webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

262

บทที่ 262 สัมภาษณ์

ในช่วงที่แจกรางวัล เจียงเซ่อเองก็ได้เห็นเถาเฉินจากที่ไกลๆ แล้ว แต่ส่วนมากจะเห็นหล่อนในข่าวและหนังเสียมากกว่า เธอตัวสูงประมาณเกือบร้อยเจ็ดสิบ ดูท่าทางเป็นคนคุยเก่ง หล่อนสามารถชวนเชี่ยซ่าเหลยพูดคุยได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะก่อนที่เธอจะเข้าในงานหนังภาพยนตร์ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้ความสามารถและฝีมือเป็นอย่างมาก ในตอนที่เธอคุยอยู่กับเชี่ยซ่าเหลย หล่อนก็ยังใช้พวกคำง่ายๆ ภาษาอิตาลีอีกด้วย ทำให้เชี่ยซ่าเหลยคุยกับหล่อนในทันที

ตอนนี้หล่อนกำลังบุกตลาดต่างประเทศ การที่จะได้เจอเชี่ยซ่าเหลยที่เป็นถึงผู้กำกับที่มีชื่อเสียงแบบนี้ไม่ใช่โอกาสที่จะได้มาง่ายๆ เลย แต่หลังจากที่ได้พูดคุยไม่กี่นาที หล่อนก็หันไปเห็นเจียงเซ่อ จึงยิ้มและพูดขึ้น

“คุณลัวซีและคุณเจียงเซ่อคงมีเรื่องที่จะต้องคุยกันสินะคะ”

พอเห็นว่าเชี่ยซ่าเหลยพยักหน้าให้ เถาเฉินก็ไม่ไปกวนเขาอีก

หล่อนเป็นคนที่วางตัวเป็น และเป็นคนที่รู้จักจังหวะและขั้นตอน จากนั้นหล่อนก็ได้ช่องทางติดต่อกับเชี่ยซ่าเหลยมา หล่อนหันไปมองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง ดึงชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและเดินออกไป

เชี่ยซ่าเหลยแสดงสีหน้าเกรงใจออกมา “ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะครับ”

ที่จริงเถาเฉินก็ไม่ได้มาทำให้เจียงเซ่อเสียเวลาอะไร หล่อนก็แค่ใช้จังหวะนี้มาเป็นโอกาสในการทำความรู้จักกับเชี่ยซ่าเหลยเท่านั้น พอได้ช่องทางติดต่อแล้วก็ขอตัวออกไป แต่การขอโทษของเชี่ยซ่าเหลยนั้นทำให้เจียงเซ่อต้องยิ้มออกมา

“ที่จริงดิฉันก็ไม่ได้รอนานอะไรเลยค่ะ ฟังเรื่องที่พวกคุยกันแล้วก็ดูน่าสนใจดีอยู่ไม่น้อย อีกอย่างการที่ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ภาษาอิตาลียากๆ แบบนี้ ดิฉันกลับคิดว่าเวลามันสั้นจริงๆ”

เชี่ยซ่าเหลยหัวเราะออกมา แล้วผายมือออกมา

“งั้นต้นฉบับของนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ก็น่าจะเป็นโอกาสที่จะช่วยฝึกภาษาอิตาลีให้คุณเจียงเซ่อได้เป็นอย่างดีนะครับ”

เจียงเซ่อนึกถึงสิ่งที่ Jason พูดก่อนหน้านี้ แล้วยิ้มขึ้น

“ในนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ส่วนมากจะเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับศาสนา หลังจากที่มันถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว มันก็เหมือนว่าจะขาดความรู้สึกบางอย่างไปด้วย มีบางจุดที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ไม่รู้ว่าจะพอรบกวนคุยได้หรือเปล่า?”

“ลำบากอะไรกันครับ?”

