บทที่ 228 ล้ำเส้น
กลับกันตอนที่เธอถ่ายฉากนี้ เจียงเซ่อไม่ได้รู้สึกกลัวหรือรู้สึกกดดันจากท่าทางของเกาหรงเลยสักนิด ดังนั้นจากที่ควรจะโดนการแสดงของเกาหรงกดลง กลับกลายเป็นว่าเป็นฉากที่น่าจับจ้องของเหล่าคนดู
ตอนนี้ในโรงหนังโรงอื่นของ IMAX ผู้ชมหลายคนเองก็กำลังดูฉากนี้อยู่เหมือนกัน และมีหลายคนที่กำลังเหงื่อแตกแทนตัวละครที่เจียงเซ่อแสดง
“ถ้าหาก โจวหมิงฉงมันไม่ยอมเอาของมาคืนแล้วละก็ พวกแก จะต้องตายกันหมด!”
เกาหรงที่แสดงเป็นทหารญี่ปุ่นเริ่มเดินวนรอบ สุดท้ายสายตาของมันก็จดจ้องไปที่เจียงเซ่อ ด้วยท่าทางที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย คนที่ดูอยู่ในตอนนี้ ต่างก็เริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมาในใจ
มือคู่นั้นของเจียงเซ่อที่ถูกเชือกมัดเอาไว้ กับกลุ่มทหารที่มีอาวุธครบมือ เธออยู่ชุดเสื้อผ้าที่ดูเก่าและร่างกายดูซูบผอม แต่ในแววตาของเธอกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ และเหมือนไม่มีท่าทางว่ากลัวทหารญี่ปุ่นเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
จากสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าของเธอ คนดูทุกคนเริ่มเดาได้ว่าท่าทางการคุกคามของพวกทหารญี่ปุ่นมันใช้ไม่ได้ผลกับเธอ เพราะแววตาของเธอมีแต่ความแข็งกร้าวและแสดงออกว่ารังเกียจ
ขอบตาของเธอแดงก่ำ เธอไม่ได้กัดฟันแต่ก็ดูดุร้าย และเธอก็ไม่ได้แม้แต่ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง พอสิ้นเสียงของเกาหรงแล้ว เธอก็โค้งตัวไปด้านหน้า
“ถุย!”
ในวินาทีนั้น ในห้องฉายหนังของ IMAX เหล่าผู้ชมคนดูต่างพากันอุทานกันออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และพอจะเดาได้ว่าจุดจบของเธอจะเป็นอย่างไร
และมันก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เกาหรงลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงอันโหดเหี้ยม
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
สิ้นเสียงของมัน หลายๆ คนก็พากันปิดตาไม่จะอยากดูไม่อยากจะเห็น
หลายๆ คนที่ตัดสินใจมาดูหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ นั่นก็เพราะเป็นหนังของจางจิ้งอาน เพราะงั้นจึงมีหลายๆ คนที่ถึงแม้จะเห็นเจียงเซ่อที่อยู่ในหนังนั่น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร
เพราะบทที่เธอแสดงในหนังมันก็เป็นเพียงแค่บทบาทเล็กๆ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเธอที่ดูจนตรอกขนาดนั้น แต่กลับยังเต็มไปด้วยความทะนงตัวที่ปิดไม่มิด ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่แสนเก่า ทั้งใบหน้าที่มีแต่เศษดินเปื้อนยู่เต็มจนไม่เห็นเค้าความสวย และหลังจากที่เธอถูกทหารญี่ปุ่นปลิดชีวิต หลายๆ คนก็เกิดความเสียใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น มีไม่น้อยที่พากันเสียดายเจียงเซ่อ
นาทีที่เธอแสดงความดุดันออกมา ท่าทางที่ไม่มีความหวาดกลัวต่อเกาหรง ถึงมันจะเป็นแค่การต่อบทกับเกาหรงแต่เพียงสามวินาทีสั้นๆ แต่กลับสามารถทำให้คนดูเกินความรู้สึกแปลกใหม่และรู้สึกถึงภาพลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เมื่อเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง และตามด้วยเสียงกลั้นความเจ็บปวดของหญิงสาว ทำให้ผู้ชมที่หลับตาลงต้องเปิดตาขึ้นมาดูอีกครั้ง ตรงช่วงนี้จางจิ้งอานทำฉากให้มันสโลว์ และเจียงเซ่อก็ค่อยๆ ล้มตัวลงไปกองกับพื้น
ไม่มีเสียงดนตรีที่ก่อให้เกิดความฮึกเหิม มีเพียงเสียงของเกาหรงที่ได้รับการปรับเสียงแล้ว ทำให้เหมือนว่ามันดังมาจากที่ไกลๆ และไม่ชัดเจน
“......ใครบอกที่อยู่ของโจวหมิงฉง......”
