webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

255

บทที่ 255 ศูนย์กลาง

“ถึงแม้ว่าเฝิงหนานจะมีฐานะที่ไม่เลว แต่หลิวเย่เองก็ไม่ใช่พวกอ่อนหัด”

ถึงตระกูลเฝิงจะมีรากฐานที่มั่นคง แต่ยังไงก็ไม่ใช่กลุ่มนักลงทุนกับวงการบันเทิงโดยตรง ในวงการนี้ก็ถือว่ายังไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไรนัก

ครั้งนี้เฝิงหนานและจ้าวจวินฮั่นลงทุนให้กับ ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ก็จริง แต่จากที่จางจิ้งอานเองก็มีชื่อเสียงและหลิวเย่เองก็เป็นกำลังสำคัญของยอดขายบัตรหนัง ถึงแม้ว่าตระกูลเฝิงและตระกูลจ้าวจะได้ให้ทุนมหาศาล แต่ก็ยังเป็นแค่นักลงทุนเท่านั้น

ยิ่งโดยเฉพาะที่หลิวเย่เองก็มีอยู่ในจุดนี้แล้ว ในทุกๆ ปีมีหนังมากมายมาให้เขาได้เลือกเล่น อีกทั้งรายได้ของเขาก็อยู่ในอันดับสูงสุดของนักแสดงชายของหัวเซี่ย แน่นอนว่าเขาคงไม่ไปทำให้ทั้งตระกูลเฝิงและตระกูลจ้าวไม่พอใจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเกรงกลัวอะไร

“เฝิงหนานเป็นแค่ตัวประกอบในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ได้ออกฉากเดี๋ยวเดียวก็ตายแล้ว แต่หลิวเย่เป็นถึงนักแสดงนำ ครั้งนี้เขาอาจจะได้เป็นถึงนักแสดงที่ได้รับความนิยมสูงสุดเลยก็ได้ แล้วจะมายอมควงแขนหล่อนเพราะเจียงหนานบันเทิงได้ยังไงกัน?”

โม่อานฉียกยิ้มมุมปาก แล้วพูดเสียงเบา

“ตอนนี้เรื่องกระจายไปทั่วแล้วด้วย แต่ว่าคนของเจียงหนานบันเทิงเองก็จัดการอย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยข่าวใหม่ออกมาแทน เห็นว่าเดี๋ยวจะมีการ ‘เชิญ’ คนที่รู้จักออกมาพูดคุยดื่มชาแจกอั่งเปากัน”

เจียงเซ่อนึกถึงหยางป๋อซีที่เดินเข้ามาหาหลิวเย่ด้วยสีหน้าแบบนั้น และนึกถึงสายตาของเซี่ยเชาฉวินที่เหมือนแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ที่จริงเจียงเซ่อเอาก็พอจะเดาอะไรได้อยู่บ้าง แล้วยิ่งมาได้ยินที่โม่อานฉีพูดเยาะเย้ยเฝิงหนานที่ไม่รู้จักประมานตนแบบนี้อีก เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ

เซี่ยเชาฉวินอยู่กับเถาเฉินด้านหลัง และได้มอบหมายให้โม่อานฉีเป็นคนพาเจียงเซ่อไปเจอหน้ากับกรรมการที่เข้ามาในงานแล้วให้คุ้นหน้าคุ้นตา

ตอนนี้เหล่ากรรมการทั้งสามสิบคนก็ใกล้จะเข้ามากันครบแล้ว โม่อานฉีมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่ายังมีผู้กำกับชาวอิตาลีที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในวงการอย่างเชี่ยซ่าเหลยยังไม่มา นอกเหนือจากนั้น คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็นั่งประจำที่ตัวเองกันหมดแล้ว

คนรอบๆ ที่เข้ามาในงานกันแล้วก็พากันเข้าไปตีสนิทอยู่หลายคน โม่อานฉีเองก็พาเจียงเซ่อไปเหมือนกัน ทั้งสองคนถือว่ามีหน้ามีตาในงานหนังภาพยนตร์อยู่ไม่น้อย โม่อานฉีที่แต่ก่อนแค่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงของญี่ปุ่นมานาน กับเจียงเซ่อที่ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเข้าร่วมงานหนังภาพยนตร์เลย ไม่มีคนคุ้นเคยมาคอยนำทาง จึงยากที่จะหยิบยกเรื่องการเข้าชิงมาพูดกัน

โม่อานฉีลองดูหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีผลตอบรับใดๆ กลับมา เจียงเซ่อมองซ้ายมองขวา แล้วดึงโม่อานฉีให้ตามมา เธอเดินเข้าไปหาชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เรียวหน้าตอบและดูนิ่งขรึม