เชี่ยซ่าเหลยพยักหน้าอย่างผ่อนคลาย หลังจากที่แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันแล้ว เจียงเซ่อก็ทำอย่างเดียวกันกับเถาเฉิน ไม่ได้พยายามจะรั้งเอาไว้เพียงเพราะฐานะของเชี่ยซ่าเหลย และเลือกที่จะขอตัวออกมาแทน หลังจากที่เธอเดินออกมาแล้ว Jason ก็พูดขึ้นเบาๆ

“เชี่ยซ่าเหลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

เขาขานออกมาคำหนึ่ง แล้วดึงๆ เนคไทตัวเอง

“ก่อนหน้านี้ที่ฉันอยู่ต่อหน้าเธอ และบอกให้เธอรู้ว่านายชอบนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มากแค่ไหน และกำลังสนใจที่จะนำนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง”

Jason มีสีหน้าที่ดูหงุดหงิด และดูจิตใจไม่ค่อยสงบด้วย

“ฉันคิดไม่ถึงเลย ว่าเธอจะฟังออกด้วย”

เพราะเขาเป็นคนที่พูดเร็วมาก อีกทั้งสำเนียงการพูดของเขาก็ยังติดสำเสียงของคนอิตาลีด้วย อย่างเช่นตัว R ถ้าเป็นการออกเสียงของชาวอิตาลีแล้วละก็ มันก็จะเป็นการฟังที่ยากมากทีเดียว ตอนแรกเขาคิดว่าเจียงเซ่อคงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ นอกจากจะฟังรู้เรื่องแล้วยังสามารถพูดตอบกลับได้อีกต่างหาก

เชี่ยซ่าเหลยชะงักไป Jason พูดขอโทษอีกครั้ง

“ฉันขอโทษด้วยจริงๆ”

เชี่ยซ่าเหลยส่ายหน้า แล้วนึกถึงที่เจียงเซ่อบอกว่าคงต้องรบกวนเขาเมื่อครู่นี้แล้ว ก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมา

“ช่างเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดจริงๆ เลยนะเนี่ย”

เขากำลังสนใจที่จะนำนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มาสร้างเป็นหนังภาพยนตร์จริงๆ และในขณะที่ Jason ผู้ช่วยของเขาได้เปิดเผยแผนในครั้งนี้ของเขาออกไป แต่เจียงเซ่อก็ไม่ได้แสดงท่าทางโลภออกมาเลยสักนิด แต่ใช้การแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อกันแทน ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความทะเยอทะยาน แต่ในวิธีแบบนี้ก็ไม่ทำให้คนเขารู้สึกรำคาญใจ

และตัวเธอเองก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร กลับกันเธอดูสงบใจเย็นและนั่นก็ทำให้เชี่ยซ่าเหลยรู้สึกประทับใจในตัวเธอมาขึ้นอีก

“แต่ว่า สิ่งที่ฉันกังวลก็คือ เธอจะถือโอกาสนี้ ในการตีสนิทกับนาย และขอบทแสดงที่อยากเล่นน่ะสิ”

Jason ดูกังวลอยู่ไม่น้อย แต่เชี่ยซ่าเหลยกลับตอบว่า

“ในทุกๆ ปีก็มีคนพยายามจะเข้ามาตีสนิทกับฉันอยู่แล้ว คนที่ต้องการจะขอบทแสดงแบบนี้ก็มีไม่น้อยเลย”

แต่คนที่ทำสำเร็จก็ไม่ได้เยอะอะไรเลย “อีกอย่างเรื่องที่จะเอานิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มาทำเป็นหนัง มันก็ยังเป็นแค่สิ่งที่ฉันคิด เมื่อไหร่จะสามารถทำมันได้ก็ยังไม่รู้หรอกนะ หรือถ้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ การที่เธอมาเข้าใกล้ฉัน เพื่อที่จะได้มีโอกาสมากขึ้นละก็ ฉันเองก็คงรู้จักเธอมากขึ้น และมันก็จะกลายเป็นว่าฉันมีโอกาสให้เลือกมากขึ้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับทั้งสองฝ่ายนะ ถ้าหากว่าสาวเก่งคนนี้มีความรู้ความสามารถจริงๆ ละก็ เธอไม่ต้องพยายามทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ฉันยอมเลือกเธอเองเลย และแน่นอน ถ้าหากเธอเป็นพวกที่ภายนอกดูฉลาดแต่จริงๆ แล้วไม่มีความรู้อะไรเลย ถึงจะพยายามหาวิธีแค่ไหน มันก็เป็นแค่การเสียเวลาไปเปล่าๆ ฉันเชื่อว่าเธอเข้าใจเรื่องนี้ดี”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ว่าในงานหนังภาพยนตร์ครั้งนี้ ในหนังหลายๆ เรื่อง การแสดงของเธอก็ถือว่าไม่เลวเลย”

