webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

242

บทที่ 242 เมื่อวาน

เผยอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำเรื่องขอเรียนจบก่อน อีกทั้งเตรียมตัวที่จะไปกว่างโจวแล้วด้วย แต่ก่อนหน้าที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยที่จะปริปากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลยสักครั้ง

“ถ้าไม่เพราะวันนี้เนี่ยต้านเผลอหลุดปากออกมา แล้วนายคิดจะบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อไหร่กัน? หรือว่านายไม่เคยคิดที่จะบอกฉันอยู่แล้วหรือเปล่า?”

“เปล่านะครับ!” เจียงเซ่อพูดจบ เผยอี้ก็ปฏิเสธออกไปอย่างรีบร้อน “ผมคิดว่าจะบอกพี่หลังวันเกิด”

ที่จริงเขาก็แค่ไม่รู้จะบอกกับเธออย่างไรดีต่างหาก และเขาก็ทนที่จะพูดเรื่องนี้กับเธอไม่ไหวด้วย กลัวว่าเธอจะเสียใจ เพราะงั้นถึงได้เก็บเงียบเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

“เซ่อเซ่อ พี่อย่าโกรธผมเลยนะครับ”

เขาคุกเข่าลงกับพื้น แนบหน้าลงบนเข่าของเธอ น้ำเสียงสั่นเครือดังขึ้นมา

“ผมรู้ว่าผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพี่ก่อน มันเป็นความผิดของผมเอง”

แต่เรื่องที่ต้องห่างกันแบบนี้ เธอไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน เขาเองก็เช่นกัน

เขาเคยคิดว่าควรจะใช้คำพูดอย่างไรดี ที่จะสามารถพูดเรื่องนี้ออกไปได้ แต่เขาก็ปกปิดมันมาหลายวันแล้ว ทุกๆ วันที่ผ่านไปในใจก็มีแต่ความกลัดกลุ้ม แต่ก็หาเวลาเหมาะที่จะบอกกับเธอไม่ได้เลย

“ผมแค่กำลังคิดว่า ถ้าบอกช้ากว่านี้อีกสัดนิด พี่ก็จะได้รู้สึกกังวลใจน้อยลง”

การตัดสินใจในครั้งนี้มันเป็นของตระกูลเผยที่ได้คิดทบทวนกันมาดีแล้ว ถ้าเมื่อก่อนพูดว่าอยากจะอยู่กับเจียงเซ่อตลอดไป อยากจะพูดคุยกันอย่างหวานซึ้ง แต่ไม่เคยคิดถึงในอนาคตจริงเลย แต่พอได้ยินคนในตระกูลเผยถามขึ้นถึงเรื่องแผนในอนาคตข้างหน้าแล้ว เขาก็ได้แต่คิดไปไกล เป็นภาพของคฤหาสน์ที่ฝรั่งเศส เขานึกถึงผ้าม่านสีขาวในห้อง และนึกถึงไวน์ที่เขาหมักเอง และอาจจะได้ดื่มมันในงานแต่งงานในอนาคต

สิ่งที่เขาคิดได้ไกลที่สุด ก็คือแค่จุดๆ นี้นั่นเอง

แต่ทว่าคุณปู่เผยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับส่ายหัว และบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ

ถ้าหากเขาจะมองแค่ตรงนั้นแล้วละก็ มันก็ถือว่าเพียงพออยู่ แต่ถ้าอยากจะมองให้ไกลกว่านี้ แค่นี้มันก็ไม่พอแน่นอน

ก่อนที่ลมฝนจะมาถึง

ในตอนที่เผยอี้โดนคุณปู่ถามถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย

เขายังอายุน้อย ยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ดูยุ่งยากที่สุดสำหรับเขาก็คือทำยังไงให้เฝิงหนานหันมาสนใจตัวเอง แต่สิ่งที่ดูจะยุ่งยากที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือทำยังไงให้เจียงเซ่อชอบตัวเอง

สิ่งที่เขาคอยเฝ้ารักษามาตลอด มันไม่ควรจะเป็นแค่ลมปาก มันควรที่จะต้องแสดงออกมาให้ได้เห็น ชีวิตของเขามันราบรื่นในทุกๆ เรื่องอยู่แล้ว แต่มีเพียงเรื่องที่เขาไล่ตามเฝิงหนานเท่านั้นที่ดูยากเหลือเกิน

ตอนที่เขาวิ่งไล่ตามเฝิงหนาน เฝิงหนานไม่เคยที่จะสนใจเขาเลยสักครั้ง และคุณปู่เผยก็คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้เขาได้รู้ว่า ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องบนโลกนี้จะเป็นไปตามที่เขาต้องการทั้งหมด

