บทที่ 229 ไม่มีค่าพอ
เมื่อหนังจบลง เจียงเซ่อยังนั่งนิ่งอยู่ในโรงหนังอยู่หลายนาทีกว่าจะกลับมามีสติขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ออกมาจากห้องฉายหนังแล้ว โรงหนังห้องข้างๆ เองก็ดูจบแล้วเหมือนกัน ทำให้มีคนมากมายพากันเดินออกมา เจียงเซ่อและคนอื่นๆ เองก็เกาะกลุ่มอยู่ในความวุ่นวาย
จำนวนการฉายของหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ได้ถูกฉายไปแล้วกว่า 32% โดยเฉพาะในโรงหนังIMAX ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวก็ยิ่งมีรอบการฉายของ ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ มากยิ่งขึ้น
ตอนที่ผู้คนพากันกรูออกมาจากห้องฉายหนัง ก็ยังมีการพากันพูดคุยเกี่ยวกับตัวหนังที่เพิ่งดูจบไปด้วย และส่วนมากก็จะเป็นคำชมที่หนังเรื่องนี้มีคุณภาพสูงและดีมากจริงๆ
“ในประเทศนี่น้อยนะ ที่จะมีคนทำหนังเกี่ยวกับการต่อต้านสงครามได้ดีขนาดนี้ ตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะคนไหนตาย ฉันก็รู้สึกสงสารและเสียดายหมดเลย”
เด็กสาวสองคนเดินผ่านข้างเจียงเซ่อไป แน่นอนว่าไม่ทันได้สังเกตคนข้างๆ ที่สวมหมวกเบสบอลและกำลังจูงมือกับแฟนหนุ่มออกมากจากโรงหนังอย่างเจียงเซ่อแน่ๆ
“คนหนึ่งก็ที่ยอมตายไม่ยอมศิโรราบอย่างคนรับใช้ของโจวหมิงฉง เด็กสาวที่โดนอิชิดะฆ่าตายคนนั้น ส่วนอีกคนก็เป็นคุณหนูเอกุชิ”
“ฉันว่าคุณหนูเอกุชิน่าสงสารมากเลยอ่ะ แต่ว่าถ้าให้เทียบกันแล้ว คนที่โดนอิชิดะฆ่าตาย ดูจะเล่นได้ถึงบทบาทมากกว่านะ แต่ว่าหน้าตาของคนๆ นั้นน่ะ เธอว่ามันคุ้นๆ ไหม?”
มีคนพูดถึงตัวเรื่อง และมีคนพูดถึงบทของหลิวเย่ที่มันดูง่ายแต่ก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ อีกทั้งยังพูดถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่แสดงคู่กับหลิวเย่ด้วย จนกระทั่งเจียงเซ่อออกมาจากโรงหนังได้แล้ว ถึงได้หลุดพ้นจากเสียงพูดคุยวิจารณ์หนังเหล่านั้น
เซี่ยงชิวจี๋เสนอให้ไปนั่งเล่นที่เฉาจิ้นเก๋อกันต่อ และในขณะที่นั่งพูดคุยกันเฉิงหรูหนิงก็พูดถึงเรื่องหนังขึ้นมา
“ผมรู้สึกแปลกๆ กับเฝิงหนานเลยแฮะ”
ตอนนี้เขารู้สึกเบลอมันงงไปหมดแล้ว จนมาถึงตอนนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ที่แท้ก็เล่นบทแบบนี้นี่เองหรอ ไม่น่าล่ะคุณปู่ของหล่อนถึงได้โกรธขนาดนั้น”
โดยรวมของหนังเรื่องนี้แล้ว ถ้าหากว่าเฝิงหนานไม่ได้ลงเล่นบทนั้น ทั้งหมดทั้งมวลก็คงจะดูดีกว่านี้
โจวหมิงฉงในหนังเป็นคนที่มีคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การพรรณนาใหญ่โตก็สามารถรู้ได้แล้ว เพราะเขาได้ช่วยหลิวเย่ที่แสดงเป็นสวีหลินออกมา และนั่นก็เป็นจุดสำคัญของหนังเรื่องนี้