พอพูดจบ เชี่ยซ่าเหลยก็ตบๆ บ่าของ Jason

ในตอนที่เจียงเซ่อออกมาจากหลังเวทีงานแล้ว โม่อานฉีก็ดูเวลา ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ยังเหลืออีกแค่ประมาณสิบนาทีก่อนที่จะถึงเวลาให้สัมภาษณ์ที่เซี่ยเชาฉวินได้จัดเอาไว้ให้ ถึงแม้ว่าห้องที่จัดให้สัมภาษณ์จะอยู่ไม่ไกลจากที่จัดงานนัก แต่ถ้าขับรถไปก็ใช้เวลาประมาณเจ็ดแปดนาทีแล้ว ที่สำคัญก็คือเจียงเซ่อยังจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำผมใหม่อีก เห็นได้ชัดว่ามันจะสายแล้ว

ตอนที่ขอตัวออกมาเจียงเซ่อก็ยังรักษาความเร็วของการก้าวเท้าอย่างสม่ำเสมอไม่ช้าไม่เร็ว แต่พอเดินออกมาจากงานแล้ว ก็ต้องรีบวิ่งทันที

โม่อานฉีเองก็วิ่งตามเธอไป เจียงเซ่อเริ่มแกะผมตัวเองออก พลางบอกให้โม่อานฉีโทรไปบอกให้สไตล์ลิสต์และช่างแต่งหน้าขึ้นไปรอบนรถก่อนเลย หลังจากที่ขึ้นรถมาแล้ว ทั้งสองคนก็รออยู่บนรถเรียบร้อย

เจียงเซ่อดึงผ้าม่านบริเวณที่นั่งตรงกลางปิด เช็คดูว่าหน้าต่างถูกปิดเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ช่างแต่งหน้าก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาผืนหนึ่ง และเอามันไปห่อตัวเจียงเซ่อเอาไว้ และให้เธอถอดชุดราตรีที่สวมอยู่ออกมา

จากนั้นก็ให้เธอสวมชุดราตรีอีกตัวที่หลิวลี่จื้อเตรียมเอาไว้ ส่วนในด้านการแต่งหน้าที่ก่อนหน้านี้แต่งแค่อ่อนๆ เอาไว้แล้ว ที่ต้องเพิ่มเติมคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนผมตอนนี้คงเป่าไดร์ไม่ทันแล้ว จึงทำได้แค่ม้วนมันขึ้นเท่านั้น

และหลังจากที่รีบไปถึงที่ให้สัมภาษณ์แล้ว ถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะไม่ได้ไปเร็วก่อนเวลา แต่เธอก็ไม่ได้ไปสายอะไร

ถึงแม้ว่าคืนนี้เจียงเซ่อจะมีหนังที่เข้าชิงถึงสองเรื่อง และมีการขานชื่อเข้าชิงรางวัลถึงสี่ครั้ง แต่ว่าการที่เธอมาให้สัมภาษณ์ตรงเวลาแบบนี้ และไม่ได้มีท่าทางหยิ่งผยองแบบนี้ โม่อานฉีมองสำรวจเหล่านักข่าวช่างภาพที่มารอกันไปรอบๆ และไม่พบว่ามีอะไรที่อันตรายแล้ว หรือแม้แต่พวกช่างภาพที่จะมาแอบถ่ายมุมไม่ดีก็ไม่มี ก็รีบเข้าสู่การสัมภาษณ์ในทันที การกระทำแบบนี้ต่างก็ทำให้เหล่านักข่าวที่เข้ามาพบกับเจียงเซ่อแล้ว พากันพูดถึงเรื่องๆ นี้เป็นพิเศษ

