แถมยังได้รับรางวัลอีก และมันก็ไม่ใช่บทตัวประดับแล้วด้วย ไม่ว่ายังไงหล่อนก็จะไม่มีวันพลาดโอกาสแบบนี้เป็นอันขาด