webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

185

บทที่ 185 แลกเปลี่ยนประสบการณ์

หลินซีเหวินพยักหน้า โหวซีหลิ่งที่นั่งใส่แว่นอยู่ข้างๆ ก็หันหน้ามาหาเธอ พร้อมกับยิ้มและกวักมือเรียกเธอให้ไปหา

ตอนนี้ทั้งกองถ่ายเงียบกริบ เจียงเซ่อค่อยๆ ย่องไปหาเขา เพราะตอนนี้ชิวหรูจื้อกำลังเข้าถึงบทบาทได้อย่างดีราวกับกลืนอันจิ่วยวี่เข้าไปแล้ว เขากำลังยิ้มและแสดงคู่กับอีกคนหนึ่ง

บทหนังเจียงเซ่อได้ดูมันทั้งหมดแล้ว ในฉากๆ นี้ของ ‘The Occasion of Beiping’ อันจิ่วยวี่กำลังคิดที่จะแปรพรรคเข้าหาญี่ปุ่นกับพรรคการเมืองที่ต้องการจะปฏิวัติหัวเซี่ย

เขามีอำนาจมากในเป่ยผิง ถือว่ามีอำนาจและตำแหน่งที่สูงในกลุ่มทหารขุนศึก

ในหนัง กองทัพญี่ปุ่นตั้งใจที่จะเข้ามาบุกยึดเป่ยผิง พวกมันนำกองกำลังทหารเข้ามา ในขณะเดียวกัน กลุ่มปฏิวัติก็คิดที่จะเคลื่อนทัพเข้าตั้งที่เป่ยผิงเช่นกัน เพื่อที่จะต้านกองกำลังจากญี่ปุ่นเอาไว้

เพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มผู้รุกรานจากญี่ปุ่นแล้ว ต่อมามันก็ยังได้ใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีกด้วย ทั้งปืนใหญ่ อาวุธปืนต่างๆ ต่างก็นำมาจากเสินโจว ทั้งกองทัพรุกรานจากญี่ปุ่นและกลุ่มทหารปฏิวัติเองต่างก็แย่งกันเพื่อจะร่วมมือกับอันจิ่วยวี่

ในหนัง ชิวหรูจื้อสวมจงซานจวงสีเทาและสวมแว่น มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกข้างถือนาฬิกาพกเล่น สีหน้าและอารมณ์ดูไม่ค่อยสบายใจนัก

ในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ นี้ อันจิ่วยวี่เองก็เกิดมาในครอบครัวขุนนางผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้ ไม่ใช่โจรกบฏคดโกงทั่วไป ชาติกำเนิดของเขาดีมาก ได้รับการขัดเกลามาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ได้รับการศึกษาในรูปแบบของตะวันตกมายาวนาน เป็นเด็กเรียนและฉลาด รูปร่างบุคลิกก็ดีไม่น้อย

ดูจากภายนอกที่เห็นแบบนี้แล้ว ชิวหรูจื้อสามารถแสดงเป็นอันจิ่วยวี่จากปลายปากกาของโหวซีหลิ่งออกมาได้เป็นอย่างดี เขาตัวผอมแต่ก็ไม่ได้ลีบเล็ก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีกล้ามเนื้อเหมือนกับทหารที่ได้รับการฝึกมามากมาย เขามีความสุภาพเรียบร้อย เขาไม่ได้เผยความเลวและความชั่วร้ายออกมาให้ใครได้เห็น แต่มันจะถูกซ่อนเอาไว้ในการแสดงออกต่างๆ

เขาดูดีมีสง่าราศีมีความสุขุมอยู่ในตัว เส้นผมถูกเสยไปในทางเดียวกัน สวมจงซานจวง กระดุมคอเสื้อถูกติดไว้อย่างแน่นหนา ราวกับว่าเขาเป็นพวกเนี้ยบมากอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้เห็นการใช่ชุดแบบนี้ ก็คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าพูดว่าเขาเลวแน่

