บทที่ 243 จนถึงวันนี้
“ผมนึกถึงตัวเองในตอนนั้นตลอดเลย”
คนที่ก้มหัวอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ และบรรจงเขียนปฏิเสธจดหมายรักที่มีคนให้เฝิงหนานมา
เผยอี้ฝังหน้าตัวเองลงบนขาของเจียงเซ่อ จนเธอเริ่มรู้สึกถึงไอร้อนที่ค่อยๆ ปกคลุมขาของตัวเอง และความชื้นที่ก่อตัวขึ้น คำพูดของเผยอี้ทำให้ความรู้สึกมากมายที่มีอยู่มันตีกันไปหมด
เหมือนเธอจะพอนึกภาพออก ว่าเขาที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ และช่วยเธอเขียนจดหมายปฏิเสธแทนในตอนนั้นเป็นยังไง
เขาเป็นถึงคุณชายแห่งตระกูลเผยที่แสนเย่อหยิ่ง เป็นถึงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณปู่เผย เป็นถึงหลานสุดที่รักที่โดนคนทั้งตระกูลเอาอกเอาใจ ที่จริงเขาควรที่จะไม่พอใจและอาละวาดไปเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ามานอนเกยหน้าลงบนขาเธอแบบนี้ เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เผยความอ่อนแอทั้งหมดที่มีเอาไว้ตรงหน้าเธอ ไม่มีท่าทีที่จะปิดบังกันเลยสักนิด
“ผมก็แค่ไม่อยาก ได้วิ่งไล่เพียงแค่เงาของพี่”
เขาอยากที่จะยืนอยู่เคียงข้างเธอ ถ้าหากเธอมีความใฝ่ฝัน เขาก็ไม่อยากที่จะพึ่งเพียงแค่อำนาจของตระกูลเผยที่มีมาอยู่แล้ว เหมือนเป็นพวกลูกคนรวยที่เอาแต่ถลุงเงินพ่อแม่ไปวันๆ แบบนั้น มันช่างไม่คู่ควรกับเธอเลยจริงๆ
ถ้าเป็นแบบนั้น ระหว่างเขาและเจียงเซ่อ ไม่ว่าจะผ่านไปเท่าไหร่ก็คงจะมีแต่ปัญหา
คุณปู่เผยถามเขา ว่าเขาอยากจะเป็นเสือที่มีอำนาจให้ยืม หรืออยากจะเป็นจิ้งจอกที่ยืมอำนาจคนอื่น และเขาก็เข้าใจความหมายของคุณปู่เผยในทันที
เจียงเซ่อรู้สึกสับสนไปหมด คำพูดของเขาทำให้ความโกรธที่มีอยู่อันตรธานหายไป ตระกูลเผยสอนเขามาดีมากจริงๆ มีลูกหลานที่มีทั้งความเอาแต่ใจ เปราะบางและบริสุทธิ์ และยังมีหลายชายอีกคนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น เจียงเซ่อเริ่มรู้สึกว่าการที่ตัวเองได้มาเกิดใหม่ สิ่งที่เป็นความโชคดีที่สุดก็คงเป็นการที่สวรรค์ได้ชดเชยให้กับเธออย่างแท้จริง โดยการให้เธอได้เห็นชัดๆ กับตาถึงสิ่งที่ตัวเองเคยมองข้ามไป
ในขณะที่เขากำลังเสียใจที่ไม่ได้เห็นตัวเองเติบโตขึ้น แต่เธอกลับโชคดีที่ได้เห็นเขาโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เผยอี้ที่เป็นแบบนี้ เจียงเซ่อคิดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธแน่ๆ
เธอยื่นมือไปลูบหัวเขา เขายังคงฝังหน้าไว้อยู่แบบนั้น เพราะกลัวว่าเธอจะเห็นความอ่อนแอเขาไปมากกว่านี้
ผมเขาไม่ได้ยาวแล้ว ครั้งก่อนที่โกนไป ก็เลยมีเพียงผมเกรียนๆ มาตลอด แต่เส้นผมของเขาก็ทิ่มมืออยู่ไม่น้อย เธอก้มตัวลงอย่างอดไม่อยู่ เอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ กับศีรษะของเขา ขอบตามันร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
“แล้วนาย คิดว่าจะทำยังไงต่อไปหรือ? คนที่จะขอเรียนจบก่อนก็คือนาย คนที่บอกว่าจะไปกว่างโจวก็คือนาย แล้วตอนนี้ คนที่บอกว่าจะไม่มีทางเลิกกันก็คือนายอีก”
ที่จริงเธอเองก็ไม่ทันได้สังเกตจริงๆ ว่าช่วงนี้เผยอี้ดูมีเรื่องในใจ ตัวเขาเองก็มีปัญหา แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกอยากเอาแต่ใจตัวเอง เพราะว่าได้รับรู้ถึงความในใจของเขาแล้ว
คำพูดของเธอมีความตำหนิเล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เผยอี้ได้ยินเธอพูดด้วยเสียงที่ดูโกรธแบบนี้ แต่มันก็แฝงไปด้วยความออดอ้อน เหมือนว่ากำลังจะร้องไห้ คำถามเหล่านั้นล่องลอยอยู่บนศีรษะของเขา ราวกับขนนกที่แตะลงมา แต่กลับรู้สึกหนักเป็นพันๆ ตัน