ส่วนมากดาราก็มักจะกลัวว่าพวกนักข่าวจะมาแอบถ่ายในด้านที่ไม่ดีออกไป เพราะว่าในช่วงที่ให้สัมภาษณ์ ถือว่าเป็นเวลาที่ไม่ได้สั้นอะไรนัก ยิ่งโดยเฉพาะเป็นช่วงที่เพิ่งเข้าร่วมงานหนังภาพยนตร์มาแบบนี้แล้วด้วย หลังจากที่ต้องรวบรวมสมาธิมากๆ มันก็ง่ายที่จะเผลอแสดงความเหนื่อยล้าออกมา

ถ้าเผลอแสดงท่าทางแบบนั้นออกไปแล้วละก็ มันจะต้องดูไม่ดีมากแน่ๆ

ดังนั้นในการสัมภาษณ์ในช่วงเวลาแบบนนี้ เหล่านักข่าวก็จะคุ้นชินกับการที่ผู้ช่วยของดาราจะมาคอยตรวจสอบอุปกรณ์พวกเขาเพื่อเป็นการป้องกัน เพราะกลัวว่าจะมีคนเข้าไปแอบถ่ายมุมที่ดูไม่ดีของดาราออกมานั่นเอง

“แต่ว่าตอนที่พวกเราเข้ามา ผู้ช่วยของคุณไม่ได้เดินเข้ามาตรวจสอบพวกเราเลยนะคะ”

สำนักข่าวที่เซี่ยเชาฉวินได้จัดเตรียมให้มาสัมภาษณ์เธอนั้นมีสามสำนัก และล้วนแล้วเป็นสื่อใหญ่ๆ ของประเทศทั้งนั้น สำนักข่าวแห่งแรกที่เข้ามาก็คือซินเหมยถี่ที่อยู่ภายใต้สังกัดของสำนักข่าวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในหัวเซี่ย นักข่าวเป็นหญิงสาวอายุประมาณสามสิบไว้ผมสั้นเท่าติ่งหู เจียงเซ่อมองไปยังป้ายชื่อสำนักข่าวที่หล่อนห้อยเอาไว้ ข้างบนนั้นมันมีชื่อเขียนเอาไว้ว่า เฉินหราน

การที่เฉินหรานถามแบบนั้นขึ้นมา มันก็เป็นแค่คำถามเล่นๆ เท่านั้น เพราะคำตอบของเหล่าดาราก็คงจะมีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น เช่น อยากจะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาให้ได้เห็น ว่ามีความไว้ใจต่อเหล่านักข่าว ไม่คิดว่านักข่าวจะทำเรื่องที่ไม่มีจรรยาบรรณ หรืออย่าง อยากจะแสดงความมีมารยาทที่ตัวเองถูกสอนมา มั่นใจว่าตัวเองจะไม่โดนแอบถ่ายอะไรแบบนั้น

คำตอบเรียบง่ายทั่วๆ ไป ถือเป็นการเข้าสู่การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการนั่นเอง แต่ที่ไหนได้ พอเจียงเซ่อได้ยินเฉินหรานถามขึ้นแบบนั้น เธอกลับไม่ได้ตอบออกมาในแบบที่หล่อนคิดเอาไว้เลย กลับมีท่าทางแปลกใจขึ้นมาอีกด้วย

“มีกฎแบบนั้นด้วยหรือคะ? อย่างนั้นพวกคุณออกไปก่อนดีไหม แล้วพวกเราค่อยมาเริ่มกันใหม่?”

‘คิก’ ไม่เพียงแค่เฉินหรานเท่านั้นที่ชะงักไป เพราะแม้แต่ช่างกล้องและนักข่าวฝึกงานที่ตามเข้ามาด้วยก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงขำๆ