webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

210

บทที่ 210 ชื่นชม

เจียงเซ่อไม่ได้เพียงแค่จับผมแล้วทัดไปไว้หลังหู แต่เธอเสยตั้งแต่บริเวณหน้าผากขึ้นไป โชว์หน้าผากมนสวยของตัวเอง ตอนที่เส้นผมมันถูกรวบไปด้านหลัง เฉินฟางหยวนก็รีบกดชัตเตอร์ถ่ายท่วงท่าของเธอในตอนนั้นทันที

ในรูปเจียงเซ่อไม่ได้ยิ้มกว้างอะไรนัก แต่กลับให้คนมองรู้สึกว่าเธอกำลังเขินอายและยิ้มหวานสุดๆ ราวกับลูกท้อที่ยังไม่สุก ลูกท้อที่ยังไม่ได้สุกจนช้ำน้ำมากเกินไป มันเป็นกลิ่นหอมๆ ที่เอ่อล่นขึ้นมาแตะจมูก

เฉินฟางหงกดถ่ายลงไปรูปหนึ่ง ท่าทางพอใจเป็นอย่างมาก เขาถือกล้องไปให้ Loris ดู ทั้งสองพูดคุยกันนิดหน่อย เฉินฟางหยวนก็บอกให้เจียงเซ่อไปเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตตัวแรกที่ใส่ และกลับมาถ่ายต่อ

ครั้งนี้เก้าอี้ถูกยกออกไปแล้ว กระดุมเสื้อเชิ้ตไม่ได้ถูกติดเอาไว้ทุกเม็ด แต่ได้เพิ่มเป็นเข็มขัดรัดเอวมาเส้นหนึ่ง แต่พอเฉินฟางหยวนถ่ายได้ไม่กี่รูป เขาก็เดินไปแอบคุยกับ Loris อีกครู่หนึ่ง และสั่งให้เปลี่ยนรองเท้าส้นเข็มของเจียงเซ่อ ให้กลายเป็นรองเท้าผ้าใบสีทองเข้มแทนเสียอย่างนั้น เข็มขัดที่รัดอยู่ตรงเอวก็โดนสั่งให้แกะออก และบอกให้ปลดกระดุมเสื้ออกเพิ่มด้วย ชายเสื้อกล้ามสีขาวถูกยัดใส่ไปในกางเกง เฉินฟางหยวนคิดอะไรอีกนิดหน่อย ก่อนจะสั่งเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้กลายเป็นกำแพงอิฐแบบย้อนยุคอีกด้วย พอเจียงเซ่อปรับเปลี่ยนลุคออกมาแล้ว ความรู้สึกตอนที่มองเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ลุคเธอเปลี่ยนกลายเป็นสาวเท่ไปเลย

แต่แค่เฉพาะการถ่ายเซตของกางเกงยีนส์แบบธรรมดาเซตนี้ เจียงเซ่อก็ต้องให้เวลาไปทั้งหมดของช่วงเช้า ดีที่สินค้าที่เอามามีไม่มาก ช่วงบ่ายยังมีถ่ายต่อ เพราะว่าทางทีมงานได้สั่งแต่ข้าวกล่องมา เจียงเซ่อเองก็ไม่กล้าที่จะทานอะไรมาก เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อการถ่ายแบบ เลยเลือกกินแต่พวกผลไม้ง่ายๆ จากนั้นก็ดื่มน้ำตาม ได้พักอยู่พักหนึ่งก็ต้องเริ่มถ่ายต่อแล้ว

ช่วงบ่ายนี้จะเป็นสไตล์ลายปัก คนของ Adeele เข้ามาคุยกับเธอเกี่ยวกับความนิยมของปีนี้ กางยีนส์ของ Adeele ตัวนี้ไม่ได้ปักเป็นลายดอกไม้อย่างที่ยีนส์หลายๆ แบรนด์ชอบทำกัน แต่พวกเขาเลือกที่จะปักเป็นลายของสัตว์แทน

แต่สัตว์ที่พวกเขาเลือกให้เป็นจุดเด่นก็ดูเป็นตัวที่ทุกคนต่างก็ให้ความแปลกใจอย่างงู หลายเส้นสีสันของเส้นไหมที่ถูกปักลงไปให้เป็นงูตัวหนึ่งกำลังขดเคี้ยวนั่นดูมีชีวิตชีวาราวกับของจริงเป็นอย่างมาก มันเด่นหนาอยู่ตรงกระเป๋าด้านหลังของกางเกง แต่หัวของงูมันขดงออกมานอกกระเป๋ากางเกง มันเงยหน้าขึ้นหาดอกกุหลาบด้านบน มันดูสง่าและโดดเด่นมากๆ

กางเกงตัวนี้ยังคงใส่คู่ตัวเดิมกับเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่ครั้งนี้เฉินฟางหยวนไม่ได้สั่งให้พับแขนเสื้อขึ้นแล้ว

แต่ทั้งๆ ที่ก็พยายามดึงรายละเอียดออกมาแล้ว ถึงจะบอกว่าให้ความสำคัญกับรูปร่างของเจียงเซ่อและเน้นว่าให้เห็นทุกๆ ด้านของตัวกางเกงยีนส์ แต่มันก็ยังขาดความเป็นธรรมชาติอยู่

เขาสั่งให้เจียงเซ่อหันหลังให้กับกล้อง แล้วให้เอียงหน้ากลับมายิ้ม มือข้างหนึ่งล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง

พอทำท่าทางแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้ชายเสื้อเชิ้ตมันเลิกขึ้นไป ทำให้ได้เห็นลายปักของงูตัวนั้นที่กำลังชูคอขึ้นหาดอกกุหลาบ

กางเกงที่สีสีสันฉูดฉาด กับเสื้อเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่าย เหมือนเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุด ยิ่งบวกเข้ากับสะโพกที่แสนอวบอิ่มแบบนั้นแล้ว เจียงเซ่อยิ้มขึ้นอ่อนๆ เผยใบหน้าออกมาให้เห็นเพียงครึ่ง เธอสวยมาก แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนความงดงามและโดดเด่นของกางเกงแต่อย่างใด เซตทั้งสองรูปที่ได้ถ่ายไปนั้น ทำให้ Loris ต้องปรบมือชมขึ้นมาอย่างพอใจ และรู้สึกมั่นใจกับงานโฆษณาสินค้าในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

ใช้เวลาถ่ายไปทั้งหมดสองวัน การร่วมมือกันระหว่างเจียงเซ่อและเฉินฟางหยวนก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายต่างมีความประทับใจซึ่งกันและกัน

สำหรับเจียงเซ่อแล้ว ถึงเฉินฟางหยวนจะเป็นคนที่ควบคุมกล้องทุกอย่าง แต่เจียงเซ่อเองก็เรียนรู้ได้เร็วไม่น้อย เพราะผลงานรูปที่ถ่ายออกมามันให้ความรู้สึกแตกต่างกันกับตอนที่ถ่ายแบบนิตยสารกับมาร์คในตอนนั้น เธอในรูปดูมีหลากหลายลุคมากขึ้น หลังจากที่ถ่ายเสร็จแล้ว โม่อานฉีก็ได้ให้ช่องทางติดต่อเอาไว้ให้

เฉินฟางหยวนเองก็รู้สึกประทับใจในตัวเจียงเซ่อไม่น้อย และจุดแรกที่ทำให้เขาประทับใจก็คงจะเป็นนิสัยของเธอละนะ

ภายนอกเธอดูเป็นคนที่หยิ่งพอตัว แต่พอได้ร่วมงานกันจริงๆ แล้วกลับพบว่าเธอไม่ได้หยิ่งไม่ได้โอ้อวดทำเก่งเลยสักนิด ถึงจะสั่งให้เธอไปเปลี่ยนชุด ใช้เวลาถ่ายตั้งสองวัน แต่เพื่อที่จะให้ได้ภาพที่สวยที่สุดออกมา นอกจากเรื่องกางเกงที่ต้องเป็นตัวเด่นแล้ว ทั้งทรงผม เสื้อที่จะใส่คู่กัน รองเท้ายันเครื่องประดับต่างๆเจียงเซ่อก็โดนเรียกให้เปลี่ยนไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ

แต่ทุกครั้งที่เฉินฟางหยวนเรียกให้เธอไปเปลี่ยน เธอก็เดินตามหลิวลี่จื้อไปอย่างไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด

อย่างที่สองก็คือเธอถ่ายรูปออกมาได้สวยมากๆ รูปที่ต้องแสดงอารมณ์ออกมาก็ไม่ต้องให้เฉินฟางหยวนต้องพูดต้องเตือนอะไร อยากมากก็แค่สองครั้ง แค่นั้นเธอก็จับอารมณ์และสื่อออกมาได้แล้ว

คนที่มีสติมีความสามารถ มีรูปร่างหน้าตาที่ดีแบบนี้ ดาราที่ไม่แสดงความหงุดหงิดออกมาระหว่างการทำงาน เป็นสิ่งที่เฉินฟางหยวนรักมากที่สุดแล้ว

ดังนั้นตอนที่โม่อานฉีได้ขอแลกเปลี่ยนการติดต่อกับเขา เพื่อที่จะได้มีโอกาสร่วมมือกันอีก กับเฉินฟางหยวนที่ปกตินิสัยก็ไม่ได้เป็นคนอารมณ์ดีอะไรนักในวงการก็ตอบรับการติดต่อออกไปอย่างยินดีทันที