“ผมนึกถึงตอนที่พี่อยู่ปีสามในตอนนั้น”

แววตาของเขาเริ่มพร่า น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ปนเสียงสะอื้นเล็กๆ เขาฝังหน้าลงบนขาของเธอ เหมือนพยายามจะกลั้นอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยพูดขึ้นต่อ

“คุณปู่ผมถามว่า ผมชอบพี่หรือเปล่า”

เจียงเซ่อก้มหน้ามองเขา ร่างสูงใหญ่ของเขากับลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและเงยหน้าขึ้นมา ภายใต้แสงไฟสลัว ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาววับ มือของเขากอดเอวเธอเอาไว้แน่น เขาออกแรงเยอะจนแขนเสื้อมันแน่นไปหมด และก็เป็นอีกครั้งที่เจียงเซ่อรู้สึกว่าเขาเริ่มไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจริงๆ

ตอนเด็กๆ เขาเอาแต่ตะโกนร้องเรียกให้เฝิงจงเหลียงพาเธอไปที่บ้านตระกูลเผย เขาบอกว่าจะเลี้ยงเฝิงหนานแทนตระกูลเฝิงเอง เพราะมันเป็นคำพูดของเด็กน้อยจึงทำให้ผู้ใหญ่พากันหัวเราะชอบใจกันใหญ่ แถมทุกคนยังพูดเล่นกันว่าเหมือนเขากำลังขอแต่งงานเลย

ตอนนั้นเขามีนิสัยเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง เหมือนกับว่าตัวเองเป็นองค์ชายน้อย อวดเก่งสุดๆ และในกลุ่มเด็กๆ เขาก็เหมือนเป็นหัวโจกเลยด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่เธอไปที่บ้านตระกูลเผย และจะกลับบ้านพร้อมเฝิงจงเหลียงนั้น เขาไม่ได้กระจองงอแงออกมาเลยสักนิด แต่กลับล็อคประตูบ้านเอาไว้เสียเลย เพื่อไม่ให้ทั้งสองกลับไปได้

เพราะว่ามันเป็นการกระทำของเด็กๆ เลยทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านตระกูลเผยเพียงแค่หัวเราะตลกเท่านั้น

“พี่คิดว่าทำไมมันถึงได้แปลกอย่างนั้นล่ะครับ เซ่อเซ่อ”

เขาเม้มปาก เพราะกลัวว่าเธอจะได้เสียงสะอื้นที่หลุดออกมา กลัวว่าเธอจะมองว่าเขายังเป็นเหมือนในความทรงจำไม่เปลี่ยน

“ตอนเด็กๆ จะทำอะไรก็กล้าทำไปหมด ชอบพี่ก็พูด ไม่อยากให้พี่กลับบ้าน ก็พูดออกไปตรงๆ ได้เลย”

แล้วเขาก็พูดถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา เขาเคยขู่เฝิงจงเหลียงว่าให้ปล่อยเฝิงหนานอยู่ที่นี่ ห้ามพากลับบ้านเด็ดขาด ตอนนั้นเขาอยากจะได้หรืออยากจะทำอะไรก็พูดออกมาได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรเลย “พอยิ่งโต มันก็เหมือนยิ่งพูดยากขึ้น คุณปู่บอกว่า คนที่ไม่รู้เรื่องก็คือคนที่ไม่กลัวอะไรสักอย่าง”

แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ต้องคอยมากังวลทุกสิ่งอย่างที่จะพูดออกไป

เขาเริ่มที่จะฝังเรื่องต่างๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวใจเอาไว้ลึกๆ และคำพูดบางคำพูดก็ไม่ง่ายเลยที่จะพูดออกมา เวลาที่อยู่ต่อหน้าเธอ ก็ยิ่งไม่กล้าพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาเลยด้วยซ้ำ

ตนที่คุณปู่ถามเขา ว่าชอบเธอเข้าแล้วหรือเปล่า เขายังจำอารมณ์ตัวเองในตอนนั้นได้อยู่เลย ใจมันเต้นแรงและหูเขาก็แดงไปหมด เหมือนหัวใจมันจะกระดอนออกมาจากอกให้ได้ รู้สึกแม้กระทั่งเลือดที่มันสูบฉีดอยู่ในร่างกายและวิ่งขึ้นสู่ศีรษะ

