webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

238

บทที่ 238 พบเจอ

“ฉันได้จัดหานักวางแผนการเงินเอาไว้ให้เธอแล้ว ถ้ากลับไปถึงตี้ตูก็ลองนัดเจอกันดูล่ะ แล้วก็เลือกเอาไว้”

เซี่ยเชาฉวินมองดูเจียงเซ่อสวมที่ปิดตาอีกครั้ง ใบหน้าและร่างกายของดาราถือว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของพวกเขาเอง การที่เซี่ยเชาฉวินคอยดูแลภาพลักษณ์ภายนอกให้เธอ และบางทีมันก็อาจจะดูจู้จี้จุกจิกจนน่าหงุดหงิดเลยก็ว่าได้

การควบคุมดูแล แรงกดดันสูงๆ แบบนี้ น้อยคนนักที่จะยอมรับได้ นอกจากจะต้องฟังคำสั่งของหล่อนแล้ว ก็ต้องให้ตัวศิลปินเคร่งครัดและรู้จักควบคุมตัวเองเช่นกัน ถึงจะสามารถทำตามคำสั่งของหล่อนได้จริงๆ เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองเอาไว้ด้วย

ก็อย่างเถาเฉินที่ทำงานกับเซี่ยเชาฉวินมาตั้งหลายปี บางทีก็ทำเรื่องต่างๆ ลับหลังเซี่ยเชาฉวิน และมีหลายครั้งที่ปล่อยตัวเองตามที่ใจต้องการ

แต่จากที่เซี่ยเชาฉวินเคยได้รับการรายงานจากโม่อานฉีในแต่ละครั้ง ก็พบว่าเจียงเซ่อค่อนข้างที่จะมีวินัยในตัวเองอยู่มากพอสมควร และเธอก็ตั้งใจปฏิบัติตามสิ่งที่หล่อนสั่งเอาไว้ได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีร้องขอผ่อนผันเลยด้วยซ้ำ

กับคนที่มีวินัยและควบคุมตัวเองได้แบบนี้ เธอไม่เหมือนเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบแปดเลยจริงๆ แต่มันก็สามารถทำให้ขึ้นตอนการร่วมงานต่างๆ กับเธอมันผ่อนคลายและราบรื่นมากขึ้นด้วย

เซี่ยเชาฉวินที่เห็นเธอเชื่อฟังคำสั่งแบบนี้แล้ว ตัวหล่อนเองที่พูดถึงเรื่องนักวางแผนการเงินเสร็จเธอก็ปิดตาพักผ่อนไปเลยแบบนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะต่อต้านหรือคิดจะหาข้ออ้างบอกปัดอะไร หล่อนจึงดึงที่ปิดตาลงมาและพักผ่อนร่างกายบ้าง

หลังจากที่งานแถลงข่าวเซ็นสัญญามันถูกเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตไปทั่วแล้ว เจียงเซ่อก็ได้ขึ้นเป็นหัวข้อข่าวใหม่ติดต่อกันสองวันเต็มๆ กลายเป็นที่สนใจขึ้นมามากขึ้นด้วย

และตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยก็เหมือนจะมีนักข่าวมาดักรอเธออีกแล้ว ไม่แม้แต่เพื่อนร่วมห้องที่โดนนักข่าวไล่ดักสัมภาษณ์ ขนาดรูมเมทหอพักอย่างเสี่ยวโจวและคนอื่นๆ ก็ยังไม่รอดเลยด้วยซ้ำ และยิ่งไม่ต้องพูถึงเหล่าอาจารย์ในรายวิชาทั้งหลายอีก

ในสถานการณ์แบบนี้ เจียงเซ่อจึงทำได้แค่ลาหยุดเรียนอีกระยะหนึ่ง และเก็บตัวทบทวนบทเรียนอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น รอเวลาให้ข่าวพวกนั้นมันค่อยเบาลงก่อน

และถือโอกาสนี้ในอาศัยช่วงที่เจียงเซ่อได้เป็นกระแสนิยมที่มากขึ้น ในที่สุดเซี่ยเชาฉวินก็สามารถคว้าการที่จะให้เจียงเซ่อเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของผลิตภัณฑ์ยีนส์ทุกชนิดของ Adeele มาได้ โฆษณาทุกอย่างถ่ายเสร็จในช่วงต้นเดือนตุลาคม จากนั้นเธอก็ขอกับเซี่ยเชาฉวินว่าจะงดรับงาน และตัดสินใจเลือกที่จะไปศึกษาสำรวจที่เรือนจำหญิงก่อน

เรื่องนี้ได้คุยกับเนี่ยต้านเอาไว้แล้ว ตอนที่โม่อานฉีมาเป็นเพื่อนเธอด้วย คนที่ออกมารับเจียงเซ่อคือพัศดี ผู้ปกครองเรือนจำนั่นเอง เป็นหญิงสาวอายุราวๆ สี่สิบสวมชุดเครื่องแบบ เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงใหญ่