แต่เจียงเซ่อสังเกตเห็นว่า ตอนที่ชิวหรูจื้อยิ้มออกมา มันไม่ใช่การยิ้มแบบวาดยิ้มเต็มหน้า แต่เขายิ้มด้วยการกดมุมปาก ดวงตาหรี่ลง มันเหมือนว่ามีรอยยิ้มที่มีความหมายบางอย่าง เหมือนว่ามีความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น

การเก็ยรายละเอียดได้ขนาดนี้ทำให้หลินซีเหวินรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ในประเทศชิวหรูจื้อเองก็ไม่ได้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงอะไรนัก แต่ว่าเขาได้เคยได้เล่นหนังมาหลายปีแล้ว ฝีมือดี เขาสามารถคุมบทบาทอยู่และมีความสามารถสูง จะกี่ฉากๆ ที่เขาเล่นก็แทบจะไม่มี ‘NG’ เลยด้วยซ้ำ เขาสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย

เจียงเซ่อกำลังลองสัมผัสกับการแสดงของชิวหรูจื้อผ่านทางกล้องถ่ายหนังนี่ ดูไปได้พักหนึ่ง เธอก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังได้มองคนร้ายจริงๆ เสียแล้ว แค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่ามีประโยชน์มากจริงๆ อย่างตอนที่เขาเล่นกับนาฬิกานั่น เปิด แล้วก็ปิดอยู่อย่างนั้น ก่อนจะวางสายโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกดีใจสุดๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมา

“หึๆ”

เขารี่ตาลง แล้วค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากขึ้น รอยยิ้มของเขาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนแรก ปลายลิ้นของเขาแลบออกมาเลียริมฝีปาก ย่นจมูก แว่นตาที่สวมอยู่ไหลลงมายิ่งกว่าเดิม

“ของเก่าในวังตั้งแต่ช่วงแรกๆ นี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย”

เจียงเซ่อเองก็รู้สึกได้ แค่ในระยะเวลาไม่กี่วิเท่านั้น รอยยิ้มของเขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละแบบคนละความรู้สึก ดึงความรู้สึกนึกคิดภายในใจมากมายของอันจิ่วยวี่ออกมา ค่อยๆ ถ่ายทอดให้ได้เห็นทีละขั้นๆ

ตอนนี้อันจิ่วยวี่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญพอตัว เพราะตอนนี้ผู้รุกรานจากญี่ปุ่นกำลังจากใช้กองกำลังทหารบุกเข้าเป่ยผิง และตั้งใจจะติดสินบนเขาด้วย เพื่อให้เขาเซ็น ‘สนธิสัญญาเป่ยผิง’ ในวันนี้ที่กองทัพญี่ปุ่นจะบุกเข้าไป ก็ตั้งใจว่าจะส่งมอบสิ่งของมีค่าจนไปถึงผู้หญิงมาด้วย

ตอนนี้กองทัพญี่ปุ่นได้แทรกซึมเข้ามาภายในประเทศแล้ว และที่เป่ยผิงก็คือจุดป้องกันอีกจุดหนึ่ง ถึงตำแหน่งของอันจิ่วยวี่จะสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ก้าวขาเข้าสู่ความเสี่ยงแล้ว

ถ้าดูจากภายนอกแล้ว คนๆ นี้วางอำนาจบาตรใหญ่และโอหัง เขามีจวนที่ใหญ่โตหรูหรา เขาดื่มเหล้าสุราที่แพงที่สุด หยอกเย้ากับผู้หญิงที่สวยที่สุด เขาใช้สิ่งของราวกับเป็นจักรพรรดิ อาหารแต่ละมื้อในทุกวันก็ทำเหมือนพระราชาในอดีต ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยและหรูหรา

กับผืนแผ่นดินเป่ยผิงแห่งนี้ เขาทำตัวเหมือนเป็นพระราชาผู้ปกครองโดยที่ไม่สนใจผู้ใด มีอำนาจคับฟ้า ใครๆ ต่างก็ต้องเกรงกลัว

