บทที่ 211 ฉลาด
เซี่ยเชาฉวินไม่คิดเลยแค่ตัวเองพูดออกไปแบบนั้น เจียงเซ่อก็จะเข้าใจง่ายๆได้โดยทันที ในขณะที่โม่อานฉียังนั่งจับใจความไม่ได้ แต่เจียงเซ่อกลับเข้าใจได้ง่ายๆ จนเซี่ยเชาฉวินเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ
ก็อย่างที่เจียงเซ่อพูดจริงๆ ความหมายที่เซี่ยเชาฉวินต้องการจะสื่อก็คือการบริจาค
“กฏหมายของหัวเซี่ย ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย”
เซี่ยเชาฉวินวางศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ ในมือยังจับปากกาเล่นไปเรื่อยๆ
“ตอนนี้พวกเสื้อผ้าสินค้าต่างๆ ที่ทางแบรนด์ส่งมาให้ ก็เริ่มที่มีของที่เธอใช้ไม่ได้แล้วนี่นะ”
พวกแบรนด์ต่างๆ ที่โม่อานฉีเคยดึงมาสนับสนุนเธอ ล้วนแล้วเป็นแค่แบรนด์เล็กๆ เท่านั้น หลังจากที่เจียงเซ่อถ่ายแบบแนวสตรีทไป ต่างก็มีของแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆ ส่งเข้ามาช่วยเหลือเธอตลอด
แต่ตามระดับฐานะและชื่อเสียงของเธอที่มีมากขึ้นแล้ว อีกทั้งยังได้เป็นแอม บาสเดอร์ของสินค้า ดังนั้นเสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋าก่อนหน้านี้ที่เคยได้มาก็จะใช้ไม่ได้อีก
ก็อย่างหลังการที่เธอได้เป็นแอม บาสเดอร์ของ Adeele แล้ว หลังจากนี้หากเธอต้องใส่กางเกงยีนส์ออกงานแล้วละก็ อย่างน้อยในหนึ่งปีตามสัญญา จะต้องใส่แต่ของแบรนด์ Adeele เท่านั้น ส่วน แบรนด์อื่นๆ ที่เคยได้มา ก็คงต้องจัดการเอาไปบริจาคขายทิ้งซะ สละมันออกไปให้หมด
ในตอนนี้ หัวเซี่ยเองก็มีกฎเกณฑ์เอาไว้อยู่แล้ว ถ้าดาราคนไหนสามารถบริจาคได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ก็จะสามารถผ่อนผันการจ่ายภาษีหรือจ่ายแค่ครึ่งเดียวได้ ในขณะเดียวกันมันก็จะเป็นผลดีต่อตัวเจียเซ่อเองด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
แบบนั้นมันก็จะสามารถจัดการพื้นที่ใช้สอยได้ อีกทั้งยังสามารถรับกลุ่มร้านค้าที่จะสนับสนุนได้อีก
เซี่ยเชาฉวินพูดแบบนั้น แต่ก็ยังมีความลังเลอยู่
“แต่ว่ายังไงห้องที่โม่อานฉีเช่าให้เธอตอนแรกมันก็เล็กไปมากแล้วจริงๆ”
ตามที่เจียงเซ่อได้เป็นแบรนด์แอม บาสเดอร์ให้กับสินค้าสองแบรนด์แล้ว หลังจากที่ถ่าย ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ เสร็จ ถ้าหนังได้เข้าฉายเมื่อไหร่ ชื่อเสียงของเธอก็จะต้องมีมากขึ้นมากกว่าตอนนี้ แล้วถ้ารีบเล่น ‘Evil’ อีก ค่าตัวเธอก็จะไม่ได้อยู่ที่หนึ่งล้านห้าเหมือนอย่างของ ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ อีก แต่มันจะเพิ่มขึ้นสูงเป็นเท่าไหร่ก็ต้องรอดูกระแสยอดขาบบัตรอีกที
แต่ถ้าพูดโดยรวมๆ แล้ว กับฐานะของเธอในตอนนี้ ห้องที่โม่อานฉีเคยเช่าไว้ให้มันดูไม่เหมาะสมกับตัวเธออีกต่อไป
“เดี๋ยวโม่อานฉีจะจัดการหาเป็นบ้านเอาไว้ให้เธอ ส่วนนักบัญชีที่จะมาดูและเรื่องทรัพย์สินฉันจะเป็นคนหามาให้ แล้วเธอก็เลือกอีกทีว่าอยากจะได้คนไหนมาดูแลรายได้ของตัวเธอ” หล่อนมองหน้าเจียงเซ่อ แล้วก้มมองดูมือทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“นอกจากนี้แล้ว การที่ได้เซ็นสัญญากับแบรนด์ทั้งสองแบรนด์นั้นไป เธอก็น่าจะรู้ดีนะ ใบหน้า และรวมไปถึงร่างกายของเธอจะเป็นแต้มต่อของทุกๆ อย่าง ดังนั้นเดี๋ยวฉันจะหาครูฝึกเต้นและครูฝึกโยคะให้เธอ เอาไว้ให้พวกเขาคอยดูแลเรื่องความสวยความงามให้
โม่อานฉีจดและจำสิ่งที่เซี่ยเชาฉวินพูดมาเอาไว้ทั้งหมดเป็นอย่างดี ช่วงนี้งานของเจียงเซ่อยังไม่ได้มีอะไรมาก กลังจากถ่ายโฆษณาของ Adeele เสร็จไปแล้ว เดือนมิถุนายนนี้ก็มีแค่งานหนังรอบแรกเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ของกู้เจียเอ่อ
และคิวงานครั้งต่อไปก็จะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว เธอจะต้องไปถ่ายโฆษณาของ Gang Hua Jewelry ที่ฝรั่งเศส และร่วมงานเปิดตัวที่นั่นเลย นอกจากนี้แล้ว ก็เหลือแค่รอให้ตัวโฆษณาของ Adeele ถูกปล่อยออก และกลับตี้ตูเพื่อไปโผล่หน้าให้เห็นกัน
“เธอก็เตรียมตัวให้ดีๆ ล่ะ หนังเรื่อง ‘Evil’ จะกำหนดให้เริ่มถ่ายทำในปีหน้า เธอได้รับให้เล่นบทบาทนั้นแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากจะให้เธอเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ในหนังเรื่องนี้เธอจะต้องเข้าฉากกับหลิวเย่ด้วย เธออย่าให้เขามากลบความสามารถตัวเองเด็ดขาดเข้าใจไหม”
เซี่ยเชาฉวินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยใบหน้าจริงจัง เจียงเซ่อพยักหน้ารับ
“ก่อนที่จะเปิดกล้อง จ้าวร่างอาจจะติดต่อเธอเพื่อพูดคุยถึงเรื่องตัวบท ช่วงนี้เธอก็พยายามฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ ละกัน”
พอพูดเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงเซ่อก็ถามสารทุกข์สุกดิบขึ้นมา
“พี่เชาฉวินทำงานที่อิตาลีเสร็จแล้วงั้นหรือคะ?”
“ยังหรอก”
เซี่ยเชาฉวินส่ายหน้า การที่เถาเฉินจะเข้าสู่วงการของฝั่งยุโรปไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เพราะหล่อนมีใบหน้าของคนหัวเซี่ยขนาดนั้น อยากจะเป็นคนบุกเบิกตลาดต่างประเทศมันไม่ง่ายเลย
เพราะสำหรับความคิดส่วนมากของชาวต่างชาติแล้ว ใบหน้ารูปโฉมของหล่อนมันไม่ได้สวยอะไรเลย ถึงแม้เซี่ยเชาฉวินจะพยายามไล่หาต้นทุนต่างๆ ให้หล่อนแล้ว และถึงแม้ตัวเถาเฉินเองก็ได้แสดงหนังของต่างประเทศไปสองสามเรื่อง แต่บทในหนังเหล่านั้นมันก็ไม่ได้โดดเด่นหรือสำคัญอะไรนัก เลยไม่สามารถที่จะพลิกตัวเองให้เป็นคลื่นลูกใหญ่ได้
ดังนั้นพวกแบรนด์หรูหราดังส่วนมากมักจะนิยมชอบสาวสวยอย่างผู้หญิงผมทองตาสีมรกตอะไรแบบนั้นมากกว่า เซี่ยเชาฉวินจึงคิดว่ามันไม่ได้ราบรื่นอะไรนัก แต่หล่อนก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดไม่พอใจเลยสักนิด “ที่ฉันกลับมาตอนนี้ ก็แค่อยากจะกลับมาดูงานของเธอเท่านั้นเอง รอจนโฆษณา Adeele ที่เธอไปถ่ายมาออกแล้ว ก็จะกลับไปที่อิตาลีอีก แล้วเดี๋ยวเธอก็บินไปที่ฝรั่งเศสก่อน ฉันจะตามไปทีหลัง”
จากนั้นหล่อนก็ถามโม่อานฉีถึงเรื่องเอกสารวีซ่าต่างๆ ซึ่งโม่อานฉีเองก็ชี้แจงออกไปอย่างชัดเจน พูดคุยกันได้พักหนึ่ง เซี่ยเชาฉวินก็ยังเหลือเอกสารที่จะต้องตรวจสอบดู จึงแยกกับเจียงเซ่อไปก่อน
โม่อานฉีเองก็ยังมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ พอถามเจียงเซ่อว่าจะให้หล่อนไปส่งก่อนไหม เจียงเซ่อคิดๆ ดูแล้ว ก็ส่ายหน้าให้
“เดี๋ยวฉันโทรให้เผยอี้มารับก็ได้ค่ะ”
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากห้องสมุดนัก ก่อนหน้านี้ลาเรียนไปต้องสามเดือน แถมช่วงนี้ก็ยังมีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะไปหมด นอกจากจะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการรีบดูหนังสือแล้ว เธออยากจะหาข้อมูลอีกสักหน่อย และอยากจะลองนั่งทำข้อสอบครั้งก่อนๆ ของคณะประวัติศาสตร์ดูหลายๆ ชุดเลย เพื่อที่จะหาจุดสำคัญเอาไว้
มาถึงตอนนี้ เจียงเซ่อก็ภาวนาแค่ว่าอย่าให้ผลคะแนนการสอบของตัวเองมันต่ำกว่าที่คาดหวังไว้เลย
หลังจากที่โทรไปบอกเผยอี้แล้ว ก่อนที่จะเดินเข้าห้องสมุดไป เธอก็ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาและลองโทรหาไต้เจียดูอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม ปลายสายถึงได้ยังปิดเครื่องอยู่เหมือนเดิม นี่มันก็นานมาแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกับไต้เจียเลย
น่าเสียที่ถึงทั้งสองจะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อกันเอาไว้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ติดต่อกันแบบนี้ สำหรับความเป็นไปของไต้เจีย เจียงเซ่อแทบจะไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง รู้แค่ว่าหล่อนเป็นนักเรียนของโรงเรียนสอนการแสดง และสามารถออกมารับงานได้แล้ว งั้นหล่อนก็คงจะอยู่ปีสามแล้วสินะ เธอถอนหายใจออกมา ตัดสินใจตัดสายไต้เจียที่มีแต่เสียงบอกว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องอยู่ไป คิดๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วตักสินใจโทรไปหาครอบครัวตระกูลตู้
หลังจากที่งานยุ่งมาตลอด มันก็นานมาแล้วที่เธอไม่ได้ติดต่อไปที่บ้านตระกูลตู้เลย เป็นโจวฮุ่ยที่รับสายเธอ หลังจากที่ได้ยินเจียงเซ่อถามถึงสารทุกข์สุกดิบ โจวฮุ่ยก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นบ้าง
“เซ่อเซ่อ”
น้ำเสียงของหล่อนดูตื่นเต้น และพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“เมื่อครึ่งปีก่อน เหมือนว่าจะเป็นผู้จัดการของลูกมากำชับพวกเราแล้วล่ะ ลูกสบายใจเถอะนะ พวกเราจะไม่พูดมากเรื่องที่เกี่ยวกับลูกเด็ดขาดเลย ส่วนเงินของทุกเดือนที่ลูกส่งมาให้ คนในบ้านก็ได้รับกันหมดแล้วล่ะ ตอนนี้ลุงตู้ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว หงหงก็กำลังจะเข้ามอปลาย......”
วันนั้นที่เซ็นสัญญากับเซี่ยเชาฉวิน หล่อนก็ช่วยเรื่องครอบครัวของเธอให้เรียบร้อยแล้ว
หล่อนให้ครอบครัวตู้มาเซ็นสัญญาข้อตกลง ว่าทุกๆ เดือนจะมีเงินค่าใช้จ่ายให้ใช้อย่างไม่ขัดสน แต่ข้อแลกเปลี่ยนก็คือ ห้ามครอบครัวตู้พูดหรือทำอะไรที่ทำให้เจียงเซ่อเดือดร้อนหรือเด็ดขาด และห้ามไปโพทะนาว่าตัวเองสามารถให้สัมภาษณ์อะไรที่เกี่ยวกับเจียงเซ่อได้เด็ดขาด
เพราะว่าข้อเสนอที่เซี่ยเชาฉวินมีให้มันดีเลิศเหลือเกิน ครอบครัวตู้จึงยอมเซ็นสัญญาลงไปอย่างยินดีปรีดา ดังนั้นจนมาถึงตอนนี้ เพราะกลัวว่าถ้าไปทำอะไรให้เจียงเซ่อแล้ว เงินหลักที่ได้ในทุกๆ เดือนก็จะหายไปในทันที ครึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา โจวฮุ่ยจึงไม่ได้โทรไปหาเจียงเซ่อเลยสักสายเดียว
และแน่นอนว่าเงินก้อนที่ให้กับครอบครัวตู้ในทุกๆ เดือน ช่วงแรกก็จะเป็นส่วนที่ทางบริษัทออกไปให้ก่อน แต่เจียงเซ่อก็ต้องใช้คืนในภายหลังอยู่ดี