บางทีอาจเป็นเพราะว่ามีคนเบื้องบนติดต่อมาให้ พัศดีหญิงที่ชื่อเฉายวี้คนนี้ถึงได้ต้อนรับเธอเป็นอย่างดี และเป็นคนพาเจียงเซ่อไปเดินดูข้างในด้วยตัวเองเลยด้วย

“งั้นดิฉันจะพาคุณไปเดินดูรอบๆ ก่อนแล้วกันนะคะ”

และถ้าเจียงเซ่ออยากจะพูดคุยกับนักโทษหญิงคนไหน ก็ค่อยพามาพบเดี่ยวๆ ก็พอแล้ว

เจียงเซ่อพยักหน้ารับ และพูดคุยกับหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหล่อนก็พาเธอเดินเข้าไปในเรือนจำที่มีการควบคุมคุ้มกันอย่างหนาแน่น

กับด่านตรวจที่แสนหนาแน่นและเข้มงวดแบบนี้ ถ้าไม่มีคนพาเข้าไปแล้วละก็ ถึงเจียงเซ่ออยากจะเข้ามา ก็คงไม่มีทางที่จะง่ายดายแบบนี้แน่ๆ พอเธอได้เข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้ทันทีก็คือความเงียบ

ตอนนี้ตี้ตูก้าวเข้าสู่เดือนสิบแล้ว อากาศยังไม่มีวี่แววว่าจะเย็นลง แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิยังคงส่องสว่างจ้า แต่ที่นี่กลับไม่มีแม้แต่แสงของมันแทรกผ่านเข้ามา มันทำให้ดูอึมครึมไม่น้อยเลย

โม่อานฉียกมือกอดไหล่ตัวเองเอาไว้ เฉายวี้ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบหันมาถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“ไม่ชินสินะคะ?”

โม่อานฉียิ้มแหยๆ แล้วพยักหน้าให้

สถานที่ตรงนี้สะอาดและเป็นระเบียบไม่น้อย แต่มันก็เงียบมากจริงๆ ราวกับว่าอยู่ในเมืองร้างที่ไหนสักแห่ง ความรู้สึกเหล่านั้นมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ มันเหมือนกับว่าสัมผัสถึงพลังงานชีวิตไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าไปถืงในห้องขังเลยด้วยซ้ำ ผนังอิฐสีขาวสะอาด เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทุกย่างก้าวมันดูน่าขนลุกไม่น้อย

คนสวยๆ อย่างเจียงเซ่อและโม่อานฉีดูไม่เข้ากันกับที่นี่เลยสักนิด เฉายวี้จึงพูดขึ้น

“ที่จริงตอนที่ดิฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ชินเหมือนกันค่ะ”

หล่อนไม่ได้พูดถึงนักโทษหรือเจ้าหน้าที่คนไหน พอพูดจบ หล่อนก็ยิ้มถามขึ้นมาอีก

“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้อยากมาเดินดูที่นี่กันล่ะคะ?”

เจียงเซ่อเองก็ไม่คิดที่จะปิดบังหล่อน “ปีหน้ามีหนังที่จะต้องถ่ายน่ะค่ะ ช่วงนี้ก็รบกวนคุณหน่อยแล้วกันนะคะ”

เฉายวี้หัวเราะขึ้นมา “รับกวนที่ไหนกันล่ะคะ? สาวๆ ของดิฉันชอบคุณเจียงมากเลยรู้ไหม แถมช่วงนี้เอาแต่พูดถึงชื่อคุณกันไม่ขาดปาก พูดถึงหนังที่คุณเล่นกับพวกโฆษณาของคุณด้วย ไม่รู้ว่าพอจะถ่ายรูปด้วยกันได้ไหม?”

หล่อนมีท่าทางเกรงใจ ตอนที่พูดถึงสาวๆ ขึ้นมา ใบหน้าของหล่อนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

เจียงเซ่อพยักหน้า “แน่นอนค่ะ”

จากนั่นก็ได้ฟังหล่อนเล่าถึงเหล่าสาวๆ ที่ชอบโฆษณากางเกงยีนส์ Adeele ของเธอมากๆ เพราะช่วงนี้เจียงเซ่อได้เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์กางเกงยีนส์ทุกชนิดของ Adeele แล้ว แบรนด์ๆ นี้จึงดังขึ้นมากในตี้ตู และเพราะชื่อเสียงของมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาของตัวสินค้าเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ผู้จัดการ Adeele ในตี้ตูเองก็ดีกับเจียงเซ่อมากเช่นกัน ทำให้ภรรยาของ Loris เองก็เริ่มที่จะสนิทกับเจียงเซ่อแล้วด้วย แถมมีบางครั้งที่หล่อนโทรมานัดเจอกับเธอ