กล้องจับภาพไปที่ใบหน้าของเจียงเซ่อ ใบหน้าที่มีแต่เลือดเปรอะเปื้อน สีหน้าที่ซีดขาว หน้าผากที่ชื้นเหงื่อ ตัวเธอที่ล้มนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าที่ยังคงอาลัยต่อชีวิตตัวเอง ประจันกับปลายเท้าของเกาหรง ริมฝีปากขยับขึ้นลงช้าๆ
“......ถุย......”
เลือดผสมน้ำลายถูกพ่นออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่มีซักหยดที่เลอะไปถึงขาของเกาหรง แต่ในชั่วนาทีนั้น คนไม่น้อยที่กำลังนั่งดูอยู่ในโรงหนังต่างก็เกิดขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา
เธอไม่แสดงถึงความยอมตายแต่ไม่ยอมศิโรราบให้เหมือนอย่างหลิวเย่ ไม่ใช้ทหารรบเลือดร้อนที่สู้สุดตัวเพื่อการปฏิวัติ จากการแต่งตัวแล้ว เธอก็แค่คนรับใช้ของตระกูลโจวที่ไม่มีค่าอะไร
แต่เมื่อโดนทหารญี่ปุ่นมาคุกคามอยู่ตรงหน้า เธอกลับกัดฟันและยืดหยัดที่จะไม่พูดข้อมูลของโจวหมิง ฉงออกมาแม้แต่น้อยอย่างไม่กลัวตาย
เพียงแค่ฉากหนังแค่ไม่สิบวิ แต่จางจิ้งอานกลับสามารถสร้างคาแรคเตอร์ให้กับตัวประกอบตัวนี้ได้อย่างดี และในขณะเดียวกัน เขาก็ยังสามารถดันภาพลักษณ์ของโจวหมิงฉงให้เด่นขึ้นมาได้อีกด้วย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะปกติแล้วเขาเป็นคนที่มีคุณธรรม คนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่อยู่ในหัวเซี่ย จะได้รับการปกป้องจากคนรับใช้ขนาดนี้เชียวหรือ?
“เฮ้อ......”
เสียงถอนหายใจดังไปทั่วโรงหนัง ทั้งๆ ที่ฉากของเจียงเซ่อมันถูกตัดไปแล้ว แต่มันก็เป็นเพราะฉากก่อนหน้านี้ มันเหมือนยังคงติดอยู่ในใจของพวกเขา มันเป็นความรู้สึกเสียใจที่เด็กสาวคนหนึ่งที่เปรียบเสมือนดอกไม้ต้องมาตายด้วยน้ำมือของผู้รุกราน มันสามารถให้ความรู้สึกที่ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าการดูหนังที่บรรยายถึงสงครามที่แสนโหดร้ายและทารุณเสียอีก
ในห้องดูหนัง VIP เฉิงหรูหนิงที่นั่งดูอยู่ก็เกิดรู้สึกเสียใจขึ้นมาเช่นกัน
“ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่ของจริงก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำจู่ๆ ก็รู้สึก ว่าการสละชีวิตของพี่สะใภ้มันถึงน่าเสียดายขนาดนี้ล่ะ?”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ เสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา เจียงเซ่อจ้องตาไปบนหน้าจอเขม็ง บนหน้าจอนั้นคือ ‘เฝิงหนาน’ แสดงเป็นคุณหนูเอกุชิที่กำลังโดนทหารญี่ปุ่นกดลงบนตั่ง เพื่อเค้นหาคำตอบว่าโจวหมิงฉงอยู่ที่ไหน
แน่นอนว่าเฝิงหนานที่แสดงเป็นคุณหนูเอกุชิไม่มีทางที่จะเปิดปากบอก และสุดท้ายหล่อนก็ถูกพวกมันหมิ่นเกียรติ
ในฉากมีเสียงหัวเราะของพวกทหารญี่ปุ่นดังขึ้นไม่หยุด เสื้อผ้าบนตัวของเฝิงหนานถูกฉุกกระชากจนยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าของเฝิงหนานเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นและความชิงชังอย่างแรงกล้า
