webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

187

บทที่ 187 ถูกลงโทษ

“นังนั่นมันยังไม่ยอมดีๆ อีกรึ?”

คนที่แสดงเป็นแม่เล้าพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจนัก น้ำเสียงของเธอแหลมสูง พอเจียงเซ่อที่ถูกมัดอยู่ในห้องขังได้ยินเสียงนั่นแล้ว ร่างทั้งร่างก็สั่นไหวไป

ประตูกระแทกดังลั่น ข้างนอกนั่นมีแสงที่อ่อนแรงสาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย โต้วโค่วที่อยู่ในห้องราวกับว่ากำลังจะไม่มีสติเต็มทีแล้ว

“สุราคารวะไม่ดื่ม อยากจะดื่มสุราลงโทษใช่ไหม” (ความหมายคือ ไม่อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง )

โต้วโค่วถูกคนปลุกให้ตื่น ถึงตรงหน้าจะมีอันตรายมาคุกคาม แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะก้มหน้าหนี

พอพูดบทจบ หลินซีเหวินก็สั่งหยุด เจียงเซ่อลุกขึ้นยืน โม่อานฉีเองก็รีบเดินเข้าไปปลดเชือกที่มัดและดึงแขนเธอเอาไว้ออก

หลังจากนี้จะเป็นฉากที่เธอจะต้องโดนเฆี่ยนแล้ว พอเตรียมตัวอะไรเสร็จเรียบร้อย นักแสดงที่ถือแส้มาก็มาอยู่ประจำที่พร้อมถ่าย

พอกล้องเริ่มจับภาพ พูดบทจบ นักแสดงชายที่ถือแส้ก็เริ่มตีลงบทพื้นที่ว่างๆ ใกล้ๆ เธอทันที

เสียงแส้กระทบกับกับพื้นดังสนั่น ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แถมตำแหน่งที่ตีก็ไม่ใช่ตัวเธอจริงๆด้วยซ้ำ แต่แค่ถ่ายรอบแรก เจียงเซ่อก็โดนหลินซีเหวินสั่งให้หยุดแล้ว

“Cut” เขาโบกมือไปมา แล้วมองไปที่กล้อง

“ระวังสีหน้าอารมณ์เอาไว้ด้วย เอาใหม่อีกรอบ”

ฉากเมื่อกี้ที่ถ่ายไปคือ ‘NG’ ดังนั้นจึงต้องถ่ายใหม่ เจียงเซ่อรีบปรับอารมณ์ตัวเอง นักแสดงที่แสดงเป็นคนเฆี่ยนเริ่มตวัดแส้อีกครั้ง เธอนึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนที่ได้แสดงหนังเรื่องแรกอย่าง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ สีหน้าเจ็บปวดในตอนนั้น ต้องกัดฟันและกัดริมฝีปากเอาไว้ ร่างกายต้องกระตุกเล็กน้อย และส่งเสียงหอบหายใจออกมาดังๆ

หลินซีเหวินขมวดคิ้ว เหมือนว่าเขาจะยังไม่พอใจนัก ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เอาใหม่”

เจียงเซ่อยิ้มขื่น ตอนนี้เริ่มถ่ายใหม่มาสามครั้งแล้ว แต่หลินซีเหวินก็ยังไม่ให้ผ่านเสียที โหวซีหลิ่งหยิบบทขึ้นมาดู จากนั้นก็เดินไปอธิบายให้เจียงเซ่อได้เข้าใจมากขึ้นอีก

แม่เล้าสั่งให้โต้วโค่วไปต้อนรับแขกแต่เธอไม่ทำ สุดท้ายเธอก็เลยโดนกักขัง โดนอดน้ำอดอาหาร และตอนนี้เธอกำลังจะโดนเฆี่ยนตี เจียงเซ่อได้ขัดขืนเป็นครั้งสุดท้าย “แววตาจะต้องสื่อถึงความโกรธ และแฝงไปด้วยความเจ็บปวด”

ความเจ็บปวดในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับความเจ็บปวดในครั้งก่อนๆ นอกจากที่เธอจะต้องแสดงความโกรธทางสีหน้าแล้ว ร่างกายของเธอก็จะต้องแสดงให้เห็นด้วย

“นอกจากหนูจะต้องแสดงความเจ็บปวดออกมาแล้ว เสี่ยวเจียง หนูต้องคอยดูตอนที่แส้มันฟาดลงมาด้วยนะ”

โหวซีหลิ่งเตือนเธอ เพราะตอนที่ถ่ายมันไม่สามารถถ่ายตัวคนแสดงตอนที่โดนเฆี่ยนได้จริงๆ ไอ้ความเจ็บปวดนั่นจะต้องแสดงออกมาตอนไหน ก็ต้องพึ่งให้เจียงเซ่อคอยสังเกตเองแล้ว