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการที่จะให้เธอต้องมาทรมานอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้ และไม่อยากให้เธอโกรธเขาด้วย แต่พอเธอพูดปลอบเขาด้วยเสียงเบาๆ แบบนี้แล้ว เขาก็รู้สึกถึงหอมหวานและอ่อนโยนไปหมด รู้สึกได้ว่าระหว่างเราทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันขึ้นอีกนิดแล้ว
ความใกล้ชิดเหล่านั้นมันละเอียดอ่อนเสียงยิ่งกว่าการแตะต้องร่างกายกัน มันเพิ่มความสบายใจได้ดีเสียยิ่งกว่าเวลาที่เธอแสดงออกมาด้วยท่าทางการกระทำเสียอีก
“ผมไม่มีวันเลิกแน่ๆ!” เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย เอาแต่ฝังหน้าลงกับขาของเธอ น้ำเสียงติดความหงุดหงิดเล็กน้อย
“พี่เป็นของผม”
“ผมอยากให้พี่คิดถึงแค่ผม อยากให้พี่รอผม” เขาพูดถึงตรงนี้ แล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง
“ข้างนอกนั่นยังมีพวกผู้ชายหน้าไม่อายมากมาย พี่ห้ามสนใจพวกมันเด็ดขาด”
เมื่อกี้เขายังทำท่าทางน่าสงสารอยู่เลย เหมือนกับกระชากหน้ากากออกแล้วอย่างไรอย่างนั้น แล้วกลับมาพาลเหมือนเดิม
เธอยืดตัวตรง แล้วยื่นมือไปผลักหัวเขาออก “นายเองก็น่าไม่อายเหมือนกันนั่นแหละ!”
เขาพูดอะไรมาตั้งเยอะแยะ เหมือนว่าจะพูดทั้งหมดเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลย เผยอี้หัวเราะ ‘แหะๆ’ ออกมาสองที พอจับได้แล้วว่าเธอไม่ได้พูดด้วยความโกรธเหมือนตอนแรกแล้ว เขาก็รีบลุกไปนั่งบนโซฟาข้างๆเธอทันที
“ผมน่าไม่อาย ผมต้องการพี่เท่านั้น”
เจียงเซ่อยืดขาไปหวังจะถีบเขาออก แต่ก็โดนเขารวบไว้เสียอย่างนั้น พร้อมกับถูกดึงเข้าไปในอ้อมอก
เพราะหลังจากวันเกิดแล้วเผยอี้ก็เตรียมตัวที่จะไปกว่างโจว ช่วงนี้เจียงเซ่อก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเผยอี้เสียเลย
ส่วนเรื่องของไต้เจียเองก็ได้ยินมาจากเนี่ยต้านมาบ้างแล้ว เนี่ยต้านโทรมาพูดคุยเรื่องโจวเฉิงอู่ หลังจากที่ได้จัดการกับทางจวี้เฟิงแล้ว เนี่ยต้านก็ได้หาทนายให้ไต้เจียทันที และกำลังเตรียมการพลิกคดีให้กับหล่อน จากนั้นก็ได้ทำการตามหาวีดิโอที่ถูกถ่ายเอาไว้ตอนที่จางหัวกำลังจะลงมือกระทำย่ำยีหล่อนมา และหล่อนก็จะสามารถพลิกคดีนี้ได้อย่างง่ายดาย ช้าสุดก็อาจจะเป็นปีหน้า ที่หล่อนจะได้ออกมาจากเรือนจำ
เจียงเซ่อคอยเรียนรู้วิธีเลี้ยงเต่ากับเผยอี้อย่างตั้งใจ และคอยรับฟังสิ่งที่เขาทำจิปาถะในแต่ละวันไปเรื่อยๆ
วันเกิดของเขามาถึงเร็วมาก เหมือนผ่านไปชั่วแวบเดียวก็มาถึงแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาจะเดินทางออกจากตี้ตูเมื่อไหร่ แต่รู้สึกอยู่เสมอว่ามันไม่เร็วไปหน่อยหรือ รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไปจากตี้ตู และรู้ว่าระหว่างเขาทั้งสองจะได้เจอกันน้อยลง และรู้สึกว่าเวลาที่มีอยู่มันช่างน้อยเหลือเกินแล้ว
หลังจากที่เขาไปจากตี้ตู เจียงเซ่อก็รู้สึกว่าในบ้านมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
มีบางครั้งที่เธอเผลอเรียกชื่อเผยอี้ออกมา แต่พอเรียกออกไปแล้วก็พบว่าไม่มีเสียงตอบกลับ เธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าเผยอี้ไปจากตี้ตูแล้ว วนลูปไปอยู่แบบนั้น
ตอนที่โม่อานฉีมาที่บ้านของเผยอี้ เวลาที่เธอป้อนอาหารให้เต่า เจ้าสองตัวนั้นก็จะว่ายไปว่ายมาในน้ำ โม่อานฉีที่เห็นก็รู้สึกแปลกตาดี เลยยื่นนิ้วไปเขี่ยๆ มัน แต่ก็โดนเจียงเซ่อกันเอาไว้ ไอ้แบบนี้เมื่อก่อนเธอกับเผยอี้ก็ทำกันบ่อยๆ แล้วเธอก็คิดถึงเผยอี้ขึ้นมาอีกแล้ว
“อย่างคุณเผยนี่นะ ทำไมดูเขาไม่เหมือนคนที่จะมาเลี้ยงพวกสัตว์ประเภทนี้เลย?”