และเพราะการที่เจียงเซ่อเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของ Adeele และเธอก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดการ Adeele ของในตี้ตูไม่น้อย หลังจากผ่านฤดูนี้ไป ทาง Adeele ก็ได้ส่งสินค้ายีนส์แต่ละแบบให้เธอมากมาย ทั้งเสื้อ กางเกง รองเท้าและกระเป๋ามีพร้อมทุกอย่าง แน่นอนว่าใส่ได้ไม่หมดหรอก ดังนั้นเธอจึงแสดงน้ำใจโดยการบอกว่าครั้งหน้าจะเอาชุดเครื่องแต่งกายของ Adeele มาให้หล่อนด้วย

และอาจเพราะเป็นความใจกว้างของเจียงเซ่อเอง ทำให้เฉายวี้รู้สึกประทับใจในตัวเธอมากขึ้น จากนั้นหล่อนก็พูดถึงเรื่องทั่วๆ ไปเรื่อยๆ

ในเรือนจำหญิงชานเมืองตะวันตกแห่งนี้ เป็นเพราะว่าผู้คุมขังที่มีมีไม่พอ ดังนั้นผู้คุมขังแต่ละคนจะมีนักโทษที่ต้องดูแลนักโทษถึงสามสิบคนด้วยกัน และจะเลือกหนึ่งในกลุ่มนักโทษหญิงให้เป็นคนดูแลทุกคนอีกที

ต้องมีการศึกษา ความคิดและพละกำลังเป็นหลัก การใช้ชีวิตและการอาบน้ำอาบท่าก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์

ตอนที่เจียงเซ่อเดินเข้ามาด้านใน ก็เป็นตอนที่เหล่านักโทษกำลังทำงานกันอยู่พอดี ห้องขังห้องหนึ่งมีนักโทษประมานสิบกว่าคน ตอนที่เฉายวี้พาเจียงเซ่อเดินมาถึงหน้าห้องคุมขังที่หนึ่ง เจียงเซ่อก็ได้เห็นสถานการณ์ข้างในได้อย่างชัดเจน มันไม่ได้เป็นห้องมืดๆ อย่างที่เธอเคยจิตนาการเอาไว้ ภายในห้องคุมขังมันสะอาดเรียบร้อย และแสงแดดที่ลอดผ่านเข้ามาในห้องก็ทำให้ได้เห็นทุกๆ อย่างที่อยู่ข้างในได้ชัดเจนด้วย

บนเตียงมีคนนั่งอยู่เต็ม พร้อมกับด้ายไหมขนสัตว์อีกกองหนึ่ง นักโทษหญิงกลุ่มหนึ่งนั่งกันอย่างเงียบๆ ในมือก็ทำงานไปอย่างขันแข็ง ตอนที่เจียงเซ่อและเฉายวี้มาถึง พวกเขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัยเลยสักนิด

ภาพแบบนั้นทำให้โม่อานฉีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่นี่ก็มีคนไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครพูดคุยกันเลยสักคำ มันสงบและเงียบเชียบมากจริงๆ

เฉายวี้ยื่นมือไปเคาะที่ลูกกรงเหล็ก และตะโกนขึ้น คนข้างในนั้นวางมือจากงานลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมา

คนเหล่านี้อายุน่าจะเกินยี่สิบกว่าขึ้นไปแล้ว ถือว่ามีอายุพอสมควร เพราะดูจากเรือนผมที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว ท่าทางซึมกะทือและนิ่งเงียบ

พวกหล่อนดูไม่ได้สงสัยแปลกใจกับการที่มีคนนอกอย่างเจียงเซ่อเข้ามาเลยสักนิด ถึงแม้จะเป็นเด็กสาวที่สวยและดูดีขนาดนี้แต่ก็ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาสักอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นน้ำนิ่ง ไม่ว่าจะไปกวนมันแค่ไหน มันก็ไม่สามารถทำให้มันเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาได้ ดูสิ้นหวังเสียจนน่าตกใจ

คนที่มาพร้อมกับเฉายวี้เริ่มแนะนำคนที่อยู่ข้างในขึ้นมา ในตอนที่พูดทั้งชื่อ อายุของของนักโทษแต่ละคนขึ้นมา คนข้างในนั้นก็ดูเฉยเมยไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาสักอย่าง ราวกับว่าผู้คุมประจำห้องขังเป็นแค่คนอื่น

นักโทษในห้องขังห้องนี้ คนที่ถูกคุมขังน้อยที่สุดคือสองปี ส่วนที่ถูกคุมขังนานที่สุดคือสิบกว่าปี ผู้คุมขังประจำห้องชี้ไปที่นักโทษหญิงในชุดผู้ต้องขังคนหนึ่ง

“คนนั้นไงคะ”

หล่อนชี้ไปที่นักโทษหญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ ห้าสิบปี ดวงตาคู่นั่นไร้แสง ราวกับว่าไม่รู้จักกับผู้คุมขังคนนี้