แต่คนแบบนี้ ที่แท้จริงแล้วในใจกลับขี้ขลาดสิ้นดี

เขาใช้ชีวิตแบบนี้จนเคยชิน เขากลัวการสู้รบ กลัวสงคราม

เขากลัวว่าพวกกองทัพญี่ปุ่นจะเข้ามาทำอันตราย มองเห็นแต่กองทัพญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งตามไล่ฆ่า แต่กลับไม่เห็นวี่แววความฮึดสู้และพร้อมรบของทหารปฏิวัติ

กับของมีค่าและผู้หญิงต่างๆ ที่ญี่ปุ่นส่งมา อันจิ่วยวี่เริ่มลืมเลือนคำปฏิญาณที่ว่าจะจงรักภักดีต่อประเทศชาติไป และเริ่มไขว้เขวและคิดแปรพรรค

เป่ยผิงจะต้องไม่ตกเป็นของญี่ปุ่นแบบนี้ เขาเลยเสนอความคิดเห็นที่น่าสนใจขึ้นมา และนั่นก็คือการเซ็นสัญญานั่นเอง ยอมให้ญี่ปุ่นส่งกองกำลังเข้ามาในเป่ยผิง แต่ฝ่ายทหารปฏิวัติกลับออกแผนการส่งสายลับมาลอบสังหารตน

แต่การลงมือในครั้งนี้ มันก็พอดีกับตอนที่โต้วโค่วต้องการที่จะจัดการกับแนวร่วมปฏิวัติอย่างว่าที่สามี เซียวจือ

ถ้าจับจุดสำคัญของ ‘The Occasion of Beiping’ จริงๆ แล้วละก็ เซียวจือเป็นคนที่ชอบใส่ใจต่อเรื่องเล็กๆ ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับตนเองก็ตาม ส่วนเรื่องใหญ่เขาเองก็ไม่เคยถอย และนี่มันก็ถือเป็นนิสัยจริงๆของโหวซีหลิ่งเช่นกัน อาจจะไม่ใช่เพอร์เฟคไปเสียทุกอย่าง แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ไม่สมควร

เซียวจือรับหน้าที่เป็นสายลับที่ต้องลอบสังหารอันจิ่วยวี่ แต่ก็เหมือนกับเหยื่อที่รอดจากปากเหยี่ยวปากกา ก่อนที่จะออกเดินทาง เขาปฏิญาณไว้ว่า แม้ตัวตายก็จะไม่เสียดาย เขาตั้งใจที่จะตายเพื่อประเทศชาติ เขาต้องหยุดอันจิ่วยวี่และสัญญาระหว่างญี่ปุ่นอย่าง ‘สนธิสัญญาเป่ยผิง’ ให้ได้

เขาเข้าร่วม ‘ขบวนการกำจัดคนขายชาติ’ ยอมเป็นท่อนฟืนเพื่อเป็นเชื่อเพลิงให้แก่การปฏิวัติ ยอมตายแต่ก็ต้อตายอย่างเกริกก้องและมีเกียรติ

เซียวจือปลอมชื่อตัวเองเข้าไปในเป่ยผิง หลายครั้งหลายคราที่ต้องคอยวางแผนเพื่อให้แผนการสำเร็จไปอย่างยากลำบาก แต่ทุกครั้งอันจิ่วยวี่ก็รอดไปได้เพราะมีคนรอบๆ ข้างคอยช่วย

จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งของแผนการสังหาร เขาเป็นคนนำแผนการทุกอย่างด้วยตัวเอง ถืออาวุธในมือเข้าโจมตีอันจิ่วยวี่ แต่สุดม้ายแผนก็ยังมีช่องโหว่จนได้

เพื่อนร่วมขบวนการเกือบทั้งหมดโดนจับตัวเอาไว้ ถึงเซียวจือจะรอดมาได้อย่างโชคดี แต่โต้วโค่วก็ถือโอกาสนี้ในการแกะรอยเขาไป จนกระทั่งเขาเริ่มแปลกใจขึ้นมา

