webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

227

บทที่ 227 ผู้พิทักษ์

“ตัวประกันกลุ่มนี้เป็นพวกทหารปฏิวัติของหัวเซี่ย สำคัญมาก ส่งพวกมันกลับไปที่เขตเป่ยผิงซะ เราจำเป็นต้องดึงข้อมูลสำคัญออกจากปากพวกมัน”

ในสถานกงสุลของพวกทหารญี่ปุ่น ชายสวมชุดทหารรุกรานคนหนึ่งกำลังนั่งเช็ดดาบเล่มยาว และกำลังให้คำสั่งแก่ลูกน้อง

“ระวังพวกคนของพวกมันวางแผนมาช่วยด้วยล่ะ อย่าปล่อยให้คนกลุ่มนี้โดนไอ้พวกทหารปฏิวัติมาช่วยได้เด็ดขาด”

แค่หนังเริ่ม เพียงไม่กี่ประโยคที่พูดออกมา มันก็เป็นการบอกใจความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว

ตอนแรกเจียงเซ่อคิดว่าหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของจางจิ้งอานเป็นเนื้อเรื่องของการเข้าไปช่วยเหล่าทหารปฏิวัติที่โดนจับไปเสียอีก แต่ทว่าจางจิ้งอานก็ยังคงเป็นจางจิ้งอาน เขาเป็นคนที่ไม่ยึดหลักตามเหตุผลอยู่แล้ว

ดูจากเนื้อเรื่องที่กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ เจียงเซ่อจึงเดาว่าเขาคงได้โค่นโครงเรื่องเก่าไปหมด

ทหารต่อต้านกลุ่มนั้นถูกส่งให้ไปอยู่ในการควบคุมของคนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นโจวหมิงฉง ที่นั่นเป็นที่ๆ ถูกควบคุมและมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด

โจวหมิงฉงเป็นพ่อค้าที่ตามพวกทหารรุกรานเข้ามาในหัวเซี่ย และเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในหัวเซี่ยมานานหลายปีแล้ว และได้เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ในหัวเซี่ยด้วย เพื่อสำหรับเหล่าทหารที่ญี่ปุ่นที่เกิดคิดถึงอาหารที่บ้านเกิดของตัวเอง

และเพราะกลุ่มทหารปฏิวัติที่โดนจับมากลุ่มนี้มันสำคัญมาก ทหารญี่ปุ่นที่ต้องการป้องกันไม่ให้พวกทหารปฏิวัติกลุ่มอื่นมาช่วยออกไปได้ จึงต้องการที่จะยืมมือของโจวหมิงฉง ให้เขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นปกปิดความลับเพื่อพาคนกลุ่มนี้ออกจากเมืองไป มุ่งหน้าสู่เป่ยผิง

และพระเอกอย่างหลิวเย่เองก็อยู่ในกลุ่มทหารที่โดนจับตัวมาเหมือนกัน ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส

ในตอนที่โจวหมิงฉงรับช่วงทหารปฏิวัติ เขาก็กลับเกิดความสงสารต่อกลุ่มคนที่โดนจับมาเพราะพวกเขาถูกลงโทษด้วยการโบยตีอย่างรุนแรง

เขาคิดว่าทหารของญี่ปุ่นกระทำการโหดเหี้ยมทารุณเกินไป เหมือนเป็นการฝืนสัญชาตญาณ เขาเกลียดที่จะต้องเห็นพี่น้องมากระทำการที่โหดร้ายต่อคนอื่นแบบนี้ ก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับทหารกบฏ จากตอนแรกที่เป็นฝ่ายช่วยเหล่าพี่น้องวางแผน กลับที่จะมาอยู่ฝ่ายทหารปฏิวัติแทน

ชีวิตของโจวหมิงฉงกลายเป็นชีวิตที่ต้องเจอแต่ความเสี่ยงและอันตรายรอบด้าน เพราะลับหลังเขาแอบรักษาเหล่าทหารปฏิวัติที่โดนทารุณมา และช่วยพวกเขาหาทางหนีออกจากเขตที่มีทหารญี่ปุ่นควบคุม

สุดท้ายแล้วโจวหมิงฉงก็ใช้สิทธิ์พิเศษของการเป็นคนญี่ปุ่น พาทหารปฏิวัติที่ออกมาจากที่นั่น และพาตัวเองเข้าสู่สถานการณ์ที่แสนสุ่มเสี่ยงและอันตราย

หนังเข้าสู่ฉากที่แสนบีบอารมณ์ เหมือนเป็นแผนซ้อนแผน ในคืนที่ฝนตก โจวหมิงฉงเป็นคนขับรถพาเหล่าทหารปฏิวัติออกจากเมืองด้วยตัวเอง มันเป็นวันที่ทหารญี่ปุ่นมีการตรวจตรากันอย่างแน่นหนา การเปิดประตูเมืองจึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นไม่ใช่น้อย

“เอกุชิซัง ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะออกไปไหนอีกหรือ?”

โจวหมิงฉงเป็นเพียงชื่อของเอกุชิที่มาเปลี่ยนตอนมาอยู่ที่หัวเซี่ย เพราะเขามาเปิดร้านอาหารในหัวเซี่ย บ่อยครั้งที่เหล่าทหารญี่ปุ่นเกิดคิดถึงอาหารบ้านเกิดขึ้นมา ก็จะไปกินที่ร้านของเขา เขาเลยไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร

ตอนนี้ที่ด้านหลังของรถมีเหล่าทหารปฏิวัติที่กำลังบาดเจ็บและยังไม่ได้รักษาให้หายดีมากมาย คนที่แสดงเป็นโจวหมิงฉงในหนังเป็นนักแสดงอาวุโสคนหนึ่งมีอยู่ในวงการนี้มานาน ทุกท่วงท่าและคำพูด หรือแม้แต่การขมวดคิ้วก็ดูเข้าถึงบทบาททั้งนั้น

ตอนที่เขาถูกกักตัวเอาไว้ เหงื่อเย็นมันก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก

ในตอนนี้กล้องได้จับไปที่ความรู้สึกบนใบหน้าของเขา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเริ่มเกร็ง แววตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

ผ่านเลนส์กล้องไป ผู้ชมทุกคนก็จะได้เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ด้านหลังนั่น ถึงจะมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่แสงที่ตกสะท้อนไปในเงานั้น ก็พอทำให้คนดูสามารถปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว

จางจิ้งอานเก่งในการใช้ประโยชน์จากรายละเอียดเล็กๆ ของตัวหนัง เขาเลือกที่จะไม่ใช้การดำเนินเรื่องแบบในหนังทั่วๆ ไป การถ่ายถึงทหารปฏิวัติที่กำลังแอบซ่อนตัวแบบนี้มันน่าตื่นเต้นมากๆ เขาเลือกที่จะไม่ใช้การตัดภาพพวกเขาไปมาเพื่อเป็นการใช้ช่วงเวลาที่มันต่อเนื่องกัน แต่ใช้แค่เพียงภาพเงาตะคุ่มๆ เพียงเท่านั้น แค่นั้นมันก็บีบรัดหัวใจคนดูมากแล้ว

ในตอนนี้ ผู้ชมทุกคนต่างเหมือนได้รับความตื่นเต้นและลุ้นระทึกกันหมด และเกิดความรู้สึกกังวลและเป็นห่วงตัวละครในหนังไม่น้อย

ความลนลานของเขามีมากไป เนื้อตัวเหมือนเกร็งไปหมด น้ำเสียงท่าทางการพูดก็ดูหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา

เจียงเซ่อเริ่มอินไปกับหนัง และเผลอเลื่อนมือไปจับมือเผยอี้เอาไว้อย่างคุมไม่อยู่ ก่อนจะพิงหัวลงกับไหล่ของเผยอี้ แต่สายตายังคงจดจ้องไปบนหน้าจอนั่น

เผยอี้หันกลับมามองเธอครู่หนึ่ง แล้วกุมมือเธอเอาไว้แน่นๆ แล้วเงยหน้าวางคางไว้บนศีรษะของเธอ

ตอนนี้ในเกิดฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ แลเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเห็นว่าบนหน้าผากของตัวเองมีเหงื่อออก โจวหมิงฉงจึงเปิดประตูรถออก แล้วกระโดดลงมา ห่าฝนเม็ดใหญ่ที่ตกลงมารดใบหน้าและเสื้อของเขาจนเปียกชุ่ม และมันก็ช่วยชะล้างเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไปด้วย

“ฝนตกหนักขนาดนี้ ลำบากคุณแย่เลยนะเนี่ย”

เขาทำเป็นไม่ได้สนใจเกี่ยวกับตัวรถอะไรนัก และทำทีพูดคุยกับทหารยามที่เฝ้าประตูเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ และเพราะเขาเองก็เป็นคนญี่ปุ่น เลยไม่ได้รับความสงสัยหรือแปลกใจจากพวกทหารนัก

หลังจากที่ยืนคุยกันครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ทำเนียนพูดว่าจะออกจากเมืองเสียหน่อย จากนั้นเขาก็โดนปล่อยออกมาอย่างสบายๆ

หลังจากที่ขบรถออกมาจากตัวเมืองแล้ว โจวหมิงฉงก็ปล่อยทหารปฏิวัติให้หนีไปกันหมด และขอให้พวกเขารีบๆ หนีไปให้เร็วที่สุด

การที่เขาเลือกที่จะทำแบบนี้ สำหรับกองทัพทหารญี่ปุ่นแล้ว นอกจากจะต้องโดนตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติแล้ว เขาก็จะต้องโดนจับกุม และอาจจะต้องโดนฆ่าตายไปอย่างไม่มีทางเลือก

โจวหมิงฉงกำชับให้หลิวเย่และคนอื่นๆ ว่าให้รีบหนีไปได้แล้ว หลิวเย่จึงถามขึ้นอย่างลังเล

“แล้วคุณล่ะ?”

หลังจากที่ได้รู้จักกันมาช่วงเวลาหนึ่ง มันก็สามารถทำให้หลิวเย่รับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว โจวหมิงฉงนั้นเป็นคนที่ยังไม่ไร้ซึ่งจิตใจ เป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เพราะเขาเห็นใจศัตรูอย่างพวกเขา ถึงได้ทำการพาพวกเขาหนีออกมาจนชีวิตของตนเองต้องตกอยู่ในความเสี่ยงแบบนี้

“ฉันน่ะหรือ? ฉันจะกลับไป”

โจวหมิงฉงเผยสีหน้าที่มุ่งมั่นและไม่มีความลังเลออกมา

“ในบ้านตระกูลโจว ยังมีลูกน้องอีกมากมาย พวกเขาไม่สมควรที่จะต้องมารับผิดชอบต่อการกระทำของฉัน มันควรที่จะเป็นฉันไม่ใช่หรือ แน่นอน มันต้องเป็นความรับผิดชอบของฉันเอง”

เขาเร่งให้หลิวเย่รีบหนีไปอีกครั้ง ส่วนตัวเองก็ขึ้นรถและเตรียมขับกลับเข้าไปในเมือง

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นทางกลับไปตาย แต่เขาก็ทนดูเห็นคนอื่นมาซวยแทนเขาไม่ได้เช่นกัน

เพื่อป้องกันไม่ให้พวกทหารญี่ปุ่นตามจับได้อีกครั้ง โจวหมิงฉงเองก็พาพวกเขามาปล่อยไว้ไกลพอสมควร ตอนที่กำลังจะกลับ พระอาทิตย์ก็ขึ้นพอดี

