webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

184

บทที่ 184 วางมาด

มือของเจียงเซ่อค้ำไว้บนไหล่ของเผยอี้ เขารู้สึกจริงๆ ว่าจูบเท่าไหร่ก็ไม่พอเสียที เลยอดไม่ได้ที่จะโอบรวบตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอด

เหมือนกับอดัมและเอวา เพราะเผยอี้คิดว่าเธอเป็นของเขา ระยะห่างที่ไม่ได้ไกลอะไร ปลายนิ้วมือของเธอสัมผัสอยู่บนไหล่แกร่ง เต็มไปด้วยความรักและความคิดถึง

“ช่วยฉันทายา”

เจียงเซ่อตีเขาเข้าไปเบาๆ เผยอี้ซุกหน้าแอบอยู่ตรงคอเจียงเซ่อ ริมฝีปากซุกซนคอยไต่ไปไต่มาไม่หยุด “อือ”

น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา เหมือนกับว่ากำลังเขินอยู่ด้วย พอเจียงเซ่อลุกขึ้นแล้ว สายตาคู่นั้นของเขาก็ยังไม่กล้ามองไปที่เธอ ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหาตลับยาที่ตัวเองโยนทิ้งไปไว้ไหนแล้วก็ไม่รู้

การถ่ายหนังในครั้งนี้ทำให้เจียงเซ่อเป็นหวัดเข้าแล้วจริงๆ กลับไปถึงตี้ตูเผยอี้ก็พาเธอไปหาหมอประจำตระกูลทันที ต้องให้น้ำเกลือสามวันถึงจะหายสนิท

คิวถ่ายต่อไปของเธออยู่ที่เหยียนโจว เมื่อสองวันก่อนโม่อานฉีก็ได้ข้อความมาแล้ว และได้จองตั๋วเครื่องบินไปเหยียนโจวให้เรียบร้อย

ฉากต่อไปที่เธอจะต้องถ่ายเป็นฉากแรกที่เจียงเซ่อได้มาแสดงฝีมือกับซ่งเซียน เจียงเซ่อไปถึงที่เหยียนโจวล่วงหน้าวันหนึ่ง และไปที่สถานที่ถ่ายทำทันที

ที่นี่เคยเป็นสนามรบสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ หลังจากที่หัวเซี่ยได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่ มณฑลฟูก็กลายเป็นเมืองที่ทางประเทศให้ความสำคัญและคงรักษาเอาไว้

ที่นี่ยังมีร่องรอยการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษและวีรชนผู้แกร่งกล้าทั้งหลายอยู่ด้วย ราวกับว่าต้องการเหลือทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้มาเคารพและมองด้วยความศรัทธา พวกหนังต่างๆ ที่มีเนื้อหาหลักเป็นการต่อต้านสงคราม หรือแม้แต่ละครโทรทัศน์ต่างก็ชอบที่จะเลือกที่นี่เป็นฉาก

บ้านเรือนรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังคงอยู่ในรูปแบบโบราณที่แสนมีเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าจะได้รับการบูรณะและซ่อมแซมมาแล้วบ้าง แต่มันก็ยังอยู่ในสภาพรูปแบบเดิมของมัน

ข้างนอกนั่นยังมีพ่อค้าเร่ทั้งหลายอยู่เต็มไปหมด และยังมีกลุ่มนักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงยืนรออยู่ด้วย อีกทั้งยังมีแฟนคลับอีกส่วนใหญ่ๆ ที่ยืนอยู่กับนักข่าว และยังมีนักท่องเที่ยวต่างๆ ที่ถือโอกาสมาดูดาราไปด้วยเลย

อาจจะเป็นเพราะเธอมาเร็วไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้ที่นี่มีนักเรียนที่มาเป็นตัวประกอบเต็มไปหมด ดาราเองก็เยอะ โม่อานฉีลากกระเป๋าเดินทางมายืนอยู่ข้างๆ เจียงเซ่อ

“ได้ยินมาว่าที่นี่ได้เป็นสถานที่ถ่ายทำของหนังหลายเรื่อง”

ที่นี่มีนักเรียนจากหลายพื้นที่มากมาย เจียงเซ่อมาถึงที่นี่ก็ได้เจอหน้าคนไปหลายคนแล้ว

ทางทีมงานได้จองร้านอาหารใกล้ๆ ไว้ให้เธอแล้ว มันไม่ใช่ร้านอาหารที่หรูหราอะไร แม้แต่พนักงานต้อนรับที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้จักเจียงเซ่อเลยด้วยซ้ำ แต่แค่มองว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาที่สวยดี และเดาว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มดาราเท่านั้น

เพราะยังไงที่มณฑลฟูก็สามารถเห็นดาราได้บ่อยๆ อยู่แล้ว พนักงานเลยไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรนัก หลังจากที่ถามว่าเจียงเซ่อชื่ออะไร ก็เชิญเธอเข้าไปในร้านทันที หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วเจียงเซ่อและโม่อานฉีก็พากันไปเดินเล่นในเมืองฟูกันสักพัก