ยิ่งเธอแสดงดีเท่าไหร่ การตัดต่อเรียบเรียงหลังจากนี้ มันก็จะยิ่งสมจริงสมจังมากขึ้น และมันก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเธอเองด้วย

เจียงเซ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตรงนี้นี่เองที่เป็นปัญหา นี่คงเป็นจุดที่หลินซีเหวินไม่ยอมให้เธอผ่านสักทีสินะ

“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”เธอพยักหน้า “ตอนที่แส้ฟาดลงมาที่ตัว จะต้องแสดงความรู้สึกที่เส้นประสาทส่งผ่านมาถึงสองชนิด อย่างแรกที่ต้องรู้สึกคือ A-fiber คือจะต้องรู้สึกถึงที่แส้ฟาดลงมาโดนผิวหนัง ความรู้สึกนั้นจะต้องมาเร็ว และต้องไปเร็วเหมือนกัน จากนั้นถึงจะค่อยเป็นความรู้สึกเจ็บอย่าง C-fiber ที่ตามมา”

ที่สามารถรู้ถึงหลักการข้อนี้ได้ เป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมานานของโหวซีหลิ่ง นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากอายุที่ผ่านอะไรมามากมาย แต่เจียงเซ่อกลับสามารถใช้สิ่งที่เรียนรู้มาบรรยายออกมาย่อๆ โดยใช้ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ได้ ทำให้โหวซีหลิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียว

โหวซีหลิ่งยิ้มขึ้นมา “คืออย่างนี้นะ พวกวิชาประสาทพวกนี้......”

เขาเรียนพวกศาสตร์ที่นักเขียนเขาเรียนกัน พอได้ยินเจียงเซ่อพูดถึงเส้นประสาทแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา

“วันหลังหนูก็สอนฉันหน่อยนะ”

เขายิ้มอย่างเบิกบาน การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เขาเป็นอาจารย์ของเจียงเซ่อ สามารถสอนและชี้นำอะไรหลายๆ อย่างให้เธอได้ แต่ในเรื่องของการเรียนรู้ โหวซีหลิ่งก็ไม่รังเกียจถ้าจะมีใครมาเป็นอาจารย์เขา

หลินซีเหวินที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแสดงท่าทางจนปัญญาแล้วเรียกขึ้น

“อาจารย์โหว”

“อ้อๆๆ”

โหวซีหลิ่งขานรับ พอแน่ใจแล้วว่าเจียงเซ่อเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะสื่อจริงๆ แล้ว เขาก็ทำท่าว่าโอเคแล้ว จากนั้นก็รีบเดินถือบทออกมาทันที

พอเริ่มถ่ายใหม่ในครั้งนี้ พอแส้ตีลงบทพื้น เจียงเซ่อก็เบิกตากว้าง ตอนแรกใบหน้าเธอเผยความแข็งกร้าวออกมา กระตุกร่างกายไปตามสัญชาตญาณ

ในขณะเดียวกัน เธอก็ทำท่าทางออกมาว่าเจ็บ ในขณะเดียวกันก็กระตุกไปด้วย

พอตอนนี้เริ่มรักษาความรู้สึกและลักษณะท่าทางเอาไว้ได้แล้ว เธอเริ่มกัดฟัน และพยายามหายใจออกลอดไรฟันแรงๆ หลังเอวที่อ่อนแรงเหี่ยวเฉาถูกเธอเกร็งขึ้นมาทุกครั้งที่แส้ฟาดลงมา จากนั้นเอวก็ห้อยตกกลับไปตามเดิม ร่างทั้งร่างสั่นไม่หยุด ท่าทางของเธอดูน่าเวทนาไม่น้อย

เชือกที่มัดมือห้อยตัวเธอเอาไว้ไหวไปมา เชือกที่ขึงตึงส่งเสียงออกมาเป็นบางครั้ง

“OK”

หลินซีเหวินค่อนข้างพอใจกับการแสดงของเจียงเซ่อในครั้งนี้มาก โดยเฉพาะตอนที่เธอเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่แส้ฟาดและปล่อยตัวลงไปอีกแบบนั้น ท่าทางสมจริงและมีจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดออกมา ความเจ็บจากการที่โดนเชือกมัดห้อยเอาไว้ก็แสดงออกมาได้ดีเช่นกัน และนั่นมันยิ่งทำให้การแสดงอารมณ์ของเธอยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่

ผ่านได้พักหนึ่ง สไตล์ลิสต์ก็ปรี่เข้าไปทำ ‘รอยแผล’ ที่น่ากลัวและน่าใจหาย จากนั้นก็ถ่ายฉากเฆี่ยนตีอีกนิดหน่อย และฉากๆ นี้ก็ผ่านไปได้เสียที