เขาโดนโต้วโค่วจับไว้ได้ตั้งหลายครั้งหลายครา เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับว่าที่ภรรยาโดยไม่ได้ตั้งใจ

บางทีอาจจะเป็นโชคจริงๆ ก็ได้ ทั้งสองคนเกิดในฐานะระดับเดียวกัน ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีการศึกษา และได้รับการอบรมที่ดีจากครอบครัว ตั้งแต่เด็กที่ถูกมั่นหมายกันเอาไว้ มันควรจะเป็นคู่ที่ฟ้าดินสร้างให้มาคู่กัน แต่พอเมื่อตระกูลโต้วต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย ทำให้โต้วโค่วต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก คู่สามีภรรยาที่ยังไม่ทันได้แต่งงานกัน กลับต้องได้มาเจอหน้ากันทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น

เซียวจือไม่สามารถจำโต้วโค่วได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ เขาจากบ้านมานาน สนใจอยู่แต่กับการปฏิวัติ เพื่อประชาชนของประเทศชาติ ยอมตายตอมเสียเลือดเสียเนื้อของตนเอง

การเปลี่ยนแปลงของโต้วโค่งเองก็มากเหลือเกิน เขามีความคิดหยามเหยียดต่อคนที่ขี้ขลาดและอ่อนแอไร้ประโยชน์อย่างอันจิ่วยวี่ และเขาก็ดูถูกโต้วโค่วที่เป็นผู้หญิงแบบนั้น มองว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่บริสุทธิ์พอที่จะน่าทะนุถนอมหรือน่ารักษาเอาไว้ ไอ้ความบริสุทธิ์ที่เซียวจือเข้าใจ มันไม่ใช่แค่ความบริสุทธิ์ที่ถูกพรากไป แต่มันยังหมายถึงการร่วมมือและสบคบคิดกันระหว่างโต้วโค่วและอันจิ่วยวี่ด้วย มันติดชัดอยู่บนใบหน้าอยู่แล้ว

ฉากของชิวหรูจื้อถ่ายถึงบ่ายสองโมงกว่าถึงจะเลิกกองได้ หลินซีเหวินดูๆ เวลาแล้วก็ปรบมือขึ้น

“เวลามีไม่มากแล้วนะ เย็นนี้ยังต้องถ่ายต่อเข้าใจไหม”

ข้าวกล่องทั้งหลายได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเพราะก่อนหน้านี้ยุ่งๆ กับการถ่ายหนังกัน ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันทั้งนั้น

ตอนนี้หลินซีเหวินประกาศแล้วว่าได้เวลาพัก ทุกคนจึงมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ชิวหรูจื้อเดินเข้ามาทักทายเจียงเซ่อ เพราะทั้งสองคนยังต้องร่วมงานกัน มันก็เลี่ยงไม่ได้กับการที่จะต้องรักษาความรู้สึกและคอยช่วยเหลือกัน หลังจากแจกจ่ายข้าวกล่องกันเรียบร้อยแล้ว เจียงเซ่อและชิวหรูจื้อ หลินซีเหวินและโหวซีหลิ่งรวมไปถึงผู้ช่วยผู้กำกับอย่างโจวเหวินไห่ก็มานั่งทานข้าวรวมกัน และพูดถึงการถ่ายทำในช่วงบ่ายขึ้นมา โหวซีหลิ่งพูดขึ้น

“เสี่ยวเจียง วันนี้ได้ดูการแสดงของหรูจื้อจนจบเลย รู้สึกยังไงบ้างหรือ?”

“รู้สึกกดดันขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะค่ะ”

เจียงเซ่อดื่มน้ำให้เรียบร้อยก่อนที่จะตอบขึ้นมา “ อาจารย์ชิวแสดงได้ดีมากๆ เลยค่ะ ถ้าหากว่าฉันยังทำตรงไหนผิดพลาดหรือไม่ดีพอ ก็ต้องขอโทษและขอคำแนะนำด้วยนะคะ”