webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

224

บทที่ 224 เป็นเพื่อนเล่นกัน

แต่ว่าได้บัตรก่อนเวลานั้นมาจากไหน เผยอี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา สายตาของเขามองลงไปยังใบหูของเธอ ตอนนี้หูทั้งสองข้างของเธอมีตุ้มหูเพชรคู่หนึ่งติดเอาไว้ มันทำให้เข้าต้องเม้มปากเข้าหากัน

ตอนช่วงเดือนกรกฎาคมที่เขาไปฝึก เจียงเซ่อยังไม่ได้เจาะหูเลยด้วยซ้ำ แต่พอกลับมาอีกทีก็ติดต่างหูเอาไว้เสียแล้ว

เขายื่นมือไปแตะๆ มัน พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เจียงเซ่อไม่คิดเลยว่าแค่มาถึงเขาก็สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเธอแล้ว จึงยกมือขึ้นแตะมือเขา

“ต้องเจาะเอาไว้เพราะถ่ายโฆษณารอบนี้น่ะ”

ก็ถือว่าเป็นงานและสิ่งที่จำเป็น และไม่แน่ว่างานหรือหนังต่อๆ ไปก็อาจจะต้องใส่ตุ้มหูด้วย เธอก็เลยต้องใส่ก้านเสียบเอาไว้

“เจ็บไหมครับ?” เขาดูไม่พอใจนิดหน่อย แถมยังมองมันตั้งหลายที อยากจะแตะแต่ก็ไม่กล้าแตะ เพราะกลัวว่าเธอจะเจ็บ

เจียงเซ่อส่ายหน้า ที่จริงเธอเพิ่งจะเจาะมันได้ไม่กี่วันมานี้เอง นอกจากนี้ตอนที่ต้องใส่ถ่ายโฆษณาก็ยังต้องใส่อย่างระวัดระวังเลย แต่สองวันหลังจากนั้นก็ดีขึ้นมากแล้ว

เธอถามเผยอี้เกี่ยวกับการฝึกทหารในครั้งนี้ แต่เขาแค่บอกว่าได้ไปทางภาคเหนือ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็ไม่ได้คุยกันแล้ว

และเรือนผมสีทองของเขาที่ถูกโกนออกไป ผมดำที่ขึ้นใหม่ก็ยังสั้นอยู่

เจียงเซ่อจำได้ว่า เมื่อก่อนเขาบอกว่าจะไม่มีทางย้อมผมกลับไปเป็นสีดำเหมือนเดิมเด็ดขาด งั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องโกนหัวแบบนี้เลย

ตอนที่กำลังทานมื้อเที่ยงกัน เธอก็ได้ถามเขาขึ้นถึงเรื่องผม เขาที่กำลังกินซุปอยู่ก็ชะงักไปทันที แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเธอ

แต่ก่อนเวลาที่เขาอยู่ต่อหน้าเธอ เขามักจะชอบเก็บอาการเก็บความรู้สึกภายในใจอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่ามันจะแสดงออกมามากจนเกินไป กลัวว่าจะรุกเร็วเกินไป แล้วจะทำให้เธอรำคาญใจเสียเปล่าๆ

ตอนเขาที่ยังเด็กและไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร เขาก็เลยต้องหาวิธีและความคิดโง่ๆ ที่จะทำให้เธอหันมาสนใจเขา

ที่จริงที่เขาย้อมผมเป็นสีทอง มันไม่ใช่เพราะเขาอยากหล่ออยากเท่ และไม่ใช่เป็นเพราะเขาอยากจะปกปิดความงุ่มง่ามของตัวเอง เขาในตอนนั้นน่ะ แค่อยากให้เห็นการเปลี่ยนแปลงบนตัวเขาบ้าง อยากให้เธอได้เห็นเขาในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป

ตอนนั้นเขายังคิดอยู่หลายครั้งว่าเฝิงหนานจะต้องพูดเหมือนที่คุณปู่เขาพูแน่ๆ แบบว่า ‘ยิ่งโตก็ยิ่งไม่เชื่อฟัง’ อะไรแบบนั้น แต่มันก็ถือว่าเขาได้โตขึ้นจริงๆ แล้ว ไม่ใช่น้องชายที่อายุน้อยกว่าเธอห้าปีอย่างที่ใจเธอคิดมาโดยตลอด เป็นแค่น้องชาย

เขาก้มหน้าลง แล้วกินซุปเข้าไปอีกคำ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส

“เอาไว้ก็น่ารำคาญน่ะ ผมก็เลยตัดออก”

เพราะตอนนี้เขาจีบเจียงเซ่อติดแล้ว ไอ้ความคิดตอนเด็กๆ ที่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากเธอ คงไม่จำเป็นที่จะพูดถึงมันขึ้นมาอีก

