บทที่ 245 รู้ใจ
ตอนที่ไต้เจียพูดขึ้นมา มือคู่นั้นของหล่อนกำชายเสื้อแน่น และรอเจียงเซ่อตอบ
“อืม”
เนี่ยต้านทำงานเร็วมาก ไต้เจียคงได้รู้เรื่องนี้แล้ว
ริมฝีปากหล่อนสั่นระริก น้ำสีใสเริ่มคลออยู่ในตา แต่หล่อนก็ไม่ต้องการที่จะร้องไห้ต่อหน้าเจียงเซ่อแบบนี้ หล่อนเบือนหน้าหนี แปบหนึ่งก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเอง แล้วนั่งลงตรงข้ามเจียงเซ่อ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื้นตันใจแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่วางมือลงบนโต๊ะเช่นเคย หล่อนยังคงวางมือเอาไว้บนหน้าตักตัวเองตามกฏระเบียบ
ริมฝีปากหล่อนเริ่มซีด และมันก็แห้งผาก มีบางจุดที่เหมือนมันกำลังจะลอกหลุดออกเพราะตัวเองยกมือลูบหน้าเมื่อกี้ และมันก็เริ่มมีเลือดซึมขึ้นมาแล้วด้วย
“ขอบคุณนะ”
“เธออย่าขอบคุณฉันเร็วนักเลย”
เจียงเซ่อก้มลงมองมือตัวเอง แล้วยิ้มขึ้น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“สิ่งที่ฉันพอจะทำให้เธอได้ ก็คงเป็นเรื่องพวกนี้ ฉันได้ลองถามเรื่องทั้งหมดดูแล้ว ทางทนายความอาจจะสามารถแก้ต่างให้เธอโดยบอกว่าเป็นการป้องกันตัวได้ ส่วนตัววิดีโอที่ถ่ายตอนที่จางหัวจะทำไม่ดีกับเธอก็ได้มาแล้วเหมือนกัน มีโอกาสสูงที่จะพลิกคดีสำเร็จ”
เธอพูดความจริงออกไปทั้งหมด และไม่มีท่าทีว่าจะโกหกไต้เจียเลยสักประโยคเดียว
“สิ่งที่ฉันจะทำให้เธอได้ก็คงเป็นเรื่องพวกนี้ ส่วนเรื่องอื่น ก็ต้องพึ่งตัวเธอเองแล้วนะ”
เพราะครั้งนั้นไต้เจียได้หยิบยื่นโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหนัง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ให้กับเธอ และตอนนี้เธอก็กำลังตอบแทนโดยการช่วยให้หล่อนหลุดพ้นจากความยากลำบาก แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปหล่อนก็ต้องพึ่งตัวหล่อนเองแล้ว
“ฉันเข้าใจ”
ไต้เจียกัดริมฝีปากตัวเอง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา และเหมือนกำลังพยายามกลั้นรอยยิ้มแห่งความโล่งใจเอาไว้ด้วย
“ถ้าเธอพูดแบบนั้น ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ” เพราะหล่อนกลัวว่าเจียงเซ่อจะแค่ล้อเล่น การที่ได้อยู่ที่นี่ในทุกๆ วัน สำหรับหล่อนแล้วมันช่างทรมานเหลือเกิน และเพราะหล่อนเข้ามาอยู่ที่นี่นานแล้ว และทั้งหมดมันก็เป็นแค่การฝืนทน อาศัยเพียงแค่ความรู้สึกที่ยังไม่อยากยอมแพ้ และความคิดที่อยากจะออกไปจากที่นี่ หล่อนจึงได้อดทนจนมาถึงตอนนี้
เจียงเซ่อไม่ได้มาพูดคำหวานเพื่อหลอกลวงหล่อนเล่นๆ และไม่ได้ให้คำสัญญาว่าหลังจากนี้หล่อนจะมีชีวิตที่เปล่งประกายได้อีกครั้ง เธอพูดแค่ประโยคเรียบๆ ง่ายๆ แต่กลับทำให้ไต้เจียคิดว่ามันดูน่าวางใจเสียยิ่งกว่าคำพูดดีๆ เสียอีก
หล่อนนึกถึงครั้งก่อนที่เจียงเซ่อได้มาเจอหล่อนที่นี่ขึ้นมา นึกถึงเหตุการณ์ในคืนงานเลี้ยงปิดกล้องหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ทั้งสองเคยได้นั่งพูดคุยกันมาก่อน ตอนนั้นหล่อนยังถามเจียงเซ่ออยู่เลย ว่าคิดว่าทำไมตัวหล่อนถึงได้ยอมที่จะเล่นเป็นตัวแสดงแทนจ้าวรั่วจวิน ตอนนั้นเจียงเซ่อไม่มีท่าทางว่าจะดูถูกกันเลยแม้แต่น้อย หรืออย่างวันนี้ ดูจากท่าทางของเธอแล้ว ก็ยังเป็นเหมือนอย่างเดิมไม่เปลี่ยน