เจ้าเต่าสองตัวนี้มันเติบโตมากกว่าตอนที่เผยอี้ซื้อพวกมันมาแรกๆ ตั้งเยอะแล้ว พอหั่นเนื้อกุ้งเป็นชิ้นเล็กๆ เท่าเม็ดถั่วเหลืองเสร็จแล้วก็ ก็ปล่อยให้มันกลืนลงไปทีละคำๆ
โม่อานฉีมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“พวกมันมีชื่อหรือเปล่า?”
เจียงเซ่อนึกถึงตอนที่เผยอี้ซื้อเจ้าเต่าสองตัวนี้มาแรกๆ เขายื่นมาให้ดูด้วยแววตาที่เป็นประกาย พร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า
“คงจะเป็น เผยอี้ กับเจียงเซ่อละมั้ง”
“คิก..”
โม่อานฉีไม่ทันได้ตั้งสติหลุดหัวเราะออกมา “ชื่อพวกนี้คุณเผยเป็นคนตั้งสินะ? แต่ว่ามันก็ดูเหมือนๆ กันเลยนี่ จะดูออกได้ยังไงว่าตัวไหนเป็นตัวไหน?”
ที่จริงมันก็ดูออกได้ง่ายๆ เลยล่ะ
แต่เธอไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับโม่อานฉีแล้ว รอให้โม่อานฉีหัวเราะจนพอใจ เจียงเซ่อถึงค่อยถามออกไป
“แล้วนี่พี่มาทำอะไรหรือคะ?”
“อ่อ คืองี้นะ ผู้กำกับจ้าวเขาโทรมา เตือนว่าถ้าเธอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ลองนัดหลิวเย่คุยดู”
พอถึงเรื่องจริงจัง โม่อานฉีก็หุบยิ้มไปในทันที
ดูเจียงเซ่อแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เหมือนว่าช่วงนี้สภาพจิตใจเธอจะเรียบนิ่งกว่าเดิมไม่น้อย ดูไม่รีบไม่ร้อน เหมือนว่าจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าจะให้บอกว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป โม่อานฉีก็บอกไม่ได้อีก
ตอนที่หล่อนมาถึง แล้วเห็นเจียงเซ่อที่กำลังใช้ส้อมจิ้มผลไม้จิ้มเนื้อกุ้งป้อนเต่าอยู่นั้น ก็ดูเธออ่อนหวานขึ้นเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ”
พอเจียงเซ่อเลี้ยงและล้างมือเสร็จก็ส่ายหัวตอบ
เธอเข้าใจความรู้สึกของจ้าวร่าง ตอนที่จ้าวร่างรับที่จะกำกับหนังเรื่อง ‘Evil’ และยังตั้งใจที่จะเปลี่ยนบทนางเอกของหนัง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ ให้เป็นของเจียงเซ่อ ที่จริงมันก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ดีของเซี่ยเชาฉวิน เป็นเพราะเซี่ยเชาฉวินไปพูดกล่อมเขา ให้เขารับกำกับเรื่อง ‘Evil’ แถมยังตกลงว่าจะให้หลิวเย่มาเป็นพระเอกของเรื่องอีก
แต่เจียงเซ่อคิดว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมพอที่จะให้เธอไปพูดเกลี้ยกล่อมหลิวเย่ “ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ รออีกสักนิดแล้วค่อยคุยกันก็ได้”