เขาไว้จอนไว้เครา เรือนผมสีมะรูน*สีน้ำแดงน้ำตาลเข้ม สีเปลือกเกาลัดและเป็นลอนเล็กน้อย กำลังทักทายกับกรรมการคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ข้างๆ เขาไม่ได้มีคนเยอะนัก และกับดาราหลายคนที่เขาไปรุมทักทาย ก็ดูเขาจะไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่

แต่เจียงเซ่อมองแวบเดียวก็รู้แล้ว นี่คือหนึ่งในรายชื่อกรรมการที่เซี่ยเชาฉวินส่งข้อมูลมาให้ ชื่อว่าซีเอ่อ เป็นนักเขียนบทหนังภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เป็นคนที่มีนิสัยเงียบขรึมไม่ค่อยพูด ไม่ใช่คนที่จะตีสนิทด้วยได้ง่ายๆ แต่เขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะเคารพพระเจ้าและศาสนาพอตัว และได้เคยสร้างหนังที่เกี่ยวกับศาสนาและโด่งดังอยู่หลายเรื่อง

ตอนที่เจียงเซ่อเดินเข้าไป เธอก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไปคุยเลย ถ้าเธอสะเพร่าเดินดุ่มๆ เข้าไปละก็ คงได้เป็นเหมือนกับคนก่อนๆ ที่เข้าไปชวนคุย แล้วก็โดนเขาพูดตัดบทออกมาแน่ๆ

เธอมองไปขึ้นไปยังหน้าจอใหญ่บนเวที ตอนนี้บนหน้าจอมีเพียงรูปถ้วยรางวัลที่จะมอบในงานหนังภาพยนตร์ในคืนนี้

ตัวถ้วยรางวัลออกแบบให้เป็นทูตสวรรค์ที่กำลังสยายปีกและชุบด้วยทองคำ มันมีขึ้นมาเมื่อตอนที่มีการจัดงานหนังภาพยนตร์นานาชาติครั้งแรก ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบเลยด้วย

เจียงเซ่อหยุดอยู่ตรงที่โต๊ะของซีเอ่อ แล้วถามโม่อานฉีขึ้น

“อานฉี พี่รู้สึกไหมคะ ว่าถ้วยรางวัลของงานหนังภาพยนตร์ มันเหมือนกับรูปทรงของไม้กางเขน?” ตอนที่พูดขึ้น เธอก็ยกมือทั้งสองข้างออกไป แล้วเอานิ้วทับกันเป็นสัญลักษณ์ ‘十’

การกระทำของเธอกลายเป็นที่สนใจของซีเอ่ออย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นมา มองเจียงเซ่อที่กำลังมองไปยังหน้าจอนั่น พร้อมกับนิ้วมือที่ทำเป็นรูปเลขสิบ*เลขสิบจีนมีลักษณะเหมือนกับไม้กางเขน ดวงตาสีฟ้าอมเทาประกายความสนใจขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด

แต่แค่ว่าเขาเองก็ไม่ได้พูดออกไปทันที เพียงแค่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงเซ่อรู้อยู่แล้ว ว่านักเขียนบทหนังที่ไม่ค่อยเผยนิสัยภายนอกออกคนนี้ไม่รู้ภาษาจีนเลยสักนิด เจียงเซ่อก็คงคิดไปแล้วว่าเขาฟังที่ตัวเองพูดกับโม่อานฉีออก

และโม่อานฉีก็เข้าใจในสิ่งที่เจียงเซ่อจะสื่อทันที หล่อนทำเป็นส่ายหน้า แล้วทั้งสองก็เริ่มคุยกันถึงเรื่อง ‘ไม้กางเขน’ เจียงเซ่อยังคงไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปพูดคุยกับซีเอ่อ ประมานห้าหกนาทีได้ ทั้งสองคนก็เริ่มถกเถียงกัน ซีเอ่อถึงได้วางมือทั้งสองข้างลง แล้วใช้ภาษาอังกฤษทักขึ้น

“สาวๆ มีเรื่องอะไร ที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ?”

“แน่นอนค่ะ”

ที่เจียงเซ่อทำเป็นถกเถียงกับโม่อานฉีเมื่อครู่นี้ ก็เพื่อที่จะดึงดูดให้ซีเอ่อเป็นฝ่ายพูดก่อนนั่นเอง และตอนนี้เขาก็พูดขึ้นมาแล้ว เจียงเซ่อเองก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป

“ดิฉันคิดว่า ถ้วยรางวัลของงานหนังภาพยนตร์ มันเหมือนกับรูปทรงของไม้กางเขนน่ะค่ะ แต่ว่าผู้ช่วยของฉันบอกว่ามันไม่เหมือนเลยสักนิด”