หลังจากที่โดนเฆี่ยนจบแล้วแม่เล้าก็สั่งให้คนปล่อยเจียงเซ่อลงมา เมื่อเชือกถูกตัดออก ตอนที่เธอล้มลงบทพื้น เธอก็ยังร้องออกมาด้วย จากนั้นก็โดนมัดนอนลงกับพื้น หลินซีเหวินเห็นแล้วว่าการแสดงที่ดีที่สุดของเจียงเซ่อในซีนนี้ไม่ใช่ที่ใบหน้าของเธอ แต่เป็นที่ตัวเธอและขาเธอที่งอขึ้นมา เขาส่งสัญญาณให้คนบังคับกล้องถ่ายเธอตั้งแต่ใบหน้าของเธอลงไปถึงปลายเท้า จากนั้นก็ตัดแค่ตรงนั้น

ตอนไปจะเป็นฉากง่ายๆ อย่างฉากโดนข่มขืนแล้ว กล้องจะต้องถ่ายเจียงเซ่อที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้น จากนั้นถึงจะค่อยแพนกล้องไปยังป่ายฉงซู

ทีมงานรีบเดินเข้าไปแก้เชือกที่มัดเจียงเซ่อเอาไว้ออก หลังจากนี้แค่ใส่เสียงพากย์ที่เป็นบทด่าของเธอก็พอแล้ว

วันนี้ช่วงเย็นๆ เจียงเซ่อก็ถ่ายหมดแล้ว ที่เหลือก็ยังมีฉากที่ต้องเล่นคุมเชิงกันระหว่างเธอกับเซียวจือที่มณฑลฟู

ฉากนี้ถือว่ากินเวลามานานพอสมควรแล้ว พอเจียงเซ่อถ่ายเสร็จ ก่อนอื่นทีมงานจะต้องถ่ายฉากที่จิ่วเจียงก่อนหนึ่งฉาก เจียงเซ่อเหลือแค่ฉากที่ต้องพูดคุยกับชิวหรูจื้อเท่านั้น

ตกดึกหน่อยก็เริ่มถ่ายซ่อมฉากของเซียวจือหนึ่งฉาก และเจียงเซ่อก็ได้รับสายจากเผยอี้พอดี

ตอนนี้ใกล้จะเข้าปีใหม่ (จีน) แล้ว แต่เธอยังถ่ายหนังอยู่นอกตี้ตูอยู่เลย ยิ่งได้เห็นสถานการณ์จริงในตอนที่เธอไปถ่ายทำแล้ว เผยอี้ก็ยิ่งรู้สึกกังวลและเป็นห่วงเธอสุดๆ

บวกกับที่เธอเพิ่งจะหายจากไข้หวัดอีก เผยอี้จึงอดไม่ได้ที่จะคอยเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลา

แต่ว่าตรุษจีนใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ตอนนี้ที่บ้านของเผยอี้เริ่มมีญาติพ่อแม่พี่น้องแห่กันมาเรื่อยๆ กิจกรรมก็เยอะแยะไปหมด ต่อไปเขาจะต้องเข้าสู่กรมทหารแล้ว ตระกูลเผยเองก็ตั้งใจที่จะปูทางให้เขา

ปลายสายอย่างเผยอี้เล่าให้ฟังว่าเขาต้องเจอหน้าคนทุกวัน ต้องพูดคุย ต้องทำนู่นทำนี่ แถมยังโดนคนถามคำถามเต็มไปหมด แถมยังมีถามเจียงเซ่อกลับว่าเธอจะกลับตี้ตูเมื่อไหร่

“คุณแม่ผมถามขึ้นมาว่าใครเป็นคนให้ของขวัญ ผมบอกว่าพี่ให้มา” จากนั้นเขาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “เซ่อเซ่อ อีกนานไหมกว่าพี่จะกลับมา?”

ครั้งนี้เจียงเซ่อต้องกลับพร้อมๆ กับทีมงาน ดังนั้นจึงต้องรอให้ถ่ายฉากที่จิ่วเจียงเสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะได้กลับตี้ตู ดังนั้นคิวถ่ายในมณฑลฟูของเธอหมดแล้ว แต่เธอยังไปไหนไม่ได้นั่นเอง พอลองๆ คำนวณเวลาดูแล้ว มันก็ใกล้จะตรุษจีนแล้วจริงๆ นั่นแหละนะ เผยอี้ถามขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“ปีนี้ผมอยากจะพาพี่มาฉลองตรุษจีนด้วยกันที่บ้าน”

ในใจของเขา กับความรู้สึกที่มีในตอนนี้มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีข้อสงสัยอะไรอีกต่อไป เขาพาเจียงเซ่อกลับไป ไม่ใช่ว่าจะเป็นการพิสูจน์หรือยืนยันอะไรทั้งนั้น เพราะเขาคิดมาตลอดอยู่แล้วว่าเจียงเซ่อก็คือลูกสะใภ้ของตระกูลเผย