พูดจากใจ ฉากๆ นี้เฝิงหนานแสดงได้ดีจริงๆ ทั้งสายตาและท่าทางของหล่อน สามารถสะท้อนความเกลียดที่อยู่ในอกและความเจ็บปวดออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ หรือบางทีอาจเป็นเพราะคนที่กำลังนั่งดูอยู่ในห้อง VIP นี้คุ้นเคยกับเธออยู่แล้วก็เป็นได้
ดังนั้นมันเลยทำให้เจียงเซ่อที่ได้เห็น ‘ตัวเอง’ ที่เคยมีใบหน้าที่เรียบนิ่งและไม่สนใจอะไร กลับกำลังเผยสีหน้าที่ดุร้ายและเจ็บปวด ตอนที่เห็นเส้นเลือดบนลำคอมันกระตุกขึ้นมา มันก็กลับดูไม่ค่อยสมจริงนัก
คนรอบๆ อย่างพวกเนี่ยต้านเองก็ดูจะตื่นเต้นไปน้อย ในจอนั้นเฝิงหนานกำลังดิ้นรนสุดใจ ราวกับว่ามีมือหลายคู่กำลังลูบอยู่บนตัวหล่อน เฉิงหรูหนิงที่นั่งอยู่ในห้อง VIP เองก็อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของหญิงสาวออกมาจากจอ
ฉากนั้นสำหรับเผยอี้และคนอื่นๆ แล้ว ถือเป็นฉากที่ยากจะรับได้ ในใจของแต่ละคนเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“มะ มิน่าล่ะ คุณปู่เฝิงถึงได้สั่งให้ตัดออก......”
เนี่ยต้านเองก็เกินพูดติดอ่างอย่างไม่ค่อยได้เห็นนัก “ถะ ถะ ถ้าลูกหลานผู้หญิงบ้านฉันต้องมาแสดงฉากแบบนี้นะ คะ คงโดนตีตายไปแล้วแน่ๆ......”
เจียงเซ่อที่กำลังใจลอยจึงไม่ได้ยินสิ่งที่เนี่ยต้านพูดขึ้นมา
ซีนของเฝิงหนานก็ถือว่ามีไม่น้อย เสียงร้องแหลมหูของหล่อนยังดังก้องอยู่ในหูของเจียงเซ่อ มันไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด และไอ้ความรู้สึกไม่ดีนี้นอกจากจะมาจากการที่คิดว่าฉากนี้มันไม่เหมาะสมแล้ว มันก็เป็นเพราะความกระวนกระวายที่เห็นใบหน้าที่ตัวเองคุ้นเคยกำลังอยู่ใน ‘สภาพแบบนั้น’ ด้วย
ฉากๆ นี้มันนานเกินไปแล้ว และเจียงเซ่อก็คิดว่าตัวเองทนดูต่อไปอีกไม่ได้เช่นกัน เธอฝังหน้าลงกับแขนของเผยอี้ ส่วนเนี่ยต้านและคนอื่นๆ เองก็มีความรู้สึกเดียวกันกับเธอ
จนกระทั่งฉากๆ นั้นจบไป ก็กลายเป็นฉากทีโจงหมิงฉงกลับมาถึงบ้าน แต่กลับพบว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
คนในบ้านของเขาโดยทำร้ายอย่างทารุณ ลูกสาวของตัวเองถูกเหยียดหยาม และบริวารก็ถูกเข่นฆ่า ตายเป็นตาย เจ็บเป็นเจ็บ และตัวเขาเองก็ถูกทหารญี่ปุ่นจับกุมตัวเอาไว้
ที่จริงแล้วการที่หนังดำเนินมาถึงตรงนี้ มันก็เหมือนเป็นแค่การเริ่มต้นของเนื้อหาหลักเท่านั้น
ปฏิบัติการผู้พิทักษ์ที่พูดถึง จริงๆ แล้วไม่ใช่เหล่าทหารปฏิวัติที่โจวหมิงฉงช่วยให้หนีไป แต่เป็นทหารปฏิวัติที่ได้พระคุณจากเขาและได้บุกเข้าไปช่วยเหลือเพื่อเป็นการตอบแทนต่างหาก เป็นการปฏิบัติการช่วยเหลืออย่างไม่รักตัวกลัวตาย
ในตอนจบของหนัง หลิวเย่ที่แสดงเป็นทหารปฏิวัติ กำลังแอบลอบเข้าไปช่วยโจวหมิงฉงที่ได้รับความทุกข์ทรมานจนซูบผอมอย่างยากลำบาก ทั้งสองเดินลากขากะเผลกออกมาและภาพก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น
ดนตรีที่แสนเร้าหรือดังขึ้นมาอีกครั้ง และไฟรอบๆ ห้องก็ค่อยๆ สว่างขึ้น