webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

239

บทที่ 239 เพื่อนเก่า

เจียงเซ่อเดินตามเฉายวี้ต่อไปเรื่อยๆ เดินได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง สิ่งที่ได้เห็นส่วนมากก็คือนักโทษที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่ ความเงียบและความเย็นเยือกที่ได้รับมันทำให้ใจหนักอึ้งได้ไม่น้อยเลย

ความรู้สึกที่อึมครึมไร้ชีวิตชีวามันยากที่จะอธิบายออกมาให้เข้าใจ ทั้งๆ ที่ข้างในนี้ก็ดูสะอาดสะอ้านและมีแสงสว่างแท้ๆ แต่ความสิ้นหวังที่ก่อตัวเป็นพยับเมฆนั้น มันเหมือนกำลังแผ่ปกคลุมอยู่เหนือหัวของพวกเขาทุกคน

โม่อานฉีเองก็คงจะได้รับความรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ใบหน้าของหล่อนถึงได้เจื่อนลงแบบนั้น จนกระทั่งเดินมาถึงห้องขังสุดท้าย แต่ผู้คุมประจำห้องขังยังไม่ทันได้แนะนำขึ้น เจียงเซ่อก็เหลือบไปเห็นหนึ่งในนักโทษที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นนั่น มือคู่นั้นที่กำลังถักด้ายขนสัตว์อย่างชำนาญ เธอเบิกตากว้าง และตะโกนออกไปอย่างห้ามไม่อยู่

“ไต้เจีย!” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนกัน?

เจียงเซ่อคว้าหมับเข้าที่ลูกกรงเหล็กอย่างห้ามไม่ได้ และเอาหน้าเข้าไปใกล้อีกด้วย

“ระวังหน่อยนะคะคุณ”

เฉายวี้เข้าไปดันเธอให้ออกห่าง แต่ภายในห้องขังนั้น ไต้เจียกลับทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงที่เจียงเซ่อเรียกตัวเอง

เหมือนกับว่าหล่อนตกภวังค์และสนใจแค่เพียงงานถักขนสัตว์ตรงหน้า ท่าทางของหล่อนมันเหมือนกับคนก่อนที่เธอเห็นไม่มีผิด เป็นคนเดิมที่เธอเคยพบเจอ แต่ใบหน้าและท่าทางของหล่อนมันไม่เหมือนกับตอนนั้นที่แสนมีเสน่ห์และมีความมั่นใจในตัวเองอีกแล้ว จนกระทั่งเจียงเซ่อตะโกนเรียกอีกครั้ง หล่อนถึงได้ได้หยุดสิ่งที่ทำในมือลง และเงยหน้าขึ้นมามองอย่างแข็งกร้าว ในนาทีนั้นเจียงเซ่อนึกถึงหุ่นยนต์ที่ไม่ได้เติมน้ำมัน เพราะหูของเธอเหมือนได้ยินเสียงของกระดูกที่ลั่นดัง ‘กึก กึก’ ตอนที่หล่อนเงยหน้าขึ้นมา

“ไต้เจีย!”

ตอนที่หล่อนเห็นเจียงเซ่อ หล่อนก็ไม่แม้แต่ที่จะยินดียินร้ายออกมาเลยสักนิด ราวกับว่าคนที่กำลังตะโกนเรียกชื่อเธอเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ในมือของเธอยังถักด้ายขนสัตว์ในมือต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแก้มของหล่อนที่เหมือนจะกระตุกขึ้นนิดหนึ่งแล้วละก็ เจียงเซ่อก็คงคิดว่าในใจของหล่อนก็คงจะสงบนิ่งเหมือนอย่างที่แสดงออกมาแน่ๆ

“ไต้เจีย อายุยี่สิบเอ็ดปี เพิ่งเข้ามาเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้”

และความผิดของเธอ คือฆ่าคนตาย

พอเจียงเซ่อได้ยินว่าไต้เจียฆ่าคน เธอก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยินเลยด้วยซ้ำ หล่อนติดคุกมาแล้วหกเดือน มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่เธอพยายามจะติดต่อหล่อน ก็เหมือนว่าจะปิดมือถืออยู่ตลอดเวลา

เฉายวี้เองก็พอจะรู้แล้วว่าเธอคงไม่อยากจะเดินดูต่อ และก็นึกไม่ถึงด้วยว่าเจียงเซ่อจะได้มาเจอคนรู้จักที่อยู่ในนี้ ดังนั้นหล่อนเลยทำสัญญาณมือขึ้น บอกให้คนไปเตรียมห้องสำหรับพูดคุยกันเอาไว้ และบอกให้ผู้คุมประจำห้องขังพาไต้เจียออกมา และให้เจียงเซ่อและไต้เจียได้พูดคุยกัน

เจียงเซ่อนึกไม่ถึงเลยว่า การที่เธอได้มาพบกับไต้เจียอีกครั้ง จะเป็นในสถานการณ์แบบนี้