บทของเฝิงหนานถ้าสลัดความรู้สึกส่วนตัวของเจียงเซ่อเองทิ้งไป แน่นอนว่ามันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่น เพื่อนร่วมชาติที่ต้องการหาผลประโยชน์ต่อกันแบบนี้ การไม่ไว้หน้าปราณีกันก็ถือว่าเป็นจุดสำคัญของบท แต่มันเป็นเพราะฐานะของตัวหล่อนเองด้วย ที่ชวนให้คนรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
มิน่าล่ะครั้งนี้เฝิงจงเหลียงถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น
เธอนั่งพิงตัวอยู่บนโซฟา ในมือก็ถือมือถือเปิดดูข่าวไปเรื่อยๆ
บนข้อมูลที่เธอเจอ การให้คะแนนของหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ได้ออกมาแล้ว คำวิจารณ์ที่ดีพุ่งขึ้นสูงถึง 85% อาจเป็นเพราะฉายพร้อมกันทั่วโลก บวกกับชื่อผู้กำกับที่เป็นจางจิ้งอาน คนที่ให้คะแนนก็เลยให้สูงไม่น้อย และนอกจากคำวิจารณ์ที่ดีแล้ว เนื้อเรื่องที่ให้ความประหลาดใจต่อผู้ชมก็ได้ถึง 93% มันสูงกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่เข้าฉายพร้อมกันเสียอีก
เซี่ยงชิวจี๋หยิบมือถือขึ้นมา แล้วตะโกนขึ้น
“พี่อี้ นี่ๆ ดูนี่สิ บนเว็บเพจ ‘สือไต้ผิงซัว’ แม้แต่ซูเพ่ยเอินก็ยังออกมาพูดเลยอ่ะ!”
‘สือไต้ผิงซัว’ เป็นสำนักข่าวทางการของประเทศ และ ‘สือไต้ผิงซัว’ ก็เป็นกลุ่มวิจารณ์หนังที่มีอิทธิพลสูงสุดในเวทีนี้ และซูเพ่ยเอินที่เซี่ยงชิวจี๋พูดถึงก็เป็นนักวิจารณ์หนังที่มีชื่อเสียงที่ดีที่สุดอีกด้วย
เขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสองร้อยของนักวิจารณ์หนังทั่วโลกที่ดีที่สุดในนิตยสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกา เขามือชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ และในประเทศเขาก็เป็นที่รู้จักและได้รับชื่อเสียงในทางที่ดีมาตลอด
ถ้าหากจะพูดว่าการวิจารณ์หนังเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นนักวิจารณ์หนัง ก็คงเป็นวิจิตรศิลป์หรือไม่ก็คนที่ชอบเสพศิลปะกระมัง
แต่สำหรับซูเพ่ยเอินแล้วคงเป็นวิจิตรศิลป์เสียมากกว่า เพราะเขาเคยทำงานอยู่ในกรมวัฒนธรรม ความรู้มากมายหลายแขนง คำวิจารณ์ของเขาสามารถเป็นเครื่องยืนยันให้กับตัวหนังได้ ทำให้ทุกคนต่างเลื่อมใสเขา
แต่ระยะหลังมานี้เป็นเพราะปัญหาทางด้านร่างกาย เลยน้อยครั้งที่เขาจะออกมาวิจารณ์
ถึงแม้ว่าบนเว็บเพจของ ‘สือไต้ผิงซัว’ จะมีบทวิจารณ์หนังของเขาอยู่ แต่นั่นมันก็เป็นแค่บทความเก่าๆของเขาเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หนัง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของจางจิ้งอานมันทำให้เขาเกินเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้ว ไม่ว่ายอดขายบัตรหนังของจางจิ้งอานมันจะเป็นยังไง แต่คำสรรเสริญจากคนดูทั่วไปก็คงจะไม่น้อยกว่าที่คิดเอาไว้หรอก