ตอนนั้นเขาอายุน้อยกว่าเฝิงหนานถึงห้าปี เขาเพิ่งจะอยู่มอปลาย สดใสราวกับผลไม้ที่เพิ่งเริ่มสุก ต้องคอยระมัดระวังปิดบังความในใจของตัวเองเอาไว้ ตอนที่คุณปู่เผยถามเขาออกมา เขาก็ส่ายหน้าอย่างตั้งใจและบอกว่า ‘เปล่า’ ออกไป แต่ลับหลังเขากลับเทียวไปเอาจดหมายสารภาพรักกองโตที่คนอื่นเขียนให้เฝิงหนานมา ทุกฉบับเขาจะต้องตรวจดูอย่างละเอียด ทุกครั้งที่ย่างกรายเข้าสู่ยามดึก ถึงจะโกรธจนตัวสั่นทุกครั้ง แต่ก็ยังคงตั้งใจที่จะเขียนจดหมายปฏิเสธให้เธอทุกครั้ง

แต่เรื่องเด็กๆ แบบนั้น เขาก็ทำมันถึงสองปีเต็มๆ!

และสุดท้ายเธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

คะแนนของเขาตกลงฮวบฮาบ เขาอิจฉาทุกคนที่สามารถสารภาพรักกับเฝิงหนานได้อย่างเปิดเผย

เพราะความต่างของอายุทำให้ความห่างของทั้งสองมันยิ่งห่างมากขึ้น ตอนที่เธออยู่มอปลาย เป็นตอนที่เธอได้ก้าวผ่านความสดใสของวัยชีวิต แต่ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็ก เวลาที่จะเดินกับเธอ ก็ทำได้แค่เดินตามรอยเท้าเท่านั้น

ตอนที่เธออยู่มหาวิทยาลัยแล้ว คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอก็ไม่ใช่เขาอีก ในสายตาของเฝิงหนาน เขาก็เป็นแค่น้องชายคนหนึ่ง

เขาและเธอห่างกันถึงห้าปี ทำให้มันกลายเป็นเหมือนว่าชีวิตนี้ทั้งคู่คงเป็นได้แค่เส้นที่ขนานกัน

“คุณปู่บอกว่า ความเหมาะสมของคนสองคน มันไม่ได้มาจากชาติตระกูลหรือฐานะ สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ตัวเสริม มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่สูงกว่าคนอื่น และความได้เปรียบที่มีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น”

แต่การที่มีสิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนใดคนหนึ่งหยุดอยู่แค่ตรงนั้น แต่มันเป็นการที่ยิ่งทำให้คนต้องก้าวต่อไปข้างหน้าต่างหาก

ก็เหมือนกับคนรุ่นใหม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ คนรุ่นเก่า ก็เหมือนกับตอนที่ปฏิวัติได้สำเร็จ และหัวเซี่ยได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ มันล้วนแล้วเพื่อการก้าวหน้าพัฒนาต่อไป ไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่ เพื่อพึงพอใจแต่สิ่งที่ได้อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

ระหว่างเขาและเจียงเซ่อ เผยอี้คิดว่าตลอดว่าปัญหามันอยู่ที่อายุ แต่คุณปู่เผยกลับบอกว่าไม่ใช่

เฝิงหนานดูเหนือกว่าเพียงแค่อายุที่มากกว่าห้าปีเท่านั้น ฐานะของตระกูลเฝิงยังเทียบไม่ได้กับตระกูลเผย แต่สิ่งเดียวที่เธอมีก็คือความรู้ การอบรมสั่งสอน บุคลิกและความสามารถ ตอนนั้นในใจของเขาเอาแต่คิดว่าจะไล่ตามรอยเท้าของเฝิงหนานอย่างไร เอาแต่คิดว่าทำยังไงถึงจะได้เธอมาครอบครอง แต่ตอนนั้นเธอกลับมองแต่ทางข้างหน้า ไม่ใช่การหันหลังกลับไปมอง ดังนั้นคนหนึ่งที่เอาแต่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดฝีเท้า เธอที่ไม่คิดที่จะหลังกลับ เพื่อมองดูเงาของใครอีกคนที่กำลังวิ่งตาม

คำพูดของคุณปู่ ทำให้เขาตื่นออกมาจากความฝัน

เขาเริ่มที่จะเข้าใจและเล็งเห็นปัญหาว่ามันอยู่ที่ตรงไหน เขานึกถึงการเกิดใหม่ของเจียงเซ่อ เธอเองก็เหมือนว่าจะไม่ได้สนใจและแคร์ต่อความลำบากในชีวิตใหม่ที่ต้องเจอเลยสักนิด หลังจากที่เกิดใหม่มา เธอก็ยังคงตั้งมั่นที่จะทำเรื่องของตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากกว่าที่เคยก็ตาม แล้วเขาล่ะ?

เขายังเอาแต่คิดถึงเรื่องของเมื่อวานอยู่แบบนั้น