คิวถ่ายของเธอคือช่วงบ่ายของพรุ่งนี้ ซีนที่ต้องแสดงก็มีไม่มาก ฉากที่เธอต้องถ่ายที่เหยียนโจวครั้งนี้คือฉากที่โต้วโค่วจับเซียวจือได้ถึงสองครั้ง แต่สุดท้ายเธอก็ปล่อยเขาไปทั้งสองครั้ง และเพื่อที่จะถือโอกาสใช้คุกเก่าโบราณของที่นี่ ถ่ายฉากที่โต้วโค่วยังดื้อและไม่เชื่อฟังอีกฉากหนึ่ง ฉากที่โดนแม่เล้าส่งขายให้หอนางโลมนั่นเอง

ระหว่างทางยังได้เห็นตัวประกอบที่อยู่ในชุดนักแสดงวิ่งไปมามากมาย มีทั้งแสดงเป็นทหาร มีทั้งแสดงเป็นพวกกลุ่มรุกราน ดูแล้วน่าสนใจไม่น้อยเลย

หลังจากนอนพักมาแล้วหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาเจียงเซ่อก็เดินทางไปที่กองถ่ายทันที

ถึงแม้ว่าคิวถ่ายของเธอจะอยู่ช่วงเย็นๆ แต่ไม่ว่ายังไงก็มาถึงที่นี่แล้ว ยังไงก็ไม่มีอะไรให้ทำ ก็เลยถือโอกาสคอยสังเกตการแสดงของแต่ละคนดีกว่า ถือว่าเป็นการศึกษาประสบการณ์ไปด้วย

ที่มณฑลฟูในวันนี้มีการขอใช้สถานที่ถ่ายทำหลายเรื่องพอสมควร คนก็เลยพลุกพล่านเต็มไปหมด ยังมีนักเรียนหลายคนคอยชูป้ายชื่อที่ทำขึ้นมาเองคอยโบกไปมาอีกด้วย อีกทั้งนักข่าวทั้งหลายก็มีอยู่ทุกที่เลย

โม่อานฉีกระซิบเบาๆ ข้างๆ หูเจียงเซ่อ

“ได้ยินมาว่าเมื่อวานกองถ่ายหนังเรื่อง ‘Goodbye Yan Zhou’ ก็มาที่นี่นะ” ที่จริงตัวหล่อนก็ไม่ใช่พวกรู้ไปทั่วอะไรขนาดนั้น แต่ก็เพราะต้องคอยสอดส่องเรื่องรอบๆ ตัวที่อาจจะยุ่งเกี่ยวกับเจียงเซ่อเอาไว้เท่านั้นแหละ เรื่องพวกนี้หล่อนก็แค่ไปถามมาเล็กๆ น้อยๆ นั่นเอง เวลาที่เจียงเกิดสงสัยขึ้นมาจะได้ตอบได้

“กองถ่ายกองนี้ได้ผู้กำกับที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ แต่ว่านางเอกของเรื่องคือจ้าวรั่วจวินล่ะ” เพราะงั้นแฟนคลับของเจ้ารั่วจวินจึงแห่มากันไม่น้อยเลย

พูดถึงเจ้ารั่วจวินขึ้นมาแล้ว เจียงเซ่อก็อดนึกถึงไต้เจียที่เคนติดต่อพูดคุยกันตอนที่เล่นหนัง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ขึ้นมา ตั้งแต่ที่ถ่ายหนัง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ในตอนนั้นแล้ว ทั้งสองคนก็ได้เจอกันอีกครั้งที่งานเลี้ยงปิดกล้อง แถมยังได้แลกเบอร์โทรเอาไว้อีกด้วย แต่ครั้งนั้นที่ไต้เจียโทรมาถามเธอเรื่องเหยาเสียงแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อหากันอีกเลย

เจียงเซ่อคิดๆ และตัดสินใจว่าถ้ากลับตี้ตูแล้วจะลองโทรไปหาหล่อนเสียหน่อย

ที่จริงเธอเองก็ใช่ว่าจะมีเพื่อนอะไรมากมาย อีกทั้งนิสัยที่ไม่ใช่คนร่าเริงและชอบเที่ยวเล่นอีก เธอไม่ชอบที่จะโทรไปหาใครโดยที่ไม่มีธุระหรือเรื่องที่จะคุย ถึงแม้ว่าเผยอี้จะชอบพูดว่าชอบเธออยู่หลายครั้งหลายครา แต่เรื่องของความรู้สึกนั้น มันไม่ใช่ว่าจะต้องมีฝ่ายเดียวที่ทุ่มให้ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก หรือคนสนิท ต่างก็ต้องใช้ความรู้สึกที่ตรงกันของทั้งสองฝ่ายเป็นแรงผลักดัน มันถึงจะยืดยาว