และการที่เขาไม่พูดถึงเรื่องพวกนั้นขึ้นมา มันก็ไม่ได้แปลว่าเขากำลังปิดบังอะไร ก็แค่เพราะว่าเขาชอบเธอ ค่อยๆ เก็บสะสมความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ จนโตมาขนาดนี้ ตอนนี้เธอรับรู้ถึงความในใจของเขาแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านไปแล้ว เขาคิดว่าคงไม่ต้องไปพูดถึงมันอีก เพราะตอนเด็กๆ เขาเอาแต่ปกปิดความรู้สึกของตัวเอง มันคงจะเป็นเรื่องที่สามารถทำให้เธอยิ้มและมีความสุข ไม่ใช่กับเรื่องที่ช่างโง่เขลาที่อาจะทำให้เธอรู้สึกหนักใจแบบนั้น

เขาพูดขึ้นมาแบบนั้น แถมยังทำเป็นยื่นมือไปอย่างออดอ้อน

“เซ่อเซ่อชอบผมแบบไหนหรือครับ? ชอบทรงก่อนหน้านี้ไหม เดี๋ยวผมจะไว้มันเลย”

เขาพูดด้วยท่าทางที่จริงจังไม่น้อย เจียงเซ่อจึงตอบออกไป

“แบบไหนก็ชอบ” มองเผยอี้ที่กำลังยิ้มได้ใจเพราะสิ่งที่เธอพูด เธอเลยเอ่ยขึ้นมาอีก

“แบบไหนก็หล่อทั้งนั้นแหละ”

ยิ่งพูดแบบนั้นเขาก็เหมือนยิ่งลอย โดนเธอชมเข้าแบบนี้ มันรู้สึกหอมวานไปหมด แถมยังรู้สึกเขินนิดๆด้วย เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่กุมมือเธอเอาไว้แน่นแบบนั้น มืออีกข้างก็ทานอาหารไปเรื่อยๆ เป็นแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา แต่เหมือนยังไม่กล้าสบตาเธอนัก

“ผมก็เหมือนกัน!”

เจียงเซ่อหัวเราะขึ้นมา

ช่วงบ่ายไปเดินเล่นกันอีกนิดหน่อย และได้ไปนั่งเรือชมวิวที่แม่น้ำแซนอีกด้วย

โม่อานฉีเองก็รู้ตัวว่าไม่ควรจะตามไปด้วย เลยปล่อยให้ทั้งสองได้มีเวลาส่วนตัวไป

ที่จริงเจียงเซ่อเองก็เคยมาเที่ยวที่ปารีสหลายครั้งแล้ว แต่การที่ได้มาเดินจับมือแน่นๆ กับเผยอี้แบบนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินสวนกันไปมามากมาย อยู่ได้อีกวันหนึ่ง เจียงเซ่อก็ได้ขอลาหยุดกับโม่อานฉี และเผยก็ได้เตรียมตั๋วเครื่องบินที่จะเดินทางไปบอร์โดเรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้าที่จะมาเผยอี้ก็ได้เล่าถึงเรื่องไร่องุ่นให้ฟังแล้ว เจียงเซ่อเองก็เตรียมใจเอาไว้ไม่น้อย เพราะเธอก็แอบเปิดเน็ตดูรูปมาแล้วเหมือนกัน

แต่ทว่าเมื่อเธอได้มาเห็นของจริง มันก็ทำให้เจียงเซ่อเกินหวั่นไหวไปทั้งใจ

ภายใต้ท้องฟ้าและก้อนเมฆ ภาพที่สะท้อนอยู่ในแววตาคือร่มเงาสีเขียวของต้นไม้ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา คฤหาสน์ถูกล้อมด้วยสีเขียวขจี

ไร่องุ่นผืนใหญ่มากๆ เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ พอลองหันไปมองอีกทาง ก็พบว่ามันเป็นสนามหญ้าเรียบๆ ที่กว้างแสนกว้าง เป็นต้นไม้สีเขียวและท้องฟ้าสีครามที่ทอดยาวต่อกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

แดดค่อนข้างแรง เจียงเซ่อยกมือขึ้นมาบังตาเอาไว้ ถึงได้เห็นว่าบนกำแพงของคฤหาสน์นั้นมีเถาวัลย์ขึ้นเกาะอยู่เต็มไปหมด หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้เพียงครึ่ง แถมเธอยังมองเห็นว่าข้างในนั้นมีม่านสีขาวบางๆ อยู่ด้วย

ในตอนที่สายลมอ่อนๆ พัดผ่านมา สายลมนั้นก็ได้พัดพาเอากลิ่นหอมๆ ขององุ่นมาด้วย เป็นอย่างที่เผยอี้บอกจริงๆ ว่าแม้แต่เวลาที่สูดหายใจก็ยังสามารถได้กลิ่นหอมๆ จากองุ่นในไร่