บนเว็บเพจสื่อทางการอย่าง ‘สือไต้ผิงซัว’ บทความวิจารณ์หนังของซูเพ่ยเอินได้ออกมาแล้ว เจียงเซ่อเองก็รีบเปิดเข้าไปดู
เขาเริ่มขึ้นว่า เขารู้สึกประทับใจต่อหนังเรื่องใหม่ของจางจิ้งอานมากๆ : หนังใหม่เรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของจางจิ้งอาน ถือเป็นหนังที่มีคุณภาพสูงมากทีเดียว
ตั้งแต่ที่หัวเซี่ยก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ในทุกๆ ปีก็มักจะมีสื่อที่พูดถึงการต่อต้านสงครามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังภาพยนตร์หรือละคร ฉันเองก็เฝ้าปรารถนามาโดยตลอด แต่สุดท้ายมันก็ทำให้ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและตายด้านไปเสีย
เพราะเหมือนว่าสื่อที่ทำออกมามันชักจะไร้สาระและออกนอกทะเลไปเสียแล้ว เหล่าชาวหัวเซี่ยที่ถูกทหารญี่ปุ่นฆ่าด้วยวิธีต่างๆ ทำให้ประเทศของเราเหมือนโดนล้อมเอาไว้ มองดูทหารของเราที่ถูกศัตรูตีจนแพ้ยับเยิน อีกทั้งยังกระหยิ่มยิ้มย่องต่อพวกเรา
ในสถานการณ์แบบนั้น หนังมากมายที่ต้องการจะสื่อเรื่องพวกนี้ออกมา ฉันไม่คิดที่จะดูมันเลย
แต่หนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ เรื่องนี้ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่เสียแล้ว ตอนที่พวกเขาเชิญให้ฉันไปเข้าร่วมงานปฐมทัศน์ ในใจของฉันก็ยังปฏิเสธอยู่เลย ไม่อยากจะไปทำให้งานมันหมดสนุก
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันต้องแปลกประหลาดใจ เพราะจางจิ้งอานสามารถทำให้ฉันรู้สึกเซอร์ไพร์ขึ้นมาได้
ตั้งแต่ที่ญี่ปุ่นเข้ามารุกรานหัวเซี่ย ตอนนั้นสงครามต่อต้านเป็นอะไรที่บีบรัดหัวใจและเจ็บปวดเหลือเกิน จนมาถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกเกลียดชังและความเคียดแค้นก็ยังคงติดอยู่ในใจของใครหลายๆ คน การที่จะแสดงหนังแบบนี้ น้อยนักที่จะมีผู้กำกับคนไหนสามารถทำให้มันเกิดมุมมองใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ถ่ายอะไรที่แตกต่างกันออกมา
แต่จางจิ้งอานไม่เหมือนกัน เขาใช้เนื้อเรื่องและการถ่ายทำที่แตกต่างกันออกไป แค่ตอนที่หนังเริ่มต้นขึ้น เขาก็สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจผิดได้แล้ว
ในตอนที่ทุกคนกำลังนั่งดูหนังเรื่องนั้นกันอยู่ ทุกคนยังพากันเข้าใจผิดว่าใจหลักของหนังเรื่องนี้คือตอนที่โจงหมิงฉงช่วยชีวิตสวีหลินและคนอื่นๆ เสียอีก แต่ที่ไหนได้ จริงๆ แล้วมันคือตอนที่สวีหลินบุกเข้าไปช่วยโจว หมิงฉงเพื่อตอบแทนบุญคุณในภายหลังต่างหาก นั่นแหละคือใจความสำคัญ
ฉากๆ นั้นมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกขึ้นมามากมาย มันทำให้ฉันนึกถึงคำพูดหนึ่งที่อยู่ในหนังสือ ‘จวงจื่อ’* เป็นจอมปราชญ์จีนอยู่ในยุคจ้านกั๋ว เป็นหนึ่งในสามจอมปราชญ์แห่งสำนักคิดฝ่ายเต๋า ขึ้นมา แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องอาหาร ก็ยังเป็นถึงการกำหนดชีวิตในอนาคตได้*สื่อถึงโชคชะตาคือสิ่งที่ได้กำหนดมาแล้ว
เพราะจิตใจของโจวหมิงฉงยังไม่ไร้ซึ่งมโนธรรม อีกทั้งภายหลังยังมีสวีหลินที่รู้บุญคุณและรู้ที่จะตอบแทน สิ่งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งกว่าหนังรักที่ฉายทั่วไปในปัจจุบันเสียอีก
เนื้อเรื่องของหนังมันสมบูรณ์แบบแล้ว สื่อความรู้สึกออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน และเนื้อหาใจความหลักก็ชัดเจน แต่ประเด็นนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการอยากจะเขียนคำวิจารณ์หนังหรอกนะ สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ เป็นแค่บทตัวประกอบเล็กๆที่ดูไม่น่าสำคัญอะไรนั่นต่างหาก
ในตอนที่อิชิดะที่แสดงโดยเกาหรงกำลังถามหาโจงหมิงฉงต่อพวกคนรับใช้ เด็กสาวที่แสดงคู่กับเกาหรงคนนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอน่าสนใจมาก
ตอนที่เป็นซีนของเธอ มันไม่ได้มีความเป็นมาเป็นไปของตัวละครเลยสักนิด ไม่มีการบรรยายว่าตัวละครนี้มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร บทพูดก็มีแค่นิดเดียวจริงๆ ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงออกทางร่างกายและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก ทำให้เด็กสาวที่ถูกฆ่าคนนั้นกลายเป็นเหมือนคนสำคัญ
ตั้งแต่ตอนที่เธอถูกมัดเอาไว้ ร่างกายที่สั่นระริก แสดงให้เห็นและรู้วาสถานการณ์ในตอนนั้นมันน่ากลัวมากแค่ไหน แต่เธอกลับไม่กลัวต่อการคุกคามของอิชิดะ อีกทั้งไม่ยอมศิโรราบให้กับเขา สุดท้ายจึงโดนปลิดชีวิตไป
แต่ก็อดชมเชยการเลือกคนมาแสดงของจางจิ้งอานไม่ได้ กับเด็กสาวที่เปรียบเสมือนดอกไม้งามดอกหนึ่ง ที่ไม่ยอมที่จะก้มหัวให้กับศัตรู และได้ตายภายใต้อาวุธในมือของพวกมัน ในชั่วนาทีนั้น ฉันคิดว่าคนส่วนมากที่กำลังดูอยู่ ต่างก็ต้องพากันถอนหายใจเสียดายเป็นแน่
คำว่า ‘ถุย’ คำสุดท้ายที่เธอพูดก่อนตาย มันเหมือนเป็นความเข้มแข็งและความทะนงตัวเฮือกสุดท้ายที่มี
เพราะว่ายังมีความกลัว ดังนั้นเธอถึงได้กล้าที่จะยืนหยัดต่ออย่างที่ไม่มีใครกล้าที่จะทำ
เพราะว่ายังปรารถนาที่จะมีชีวิต ดังนั้นถือแม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย แต่ก็ยินยอมที่จะก้าวเข้าสู่ความตายเพื่อกลายเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและเป็นอมตะ
การที่นักแสดงที่สามารถคุมบทได้ ไม่ใช่ต้องแสดงให้ดูตื่นเต้นและฮึกเหิมอะไร แต่เป็นการแสดงที่ถึงแม้ฉันจะดูจบไป แต่มันยังคงสะเทือนจิตใจอยู่ตลอดเวลาต่างหาก