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันที่น้ำพุในโรงเรียนสอนการแสดง ความนิ่งเงียบเป็นเหมือนการทำให้เจียงเซ่อเปิดเผยความรู้สึกจริงๆ ออกมา และหลังจากนั้นก็ได้ยินว่าเธอได้ช่วยหล่อน แต่เธอก็ยังเป็นเจียงเซ่อคนเดิมที่เรียบนิ่งคงเส้นคงวา และมันก็ทำให้ไต้เจียสบายใจไม่น้อย
วันนั้นที่ได้เจอกันในเรือนจำ เจียงเซ่อถามหล่อนว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ไต้เจียตอบกลับไปว่าตัวเองได้ ‘ฆ่าคน’ ไป ตอนแรกหล่อนคิดว่าเจียงเซ่อคงจะต้องช็อคไปเลยแน่ๆ และเธอจะต้องตีตัวออกห่างและไม่ยุ่งเกี่ยวกับหล่อนแล้วแน่ๆ
ในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นแรกๆ ในวันที่ครอบครัวมาหาหล่อน ทุกคนต่างร้องตะโกนถามว่าทำไม ไอ้เสียงแสบแก้วหูเหล่านั้นมันยังดังชัดอยู่ในหัวของหล่อนอยู่ตลอดเวลา แต่เจียงเซ่อกลับไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ได้หนีหลีกจากหล่อน และไม่กลัวเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเธอยังตามหาความจริง และช่วยหล่อนหาทนายความอีก
ไต้เจียไม่ได้พูดถึงเรื่องในกองถ่ายในวันนั้นอีก และไม่ได้เล่าว่าทำไมจางหัวถึงโดนเธอฆ่าได้ และหล่อนเองก็ไม่ได้เอาแต่ร้องขอบคุณเจียงเซ่อที่มาช่วยหล่อนด้วย หล่อนนั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง คุยกันอีกแค่ไม่กี่ประโยค ก็เดินกลับไปยังห้องขังกับผู้คุมขังแล้ว
และเวลาที่เหลือหลังจากนั้นและในวันถัดๆ ไปที่ได้มาที่นี่ ส่วนมากก็จะใช้เวลาไปกับการพูดคุยกับนักโทษคนอื่นๆ สนทนากับเฉายวี้บ้าง และเริ่มที่จะรู้จักและเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำแล้ว
มีผู้หญิงบางคนที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็มีผู้หญิงบางคนที่อยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว
ถ้าพูดถึงความผิดที่หญิงสาวเหล่านี้ได้ก่อแล้ว ไม่มีคนไหนที่ไม่หวังที่จะได้ออกไปจากที่นี่ ทุกๆ วันจะต้องตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน กินอาหาร เวลาที่จะได้เข้าห้องน้ำก็โดนจัดเวลาเอาไว้ด้วย และนอกจากการทำงานแล้ว ก็ยังต้องเรียนพวกแนวความคิดด้วย และทุกๆ คนมีสิทธิ์ได้เจอกับคนในครอบครัวเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
เจียงเซ่อเองก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว กระจกบานหนึ่งที่กั้นบุคคลในสายเลือดเอาไว้ ครอบครัวที่นั่งอยู่ข้างนอกกระจกนั่นพากันร้องไห้อย่างน่าเวทนา น้ำตาอาบไปทั่วแก้ม แต่หญิงสาวเหล่านั้นที่อยู่ในเรือนจำกลับมีเพียงความนิ่งเงียบไร้อารมณ์ ทั้งๆ ที่ขอบตาแดงก่ำ และมือสองข้างที่กำอยู่บนตัก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาเพียงสักคำ
“ในเรือนจำห้ามร้องไห้ ถ้าร้องจะถือว่าเป็นความผิด”
เฉายวี้อธิบายให้เจียงเซ่อฟังอยู่ข้างๆ
“คนในนี้น่ะ ถ้ามีสักคนร้องไห้ขึ้นมาแล้วละก็ คนอื่นๆ ก็จะพากันร้องตาม ก็จะกลายเป็นว่ารู้สึกตามเหมือนๆ กันไปหมด”
ในสถานการณ์แบบนั้น ก็จะมีหลายคนที่เกิดทำเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมา
งานที่จะต้องทำในเรือนจำมันมีเยอะมากจริงๆ ทุกๆ วันจะต้องทำจนดึกดื่น ในทุกๆ ปีในเรือนจำหญิงแห่งนี้จะมีการแบ่งงานกัน หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว นักโทษทั้งหมดก็จะได้การประเมินจากงานที่ตัวเองทำได้ทั้งหมด คนที่มีผลงานดีก็จะสามารถนำไปยื่นต่อศาลในการขอลดโทษได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนตั้งใจทำงานกันเป็นอย่างมาก อย่างวันที่เจียงเซ่อมาที่เรือนจำนี่เป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่หลายๆ คนก็ได้ยินแล้วว่ามีคนเดินเข้ามา แต่กับให้ความสนใจแต่กับการถักด้ายขนสัตว์โดยที่ไม่คิดจะหันมามองกันเลยด้วยซ้ำ
น้ำเสียงของเฉายวี้แฝงการทอดถอนใจ กฎห้ามไม่ให้นักโทษเอามือวางไว้บนโต๊ะ กระทั่งตอนที่ไปพบกับคนในครอบครัว มือก็จะต้องวางเอาไว้บนหน้าตัก และนั่นก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้นักโทษส่งข้อความอะไรออกไป ถือเป็นกฎที่ค่อนข้างเข้มงวดเป็นอย่างมาก
สำหรับนักโทษมากมายเหล่านี้แล้ว วันที่ได้พบญาตินั้น เป็นวันที่ใครๆ หลายๆ คนต่างก็ตั้งตารอ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน คำตำหนิที่มาจากคนในครอบครัว และน้ำตาที่มาจากคนชิดใกล้ กลับต้องมีกระจกขวางกั้น ได้แต่มองอยู่ไกลๆ อยากจะร้องตะโกนแต่ก็ทำไม่ได้
กับความรู้สึกที่แสนกดดันแบบนี้ ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงไม่มีทางเข้าใจได้แน่ๆ
เจียงเซ่อไปที่เรือนจำหญิงติดต่อกันมาประมานเดือนหนึ่งแล้ว เวลาปกติที่เธออยู่ในบ้าน เธอก็จะเปิดกล้องตั้งถ่ายเอาไว้ และลองแสดงสีหน้าแววตาออกมา เพื่อหาอารมณ์ที่ตรงที่สุด
หลังจากผ่านวันเกิดไปแล้ว เธอก็ได้โทรหาต่งฉาวผิงที่อยู่ในโรงละครแห่งชาติ และนัดเวลาที่จะไปเจอกัน
ที่จริงนอกจากก่อนหน้านี้ที่ฉางยวี่หูพาเธอมาฝึกการแสดงบนเวทีที่นี่นั้น เจียงเซ่อก็ไม่เคยติดต่อหาต่งฉาวผิงอีกเลย ตอนที่เธอติดต่อไป ต่งฉาวผิงเองก็ดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย
แต่เจียงเซ่อเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงอยู่แล้ว และบวกกับฐานะของฉางยวี่หูอีก ดังนั้นต่งฉาวผิงจึงตอบตกลงเวลานัดของเธอ และมาพบเธอด้วยตัวเองเลย
“ช่วงนี้อาจารย์ฉางเป็นอย่างไรบ้างครับ? อาจารย์ไม่ได้กลับมาที่โรงละครนี้มานานแล้ว”
เจียงเซ่อเป็นถึงคนที่ฉางยวี่หูพูดเองกับปากว่าเธอเป็นลูกศิษย์ ครั้งก่อนที่ฉางยวี่หูออกมาปกป้องเจียงเซ่อ แถมยังกลายเป็นประเด็นร้อนอยู่บนอินเทอร์เน็ตสักพักเลย หลังจากที่เรื่องมันเริ่มสงบลง ถึงแม้ว่าทุกๆ วันจะต้องขึ้นเป็นข่าว แต่คนบนอินเทอร์เน็ตก็เริ่มที่จะลืมๆ กันแล้ว แต่แฟนคลับของฉางยวี่หูเองก็ยังจำกันได้ และเพราะเหตุผลนี้ ต่งฉาวผิงจึงแสดงความสนิมสนมกับเจียงเซ่อออกมา และวาดยิ้มเสียเต็มใบหน้า
“ตอนนี้อาจารย์กำลังทำงานถ่ายทำอยู่น่ะค่ะ เห็นบอกว่าประมาณกลางเดือนธันวาคมก็จะเดินทางไปที่ประเทศเนปาล”
ปกติแล้วในทุกๆ เดือนเจียงเซ่อก็จะไปพูดคุยขอความคิดเห็นที่บ้านฉางยวี่หูอยู่แล้ว หลังจากพูดคุยกับต่งฉาวผิงพอเป็นพิธี เธอก็พูดเป้าหมายของตัวเองออกมาทันที
“ช่วงนี้ฉันอยากจะกลับมาซ้อมการแสดงเพื่อหาประสบการณ์ที่นี่อีกน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะสะดวกไหม”
ที่จริงตอนที่เธอโทรมา ต่งฉาวผิงเองก็พอจะเดาสิ่งที่เธอจะพูดได้แล้ว จึงทำแค่พยักหน้าเท่านั้น
“ช่วงนี้กำลังมีการซ้อมละครอยู่สามเรื่องเลยนะครับ”
เขาเองก็เตรียมเอกสารข้อมูลมาให้เรียบร้อย นอกจากเรื่องที่เป็นละครเกี่ยวกับดนตรีแล้ว อีกเรื่องก็เป็นละครเวทีแนวแฮปปี้ และอีกเรื่องก็เป็นละครที่ค่อนข้างลึกซึ้งอย่าง ‘Hai Tang in Fall’