องุ่นแต่ละพวงห้อยอยู่บนคานไม้ยกสูง คนที่มารอรับสองคนก่อนหน้านี้แนะนำขึ้น

“ปีนี้อากาศดีมากครับ เพราะงั้นองุ่นอาจจะเก็บได้ก่อนระเวลาที่คาดกันเอาไว้”

คนที่เผยอี้ว่าจ้างให้มาดูแลคฤหาสน์เป็นชายชาวฝรั่งเศสที่มีอายุคนหนึ่ง ผมของเขาถูกเซ็ตไปไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย และสวมเสื้อเชิ้ตตามระเบียบ เป็นคนที่ช่วยขับรถพาทั้งสองกลับมาถึงที่นี่

“ชอบไหมครับ”

เผยอี้หันหน้าไปมองเจียงเซ่อ เธอกำลังมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง สายลมที่พัดผ่านเข้ามาตีจนผมเธอเริ่มยุ่ง เขาจึงยกมือขึ้นช่วยทัดผมเธอไปไว้หลังใบหู และมองเธอที่พยักหน้า

“ชอบสิ”

และเพราะคำตอบนั้นของเธอ แววตาของเผยมันอบอุ่นขึ้น พร้อมๆ กับแขนที่ยกขึ้นโอบไหล่ของเธอ

การจัดห้องและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกตกแต่งออกมาอย่างดี และมันก็ล้วนเป็นสิ่งที่เธอชอบทั้งสิ้น

ทั้งสองคนเดินลงมาจากรถ ผู้ดูแลบ้านกวักมือเรียกให้คนในคฤหาสน์ออกมาช่วยกันยกสัมภาระลง เผยอี้จูงมือเจียงเซ่อเข้าไปในคฤหาสน์ และเดินชี้ทุกๆ จุดให้เธอดู

“เหมือนว่าเจ้าของคนแรกต้องการที่จะขายมันต่อ ผมก็เลยรีบซื้อเอาไว้” เขาพาเจียงเซ่อเดินขึ้นไปด้านบนบ้าน นอกจากจะมีห้องทั่วๆ ไปแล้ว ก็ยังมีห้องหนังสือโดยเฉพาะอีกด้วย หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ผ้าม่านสีขาวสะอาดพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบาๆ เธอมองไปยังชั้นหนังสือที่มีหนังสือของโหวซีหลิ่งจัดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ และยังมีอีกหลายๆ เล่มที่คุ้นตาเธอ ล้วนแล้วเป็นของนักเขียนที่เธอเคยได้อ่าน มีบางชื่อ ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็อาจจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บางทีอาจจะแค่เคยเปิดๆ ดูแล้วก็วางกลับไปที่เดิม แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเผยอี้จะจำได้ถึงขนาดนี้

กับเธอที่เอาแต่มองว่าเขาเป็นแค่น้องชายคนหนึ่ง เขาต้องใช้ใจมากขนาดไหนในการจัดห้องแบบนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังตื่นเต้นอยากจะให้เธอได้มาเห็นแบบนี้

จู่ๆ เจียงเซ่อก็รู้สึกแสบร้อนที่ดวงตาขึ้นมา เผยอี้ยืนเงียบๆ อยู่หลังเธอ สายตาทอดมองเพียงแค่เธอ

แต่ก่อนไม่เห็นเคยรู้สึกแบบนี้เลย แต่เจียงเซ่อไม่รู้ว่าทำไมเขาในตอนนี้ที่กำลังจ้องเธอ ถึงได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขนาดนี้

ห้องถูกทำความสะอาดไว้อย่างเอี่ยมอ่อง ภายในห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแสงแดด เผยอี้เรียกเธอขึ้นมา

“เซ่อเซ่อ มาดูนี่สิครับ”

เขาเดินไปที่หน้าต่าง เจียงเซ่อวางหนังสือที่หยิบมาดูในมือลง เขาชะโงกตัวออกไปครึ่งหนึ่ง ข้างนอกนั่นมีใบไม้สีแดงของต้นผาซานหู่*ต้นตีนตุ๊กแกขึ้นเต็มไปหมด มือทั้งสองข้างของเขาค้ำเอาไว้บนขอบหน้าต่าง แล้วหันหน้ามายิ้มให้เธอ

“พี่เคยบอกว่า ชอบด้านหลังของห้องสมุดที่โรงเรียนมัธยมก้งจี้ เพราะที่นั่นมีต้นผาซานหู่ปลูกอยู่เต็มไปหมด”

โรงเรียนมัธยม ‘ก้งจี้’ ที่เขาพูดถึง เป็นโรงเรียนที่เธอเคยเรียนก่อนที่จะมาเกิดใหม่ เธอเรียนที่นั่นตั้งแต่มอต้นถึงมอปลาย ที่จริงตรงนั้นจะถูกสร้างเป็นโบสถ์สำหรับบาทหลวง แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนแทน