webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

194

บทที่ 194 หนังเรื่องใหม่

“เมื่อกี้ อาอี้บอกว่าเฝิงหนานติดเงินเขาอยู่สิบกว่าล้าน เธอรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เฝิงจงเหลียงเปลี่ยนเรื่อง จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาแบบนั้น

เขาค้ำไม้เท้าเอาไว้ เหมือนอยากจะลุกขึ้น เจียงเซ่อจึงรีบเข้าไปพยุงเขา ครั้งนี้เพราะเฝิงจงเหลียงกำลังรอคำตอบจากเจียงเซ่อ เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“คุณปู่จะคืนแทนเธอหรือคะ?”

สำหรับตระกูลเฝิงแล้ว จะกี่สิบล้านก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร แต่ถ้าเฝิงจงเหลียงรู้ว่า ‘เฝิงหนาน’ ไปติดเงินสิบกว่าล้านนี่ได้ยังไง เขาจะต้องคิดมากแน่ๆ

ก็อย่างที่คุณปู่เผยพูดเอาไว้ ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กๆ ก็ต้องให้ลูกหลานไปคุยไปตกลงกันเอง ถ้าหากว่าเฝิงจงเหลียงคิดที่จะคืนเงินแทน ‘เฝิงหนาน’ ละก็ ไม่ต้องคิดเลยว่าเผยอี้จะรับไม่รับ เพราะถ้าเขารับเอาไว้แล้วละก็ เรื่องมันก็จะต้องใหญ่ขึ้นแน่ๆ ยิ่งเฝิงจงเหลียงมีนิสัยแบบนี้แล้วด้วย ต่อไปเขาอาจจะไม่มีหน้ามาที่บ้านตระกูลเผยอีกเลยก็ได้

และนี่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เผยอี้ต้องการตั้งแต่แรก ที่เขาพูดขึ้นมาว่า ‘เฝิงหนาน’ ติดเงินเขาอยู่ เขาก็แค่อยากจะเตือนเฝิงจงเหลียงให้รู้ว่า ‘เฝิงหนาน’ ได้เปลี่ยนไปแล้ว และอยากจะบอกให้เฝิงจงเหลียงระวัง และช่วยตักเตือน ‘เฝิงหนาน’ เอาไว้

“ผู้ใหญ่ของเธอเคยสอนเอาไว้หรือเปล่า ว่า ถ้าจะสร้างเรื่องอะไรขึ้น ที่บ้านก็ยังมีผู้ใหญ่อยู่?”

เฝิงจงเหลียงกลั้นความปวดเอาไว้ เดินได้สองเก้าก็หันหน้าไปมองเจียงเซ่อ

คำพูดนั้นของเขา เจียงเซ่อเข้าใจมันดี

“ผู้ใหญ่สอนหนูว่า ให้รู้จักตัวเอง”

และมันก็เป็นคำพูดที่เฝิงจงเหลียงเคยพูดเอาไว้กับเธอนั่นเอง จะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องรู้จักประมานกำลังตน ต้องรู้ว่ากำลังตัวเองอยู่แค่ไหน รู้ว่าลิมิตรเงินทองตัวเองอยู่ตรงไหน ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือต้องรู้จักตัวเอง

รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ ก็ทำอย่างนั้น ต้องรู้ว่าตัวเองควรพูดอย่างไร เข้าใจว่าความสามารถของตัวเองจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบไหน ถึงจะรู้ว่าตัวเองสามารถก่อเรื่องอะไรได้บ้าง นี่คือความหมายของเฝิงจงเหลียง

ถึงฟังแล้วดูทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าปฏิบัติจริงๆ ก็ยากเหมือนกัน

เฝิงจงเหลียงหันไปมองเจียงเซ่ออย่างแปลกใจ แล้วพยักหน้า

“คำพูดนั้นก็จริง”

น้ำเสียงของเขาอ่อนลง “คนรวยรู้จักตัวเองดี*คนรวยก็มีเรื่องที่ยากลำบาก หลายๆ คนคงเคยได้ยินประโยคนี้ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจความหมายของมันจริงๆ”

คุยกันอยู่หลายประโยค เจียงเซ่อก็ได้พยุงเขากลับเข้ามาในบ้าน คุณปู่เผยน่าจะนั่งรออยู่ในห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าเฝิงจงเหลียงใช้ข้ออ้างอะไรถึงได้ออกมาได้

เจียงเซ่อมองเขาค่อยๆ กะเผลกขาค้ำไม้เท้าขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ทุกก้าวที่เขาเดินเหมือนจะกินแรงเขาไปมากพอสมควร แต่เขาก็ไม่หยุดหายใจเลยสักครั้ง

เขาเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเด็กสาวที่มองมา จนกระทั่งเข้าก้าวมาถึงชั้นบน จนเงาของเขาลับตาเจียงเซ่อไป

หลังจากที่กลับมาจากบ้านตระกูลเผยมันก็ดึกมากแล้ว เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไปที่ซื่อจี้หยินเหอ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ที่มณฑลฟูคิดเอาไว้ว่าถ้ากลับมาตี้ตูแล้วจะลองโทรหาไต้เจีย ตอนนี้ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อลองกดเบอร์โทรหาหล่อนดู พอกดโทรออกไปแล้ว กะว่าจะลองนัดเธออกมาทานข้าวด้วยกันสักมื้อเสียหน่อย แต่แทนที่จะเป็นไต้เจียที่รับสาย กลับเป็นเสียงปิดเครื่องแทนเสียอย่างนั้น

เจียงเซ่อชะงักไป เลยคิดว่ามันอาจจะดึกแล้วก็ได้ ไต้เจียเองก็คงหลับแล้ว คงไม่สะดวกที่จะรับสายเธอ เธอเลยไม่ได้ใส่ใจนัก

แต่พอวันถัดมา เหมือนว่าไต้เจียก็ยังปิดมือถืออยู่เหมือนเดิม เธอรู้สึกว่านี้มันแปลกไปหน่อยแล้ว

ถ้าไต้เจียจะเข้าวงการจริงๆ เบอร์มือถือจะเปลี่ยนไม่ได้เด็ดขาด เพราะการที่ทิ้งเบอร์เอาไว้ให้ติดต่อแบบนั้นแล้ว ต่อไปก็ยังมีโอกาสดีๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนเบอร์แบบนี้ ถ้าเกิดมีคนคิดอยากจะติดต่อหล่อน ก็คงจะหาตัวหล่อนไม่ได้อีก

เหตุผลแบบนี้ไต้เจียเองกน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว การที่หล่อนปิดมือถือแบบนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวหล่อนหรือเปล่า

เจียงเซ่อคิดว่าต้องลองสอบถามดูหน่อยแล้ว

เธอวางสายไป เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากะว่าจะเข้าไปที่บริษัทซื่อจี้หยินเหอเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากบ้าน เซี่ยเชาฉวินก็โทรมาพอดี พอรับสายปุ๊บประโยคธรรมดาๆ ก็กรอกกลับมาพอดี

“อยู่ไหน?”

“กำลังจะเข้าบริษัทค่ะ”

เผยอี้ถือกุญแจออกมาพอดี และยืนรอเธออยู่ที่หน้าประตู มองเธอก้มตัวเองเปลี่ยนรองเท้า มือถือถูกหนีบเอาไว้ระหว่างไหล่และหู กระเป๋าใบเล็กถูกสะพายไว้บนไหล่ เขาเลยเดินเข้าไปถือมือถือแนบหูให้เธอแทน มืออีกข้างก็พยุงเธอเอาไว้

“ประมาณอีกสามชั่วโมงฉันจะไปถึงที่บริษัท ไปถึงแล้วค่อยคุยกันอีกที”

เจียงเซ่อนึกไม่ถึงว่าเธอจะอยู่ในตี้ตูในเวลานี้ ตอนนี้เธอควรจะอยู่ที่ฮ่องกงไม่ใช่หรือ

ทุกๆ ปีเธอก็ยุ่งอยู่แต่กับงาน เวลาส่วนมากก็หมดไปกับการบินเช้าบินออกประเทศ น้อยครั้งที่จะกลับฮ่องกง แต่ก่อนที่เป็นเฝิงหนานก็เคยได้ยินคุณแม่เซี่ยบ่นตัดพ้อบ่อยๆ ว่าเวลาที่เซี่ยเชาฉวินอยู่กับหล่อนมันน้อยเหลือเกิน

เมื่อวานที่เซี่ยเชาฉวินโทรมาหาเธอก็บอกว่ามีเรื่องอะไรเอาไว้หล่อนกลับมาตี้ตูก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจียงเซ่อก็คิดว่าน่าจะอีกสักหนึ่งอาทิตย์ถึงจะได้เจอกันเสียอีก แต่หล่อนบินมาจากฮ่องกงตั้งแต่วันนี้แล้ว

พอเธอรับสายจากเซี่ยเชาฉวินเรียบร้อยแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีเวลาว่างเสียแล้ว เผยอี้เองก็นัดพวกเนี่ยต้านเอาไว้ เลยจะไปส่งเธอที่บริษัทก่อน

พนักงานในบริษัทที่ยังไม่ได้หยุดงานก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยเชาฉวินตั้งแต่เช้าแล้ว เธอรับบทหนังเรื่องใหม่ที่จะต้องถ่ายมา ใช้เวลาที่เซี่ยเชาฉวินยังไม่มาถึงเปิดอ่านคร่าวๆ