กางเกงยีนส์ เสื้อผ้าและรองเท้าทั้งหลายที่ทาง Adeele เอามาให้เจียงเซ่อถ่ายโฆษณาเหล่านั้นต่างก็ยกให้เจียงเซ่อหมดเลยด้วย นอกจากนี้แล้ว เพราะว่าครั้งนี้เจียงเซ่อทำได้ดีมากจริงๆ แถมยังสามารถทำให้ผู้จัดการดูแล แบรนด์ Adeele ของหัวเซี่ยอย่าง Loris ประทับใจได้ ทาง Adeele ก็ยังได้ส่งกางเกงและเสื้อผ้าอีกชุดใหญ่เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนอีกด้วย และจากที่ Loris ได้สังเกตการถ่ายแบบมาทั้งสองวันแล้ว ถ้าหากว่าได้ปล่อยโฆษณาออกไปแล้วได้ผลตอบรับที่ดี เขาก็จะช่วยติดต่อไปยังบริษัทแม่ของ Adeele ที่อยู่ในอิตาลี ว่าขอให้เพิ่มระยะเวลาของสัญญาที่จะได้ร่วมมือกับเจียงเซ่อ อีกทั้งจะขอให้เพิ่มสินค้ายีนส์อย่างอีกนอกจากางเกงยีนส์อีกด้วย

นี่ถือว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย แต่ทว่าหลังจากที่ได้รับของที่ Adeele ส่งมาให้แล้ว เหมือนปัญหามันก็เกิดขึ้นทันที

เพราะห้องสองโซนที่โม่อานฉีเคยเช่าไว้ให้เจียงเซ่อในจิ่งไท่มันเริ่มที่ใส่ของของเจียงเซ่อไม่พอแล้ว อีกทั้งที่งานของเจียงเซ่อมันก็เริ่มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ โม่อานฉีก็เลยไม่มีเวลาว่างพอ และหล่อนเองก็ต้องคอบดึงแบรนด์ต่างๆ ให้มาสนับสนุนด้วย ตอนนี้ห้องมันก็เลยใส่ของไม่พอแล้ว

แต่งานของเจียงเซ่อก็ยังต้องมีต่อไปเรื่อยๆ ชื่อเสียงก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน และแน่นอนว่าเหล่าแบรนด์เนมต่างก็จะเริ่มเข้ามากันมากขึ้น

เซี่ยเชาฉวินเองก็ต้องคอยสรรหาสินค้าที่พอจะให้เธอเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ได้ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้นจะได้ใช้หรือไม่ก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไงก็จะหยุดการร่วมมือกับกลุ่มแบรนด์เนมไม่ได้ ดังนั้นการเปลี่ยนห้องใหม่เป็นอะไรที่ดูเข้าท่าที่สุดแล้ว

พอเซี่ยเชาฉวินกลับมาจากอิตาลีแล้ว โม่อานฉีก็ได้เสนอเรื่องนี้กับหล่อนทันที

ในห้องประชุมเซี่ยเชาฉวินกำลังนั่งจับปากกา และเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ

พอเธอกลับมาถึงก็รีบนัดเจียงเซ่อออกมาเจอทันที หล่อนทำงานโดยที่แทบไม่ได้หยุดพักมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ใบหน้าหล่อนกลับไม่เผยความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นเลยสักนิด ราวกับว่าหล่อนเปล่งประกายและมีกำลังอยู่เสมอๆ

“สัญญาของ Adeele ไปถึงปลายทางแล้ว ส่วนค่าตอบแทนของกังหัวก็คงจะได้ประมานเดือนกรกฎาคม”

หล่อนผินหน้าไปมองเจียงเซ่อ ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อได้เซ็นสัญญาเข้าซื่อจี้หยินเหอได้ไม่กี่เดือนก่อน ความสามารถของเธอก็ค่อยๆ เผยออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน ต้นทุนต่างๆ ที่หล่นมาถึงมือเธอ และผลลัพธ์คำตอบที่ได้ออกมานั้นก็ทำให้หลายๆ คนพอใจไม่น้อย

“เซ่อเซ่อ เธอเคยคิดถึงเรื่อง เงินที่จะต้องใช้คืนในปีนี้ไหม?”

ดารามีรายได้สูง แต่ภาษีก็ต้องจ่ายเยอะขึ้นจนทำให้รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน

สำหรับดาราที่ต้องตกอยู่ในสถานะภาพแบบนี้แล้ว ต่างก็ต้องหาวิธีแก้ไขโดยหานักบัญชีที่จะมาช่วยเลี่ยงภาษีอย่างถูกต้องเอาไว้

พอเซี่ยเชาฉวินพูดขึ้นมาอย่างนั้น ถึงโม่อานฉีเองจะรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมา

ตอนที่หล่อนพูดว่าห้องมันเริ่มที่จะเล็กเกินที่จะใส่ของ มันเริ่มที่จะใส่ของแบรนด์เสื้อผ้า รองเท้าต่างๆ ที่ส่งมาสนับสนุนไม่พอแล้วเซี่ยเชาฉวินก็พูดถึงเรื่องภาษีขึ้นมาทันที พูดแบบนี้แล้ว หล่อนก็ไม่กล้าจะเปิดปากพูดอะไรอีก แต่เจียงเซ่อกลับตาเป็นประกายขึ้นมา และพอจะเข้าใจความหมายของเซี่ยเชาฉวินดี

“พี่เชาฉวินหมายถึง บริจาคงั้นหรือคะ?”

พอเจียงเซ่อพูดจบ เซี่ยเชาฉวินก็เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่ค่อยได้เห็นออกมาทันที