เธอสวมชุดนักโทษ เรือนผมถูกรวบเป็นหางม้า และผมของหล่อนก็ดูมันมาก ตัวของเธอเหมือนจะมีกลิ่นจากการไม่ได้อาบน้ำมานาน แต่ท่าทางของหล่อนกลับดูนิ่งเงียบไร้ความรู้สึก ราวกับว่าไม่ได้รับรู้ถึงสภาพที่แสนจนตรอกของตัวเองเลยสักนิด ตอนที่ผู้คุมขังบอกให้หล่อนนั่งลง มือทั้งสองข้างของหล่อนประสานกันไว้ที่หน้าตัก ไม่กล้าที่จะยกขึ้นไปไว้ด้านบนโต๊ะ

คนของเรือนจำยกน้ำแก้วหนึ่งมาให้เจียงเซ่อ เฉายวี้เองก็อยู่ในห้องเดียวกันด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษทำร้ายใครได้

เพราะเจียงเซ่อเป็นถึงคนของเบื้องบน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในเรือนจำและเธอได้รับบาดเจ็บละก็ ทุกคนก็คงจะรับผิดชอบกันไม่ไหว

“เกิดอะไรขึ้น?”

เจียงเซ่อสูดหายใจเข้าลึก แล้วถามออกมา

ไต้เจียทิ้งสายตาไว้บนโต๊ะ ไม่แม้แต่จะสบตาเจียงเซ่อตรงๆ และเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง

“ฉันฆ่าคน”

เรื่องที่หล่อนฆ่าคน ก่อนหน้านี้เจียงเซ่อเองก็ได้รู้มาจากผู้คุมขังแล้ว เธอคิดถึงกับไต้เจียที่เธอได้เคยรู้จักก่อนหน้านี้ กับผู้หญิงตรงหน้าที่พูดว่าตัวเองได้ ‘ฆ่าคน’ มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้ว แก้วน้ำที่อยู่ในมือเธอก็ถูกบีบแน่นขึ้น

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”

ตอนที่เจียงเซ่อถามแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ไต้เจียก็ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม ใบหน้าไร้ความรู้สึกทรมานหรือเจ็บปวดอะไร อารมณ์ของเธอมันเรียบนิ่งราวกับน้ำในบ่อน้ำเก่าๆ ที่ไม่มีทางเกิดลูกคลื่นได้

“ฉันเซ็นสัญญาเข้าบริษัทหนึ่ง พวกเขาบังคับให้ฉันเล่นหนัง แต่ฉันไม่ยอม” ตอนที่หล่อนพูดแบบนั้นออกมา น้ำเสียงของหล่อนไม่มีติดขัด เหมือนกับกำลังฟังหุ่นยนต์ที่กำลังพูดประกาศอะไรสักอย่าง

“หลังจากที่ศาลตัดสินออกมาแล้ว ฉันก็ถูกส่งมาที่นี่”

ทั้งๆ ที่หล่อนได้เจอกับเจียงเซ่อ แต่กลับไม่ได้แสดงน่าตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอคนที่รู้จักกันเลยสักนิด พอหล่อนอธิบายเรื่องคร่าวแล้ว หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมา และยิ้มเล็กๆ ให้เจียงเซ่อ รอยยิ้มที่ไม่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตา ราวกับว่าเป็นเพียงหุ่นกระบอกไม้ ที่ทำได้แค่กดยิ้มมุมปากเท่านั้น

“พูดจบแล้ว ฉันกลับไปได้หรือยัง?”

ดวงตาของไต้เจียไม่มีแม้แต่เงาของเจียงเซ่อ ทั้งๆ ที่หันหน้ามาทางเจียงเซ่อ แต่กลับมองข้ามผ่านเจียงเซ่อไป หล่อนกำลังมองผู้คุมขังที่อยู่ข้างหลังนั่นเอง

“งานยังเหลืออีกตั้งเยอะ มัวแต่เสียเวลาก็ไม่เสร็จกันพอดี”

หล่อนอ้างออกไป เฉายวี้มองเจียงเซ่อครู่หนึ่ง ท่าทางเจียงเซ่อดูจะสับสนไม่น้อย เธอนึกถึงตอนที่เธอทั้งสองคนได้เจอกันครั้งแรกที่โรงเรียนสอนการแสดง ผู้หญิงที่แสนมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างไต้เจีย กลับต้องมากลายเป็นหญิงสาวที่รอยยิ้มไร้เรี่ยวแรงแบบนี้แล้ว หัวใจเธอมันรู้สึกหนักอึ้งจนพูดไม่ออก

ผู้คุมขังพาไต้เจียออกไปแล้ว เสียงฝีเท้าทุกย่างก้าวของเธอมันหนักจนเกิดเสียง ‘ตึก ตึก ตึก’ ดังเข้ามาในหูของเจียงเซ่อ เฉายวี้ได้สั่งให้คนเอาประวัติข้อมูลของไต้เจียมาแล้ว และในนั้นก็มีเขียนถึงเหตุผลที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำด้วย

หล่อนได้ฆ่าคนของจวี้เฟิงบันเทิงที่มีชื่อว่าจางหัว ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัว หล่อนได้รับคำตัดสินโทษอย่างรวดเร็ว และถูกส่งให้มาอยู่ในเรือนจำหญิงชานเมืองตะวันตก

ตอนที่เจียงเซ่อเห็นคำว่า ‘จวี้เฟิง’ บันเทิง และนึกถึงคำพูดของไต้เจียเมื่อครู่นี้แล้ว เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ

เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้ เธอเองก็ไม่อยากจะอยู่ต่อแล้วเหมือนกัน เธอและโม่อานฉีจึงขอตัวกลับออกมาจากเรือนจำก่อน หลังจากบอกลากับเฉายวี้เรียบร้อยแล้ว โม่อานก็ถอนหายใจออกมายาว

“ไม่รู้ว่าทำไม ถึงรู้สึกว่าที่นี่ดูอึดอัดแปลกๆ แฮะ”

เพราะทุกคนมีแต่ความเรียบเฉยและเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่นักโทษที่พูดจ้อกันแบบไม่หยุด ก็คงเป็นนักโทษที่เอาแต่นิ่งเงียบกันแบบนี้เสียซะส่วนใหญ่ และให้ความสำคัญกับเพียงแค่งานที่อยู่ในมือเท่านั้น

ตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน คนข้างๆ ก็มีแต่ความนิ่งเงียบ มันทำให้ยิ่งที่รู้สึกว่าในเรือนจำเป็นที่ที่วังเวงไม่น้อย

โม่อานฉีขับรถออกมา และมองเจียงเซ่อที่นั่งอยู่ข้างหลังผ่านกระจกด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“เซ่อเซ่อ ผู้หญิงคนนั้นคือ คนที่เธอโทรหาไม่ติดหลังจากที่กลับมาจากมณฑลฟูวันนั้นน่ะหรือ?”

“ใช่ค่ะ”

เจียงเซ่อพยักหน้า เธอรู้สึกทุกข์ร้อนใจจริงๆ

“เธอเป็นเพื่อนของฉันค่ะ”

โม่อานฉีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แวดวงสังคมที่เจียงเซ่อมีก็ติดจะธรรมดาๆ ทั่วไป คนที่รู้จักและติดต่อกับเธอจริงๆ ก็มีไม่มาก การคบกันก็ดูจะเรียบๆ เพราะกฎเกณฑ์ในชีวิตของเธอมันถือว่าเคร่งครัดไม่น้อย นอกจากเรื่องงานและเรื่องเรียนแล้ว เธอก็จะยุ่งอยู่กับแต่การเรียนเต้น และมีบ้างที่นัดเจอกันกับเผยอี้ ที่จริงเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย แต่เหมือนว่าจะไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นมากกว่า ก็เหมือนอย่างคนที่เคยเป็นรูมเมทด้วยอย่างพวกเสี่ยวโจว แต่ก็แค่ส่งข่าวถึงกันบ้างเท่านั้นเอง

หล่อนรู้แค่ว่าเจียงเซ่อมีเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า ‘ไต้เจีย’ รู้แค่ว่าเบอร์ของหล่อนคนนี้ยังมีอยู่ในมือถือของเจียงเซ่อ ตอนนั้นที่เจียงเซ่อเปลี่ยนมือถือ ก็เป็นโม่อานฉีเองที่ช่วยเธอเมมเบอร์เมมชื่อเอาไว้

ก่อนหน้านี้โม่อานฉีไม่รู้มาก่อนเลยว่า ‘ไต้เจีย’ คือใคร ตั้งแต่ที่ตัวหล่อนเป็นผู้ช่วยของเจียงเซ่อแล้ว ก็ไม่เคยเห็นว่าคนๆ นี้จะไปมาหาสู่กับเจียงเซ่อเลยสักครั้งรู้แค่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานเจียงเซ่อได้ติดต่อหาหล่อน แต่ก็เหมือนว่ามือถือจะปิดอยู่ตลอดเวลา เลยติดต่อกันไม่ได้เสียที

เจียงเซ่อเองก็เคยคิดว่าหรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับไต้เจียหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะถึงขั้นฆ่าคนและต้องมาอยู่ในเรือนจำแบบนี้

“หนังเรื่องที่สองที่ฉันรับเล่น เป็นเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ของกู้เจียเอ่อ ก็ได้เธอช่วยนั่นแหละค่ะ เธอบอกให้ฉันไปออดิชั่นดู”

หลังจากนั้นแล้ว ไต้เจียก็ยังช่วยเตือนเธอว่าอย่าตกลงไปในกับดักของวงการบันเทิงเด็ดขาด แต่ใครมันจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับหล่อนขึ้น