เหมือนว่าหนังเรื่องใหม่ของจ้าวร่างเรื่องนี้จะฉีกจากแนวหนังรักที่เขาเคยทำมา เหมือนเรื่องนี้จะเปลี่ยนมาเป็นหนังรักวัยรุ่นใสๆ แทน

ชื่อเรื่องคือ ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ เจียงเซ่อเคยปฏิเสธว่าจะรับเล่นหนังรักสองเรื่องก่อนที่เซี่ยเชาฉวินเอามาให้แล้ว แถมหนึ่งในสองเรื่องนั้นก็ยังมีหนังรักที่ได้ผู้กำกับที่มีความเชี่ยวชาญอย่างกู้เจียเอ่อด้วย ดังนั้นเซี่ยเชาฉวินก็น่าจะเข้าใจความหมายของเธอแล้วสิ

แต่ถึงเซี่ยเชาฉวินจะรู้อยู่แล้ว แต่การที่เธอรับหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ มาให้แบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ

ในห้องสำนักงานตอนนี้เงียบไร้เสียงใดๆ มีแค่เพียงเสียงเปิดหน้ากระดาษที่เจียงเซ่อเปิดไปเรื่อยๆ จนเธออ่านมันจนถึงตอนจบ ประตูห้องถึงถูกเปิดเข้ามา เสียงฝีเท้าของคนๆ หนึ่งดังขึ้น พร้อมๆ กับเจียงเซ่อที่เงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าเป็นเซี่ยเชาฉวินที่เดินถือเสื้อคลุมเข้ามาในห้อง

หล่อนลงจากเครื่องปุ๊บก็คงจะรีบตรงมาที่นี่เลย แต่บนใบหน้าของเธอไม่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าเลยสักนิดเดียว พอเดินเข้ามาก็โยนเสื้อนอกลงบนโซฟา จากนั้นก็นั่งลงตาม แล้วหันไปสั่งกับผู้ช่วยของตัวเอง

“ขอกาแฟแก้วหนึ่ง”

หล่อนสวมเสื้อไหมพรมสีชมพูดอกบัวส่วนท่อนล่างสวมเป็นกางเกงขาเดฟสีน้ำเงินเข้มเข้ากัน เรือนผมสั้นเหมือนว่าจะยังไม่ทันได้แต่งทรงดีนัก แต่ก็ยังดูดีอยู่เหมือนเดิม

“ดูบทหนังแล้วใช่ไหม”

เจียงเซ่อดูบทหนังตรงหน้าคร่าวๆ แล้ว พอเซี่ยเชาฉวินถามออกมาแบบนั้น แน่นอนว่าไม่ได้แค่ถามเฉยๆ ว่าเธอดูไปแล้วหรือยัง แต่ถามถึงความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ต่างหาก

“ดูแล้วค่ะ ก็ดีเหมือนกัน”

หนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ ไม่ได้เป็นหนังรักที่ลึกซึ้งอะไรนัก แต่แนวหนังเป็นการเล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันเริ่มต้นจากฉากที่นางเอกอยู่ในงานศพของแฟนหนุ่มที่ได้เลิกรากันไปแล้ว

นางเอกที่ชื่อโจวเหวย และพระเอกที่ชื่อจางเจินคบกันมาถึงหกปี ความรู้สึกที่มีต่อกันเริ่มที่จะกลายเป็นความน่าเบื่อ

โจวเหวยเป็นคนปากแข็งแต่ขี้ใจอ่อน จางเจินมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ทุ่มแรงใจทั้งหมดให้กับงาน

เมื่อความรักของทั้งสองเดินมาถึงปีที่เจ็ด ชีวิตคู่ของทั้งสองก็เริ่มน่าอึดอัดมากขึ้น ราวกับถูกคลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้าใส่

เมื่อเวลามันยาวนานขึ้น จางเจินก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับงาน ลืมไปแล้วซึ่งความหอมหวานที่เคยมีให้กัน เขาจำวันเกิดของแฟนสาวไม่ได้ ลืมวันวานและความทรงจำที่เคยมีให้กัน ลืมวันครบรอบ ลืมนัดของแฟนสาวในวันนั้น เขาไม่พูดอะไรสักคำ อีกทั้งไม่มีแม้แต่คำอธิบายใดๆ เมื่อนานเข้า โจวเหวยทนชีวิตแบบนี้ไม่ไหว เลยขอเลิกกับเขา

แต่ยังไม่ทันที่จะได้เลิกกันจริงๆ ด้วยซ้ำ จางเจินก็ได้เสียชีวิตไปเสียก่อน