ภาษาอังกฤษที่เจียงเซ่อพูดออกมานั้นติดสำเนียงบริติช แค่เธอพูดออกมา ชาวต่างชาติรอบๆ ข้างต่างก็โดนเธอดึงดูดให้หันไปมองทั้งสิ้น

“แต่ผู้ช่วยของฉันคิดว่า ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของการประหารชีวิตนักโทษ ไม่ควรที่จะนำมาเปรียบเทียบน่ะค่ะ”

โม่อานฉีที่ได้ยินแบบนั้นแล้ว ก็พยักหน้า

ซีเอ่อยิ้มๆ แล้วหันไปมองบนหน้าจอใหญ่นั่น บนหน้าจอที่มีรูปทูตสวรรค์กางปีกออกคล้ายกับเลขสิบ เขาหันหน้ากลับมา

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะครับ?”

“ในยุคจักรวรรดิโรมัน ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการลงโทษจริงๆ แต่หลังจากที่พระเยซูถูกลงโทษ ความหมายของไม้กางเขนก็เปลี่ยนไปด้วย มันถูกให้ความหมายว่าการกลับคืนมาและความรัก ในทางศาสนา คือสิ่งศักดิ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ ดังนั้นจึงเหมือนทูตสวรรค์ที่ไม่มีทางทำร้ายใคร”

พอเจียงเซ่อพูดจบ ใบหน้าของซีเอ่อก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาทางเจียงเซ่อ

“สวัสดีครับ ผมชื่อซีเอ่อ”

ที่เจียงเซ่อพูดอยู่นาน ก็เพื่อที่จะรอเวลานี้ เธอยกมือขึ้นจับตอบซีเอ่อ ภาพนั้นทำให้ใบหน้าของหลายๆคนก่อนหน้านี้ที่ลองเข้ามาชวนซีเอ่อคุยแต่ก็โดนบอกปัดเกิดความแปลกใจและตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ใช่ว่าไม่มีใครไม่สนใจซีเอ่ออยู่ แต่แค่ว่าเขาไม่น่าเข้าใกล้ ท่าทางของเขาดูมีพิธีตรีตรองและเหินห่าง เป็นชายมีอายุที่ดูสันโดษและหยิ่งพอตัว แต่ตอนนี้เขากลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเจียงเซ่อเสียอย่างนั้น ทำให้หลายๆ คนก่อนหน้านี้ที่โดนเขาปฏิเสธมาเกิดอาการแปลกใจและเซ็ง

เพราะก่อนหน้านี้เจียงได้ท่องจำข้อมูลของซีเอ่อมาจนขึ้นใจ แน่นอนว่าเธอเข้าใจในความเชื่อและความศรัทธาของเขาเป็นอย่างดี พอเอาความชอบของเขามาพูดขึ้นในตอนนี้ ก็สามารถเรียกความสนใจและชวนคุยได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกัน จากไม้กางเขนจนไปถึงสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และมันก็สามารถดึงดูดสายตาของเหล่าชาวต่างชาติที่อยู่รอบๆ ได้เป็นอย่างดี เจียงเซ่อได้จดจำข้อมูลของคนเหล่านี้เอาไว้แล้ว เธอรู้ถึงความชอบของพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างขึ้นใจ

ถึงแม้ว่าอายุของเธอยังน้อย แต่ไม่ว่าจะก่อนที่จะมาเกิดใหม่หรือว่าตอนที่ได้มาเกิดใหม่แล้ว หนังสือและบทความที่เธอเคยอ่านมามากมายและมีอยู่ในมือมันก็มากพอที่จะสามารถทำให้เธอมีเรื่องมาพูดคุยได้ เพื่อที่มาสอดประสานกับสิ่งต่างๆ ที่แต่ละคนชื่นชอบและสนใจ

โม่อานฉีอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้วว่าเจียงเซ่อพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าภาษาอังกฤษของเจียงเซ่อจะดีขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา แม้กระทั่งตอนที่ทุกคนมาร่วมพูดคุยกัน เธอก็สามารถพูดคุยไปได้ทุกเรื่องอย่างฉะฉาน ราวกับว่าการเข้าหาสังคมชาวต่างชาติแบบนี้ เป็นแค่เรื่องเล็กๆ สำหรับเธอเท่านั้น

ตอนที่เฝิงหนานเดินเข้ามา คนรอบๆ ข้างก็ยังพากันกระซิบกระซาบ แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปร่วมวงคุยด้วย เฝิงหนานเองก็อยากจะลองเข้าไปพูดคุยดูบ้าง แต่พอได้ยินแต่คนใช้ภาษาอังกฤษคุยกันแบบนั้นแล้วก็รู้สึกว่ามันยากเกินไป จึงตัดสินใจไม่พูดเสียดีกว่า