ที่บ้านตระกูลโจวในตอนนี้ มีทหารของญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมเอาไว้หมดแล้ว

เมื่อคืนหลังที่ทหารญี่ปุ่นจะทำการสอบสวนเหล่าทหารปฏิวัติ ก็ได้พบว่าที่ที่ใช้ไว้คุมขังพวกเขา มันว่างเปล่าเสียแล้ว

และเพราะคนพวกนั้นถูกซ่อนตัวไว้อยู่ในบ้านของตระกูลโจว ถ้าตอนนี้ไม่มีแม้แต่เงาของพวกทหารปฏิวัติ คนเบื้องบนจึงถามถึงคนที่ออกจากเมืองจากทหารเฝ้ายาม และก็ได้รู้ว่าเป็นโจวหมิงฉงที่ออกไป

ทหารญี่ปุ่นเข้าล้อมรอบบ้าน และจับกุมคนใช้ภายในบ้านเอาไว้ทุกคน

หนังดำเนินเรื่องไปได้ถึงหกสิบนาทีแล้ว ในที่สุดก็ฉากที่มีเจียงเซ่อก็ออกมาเสียที

คนใช้ของบ้านตระกูลโจวถูกเชือกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ และถูกลากไปไว้ข้างๆ แม่น้ำ พวกทหารญี่ปุ่นถืออาวุธและดันพวกเขาไป

เจียงเซ่อแสดงเป็นสาวใช้คนหนึ่งที่ถูกมัดมือเอาไว้ทั้งสองข้างเช่นกัน แต่เธอกลับนั่งตัวตรง และใช้สายตาเย็นชาจ้องตากับเกาหรงที่มีท่าทางบึ้งตึงและเยือกเย็นไม่แพ้กัน แววตาของเธอแฝงไปด้วยความรังเกียจ

“โจวหมิงฉงปล่อยแหล่งข้อมูลสำคัญไปแล้ว แล้วตอนนี้มันก็หายหัวไปอีก ถ้าใครสักคนในพวกแกบอกได้ว่ามันไปไหน รับรองมีรางวัลตบให้อย่างงามแน่”

ตรงเอวของมันมีดาบปลายปืนเหน็บเอาไว้ มันจับด้ามของดาบเอาไว้แล้วเดินไปเดินมา ‘ตึก ตึก’ เสียงรองเท้าทหารที่ดังกระทบพื้นขึ้นเป็นจังหวะ มันทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อยเลย

เจียงเซ่อมองตัวเองที่อยู่ในฉาก เธอสวมชุดที่เก่าและเริ่มขาดแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพจนตรอก ทั้งตัวของเธอยังสั่นไม่หยุด

วันที่ถ่ายหนังวันนั้น สิ่งที่เธอกำลังคิดถึงคือ ‘เฝิงหนาน’ ตอนที่ถ่ายฉากๆ นี้ ตอนนั้นเธอรู้สึกมีความโกรธขึ้นมาจริงๆ ถึงได้ดูเข้าถึงบทบาทได้ดี ตอนนั้นเธอเพิ่งจะมาเกิดใหม่ได้ไม่นาน นั่นถือว่าเป็นการเข้าวงการหาเงินครั้งแรก แต่เธอกลับไปได้ยินข่าวเกี่ยวกับ ‘เฝิงหนาน’ ในกองถ่ายเข้า

บวกกับก่อนหน้านั้นที่ตกน้ำไปหลายรอบ เพราะหลายครั้งที่มันผิดพลาด ทำให้ตอนที่เธอต้องจ้องหน้ากับเกาหรง จึงไม่ได้โดนจางจิ้งอานสั่งให้เปลี่ยนคนใหม่เหมือนกับตัวประกอบคนแรกที่โดนอารมณ์ของเกาหรงกดเอาไว้