พอเข้ามาถึงจุดกองถ่ายแล้ว เหมือนว่าโม่อานฉีได้เซอร์เวย์มาแล้วรอบหนึ่ง เพราะหล่อนสามารถพาเจียงเซ่อเดินมาถึงกองถ่ายหนัง ‘The Occasion of Beiping’ ได้อย่างถูกต้องและไม่มีหลง เดินมาแค่ประมานเจ็ดแปดนาทีก็ถึงแล้ว ไกลๆนั่นยังมีกองถ่ายหนังเรื่อง ‘Goodbye Yan Zhou’ ที่โม่อานฉีพูดถึงอยู่ด้วย

วันนี้อากาศดีพอสมควร ใต้แสงอาทิตย์มีคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาด บางทีก็ส่งน้ำให้ เดี๋ยวก็คอบซับเหงื่อให้ กลุ่มคนพวกนั้นทำเหมือนว่ากำลังปรนนิบัติให้กับเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้น

มีผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดแจ็คเก็ตตัวหนาสีดำวิ่งเข้ามานั่งข้างๆ เก้าอี้ที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ แล้วพูดขอร้องขึ้นมา

“รั่วจวิน ลองไปดูก่อนดีไหม ลองถ่ายดูอีกทีก็ได้นี่”

เขาพูดขอร้องอย่างดิบดี โม่อานฉีเห็นภาพแบบนั้นก็อ้าปากข้าง

“ดาราสมัยนี้เป็นแบบนี้กันแล้วเหรอ?”

เพราะเธออยู่เมืองนอกมานาน ถึงจะบอกว่าเป็นดาราเหมือนกัน และรู้ว่าดาราหลายคนก็ชอบวางมาด แต่การที่ลองให้ทีมงานมาขอร้องว่าให้ลองไปถ่ายอีกสักครั้งแบบนี้ มันทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ โม่อานฉีหันไปหาเจียงเซ่อ

“หรือว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ยอมวางมาดแบบนั้นกัน?”

หล่อนหมายถึงก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ถนนกั๋วหมินในมณฑลซีหนาน หลินซีเหวินที่ยังอยากไว้หน้าเผยอี้ แต่ฉากสั้นๆ แค่ไม่กี่นาที กลับได้ถ่ายถึงสี่ห้าชั่วโมง จนเจียงเซ่อจะหมดแรงอยู่แล้วถึงค่อยปล่อยผ่าน

ตอนนั้นเจียงเซ่อไม่หือไม่อือไม่ปฏิเสธอะไรเลย เอาแต่กัดฟันอดทนและทำต่อไป กลับไปถึงตี้ตูก็ยังต้องไม่สบายไปหลายวัน นี่ก็เพิ่งจะหายไข้เองด้วยซ้ำ

เจียงเซ่อมองครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มๆ ออกมา

“ไปกันเถอะ”

ในกองถ่าย หลินซีเหวินยังถ่ายฉากจองชิวหรูจื้อและคนอื่นๆ อยู่ พอเจียงเซ่อมาถึง ก็ยิ่งทำให้ทีมงานในกองถ่ายแปลกใจกันไม่น้อย หลินซีเหวินเองก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน ทีมงานรีบหาเก้าอี้ให้เจียงเซ่อนั่ง เธอขอบคุณออกไปก่อนจะบอกว่าไม่ต้องลำบากกันหรอก และไปยืนอยู่หลังกล้องแทน

“ทำไมมาเร็วนักล่ะ?” หลินซีเหวินกำลังให้ความสนใจกับภาพในกล้องถ่ายทำ แต่ก็ยังอุตส่าห์หันหน้ามาถามเจียงเซ่อ

“ยังไงก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เลยกะว่าจะมาศึกษาเอาไว้เสียหน่อยน่ะค่ะ ถือโอกาสดูรุ่นพี่แสดงไปด้วยเสียเลย จะได้เก็บเอาไปใช้บ้าง”

เจียงเซ่อหันไปมองรอบๆ ที่นี่เป็นฉากของบ้านขุนนางที่สร้างขึ้นมา ฉากสำคัญที่จะต้องถ่ายก็คือฉากที่ชิวหรูจื้อกำลังฆ่าคน เป็นหนึ่งในฉากหนังที่สื่อให้เห็นถึงความในดำอำมหิตของอันจิ่วยวี่และการใช้อิทธิพลอำนาจบาตรใหญ่ในการก่อเหตุการณ์อันแสนร้ายแรงและใหญ่โตครั้งนี้

ฟ่านจืออวิ๋นและซ่งเซียนไม่ได้อยู่ที่นี่ คงเป็นเพราะยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงคิวถ่ายของพวกเขา ดังนั้นตอนนี้ก็เลยยังไม่มากัน

ตอนนี้รอบๆ ต่างก็เป็นตัวประกอบและทีมงานกันหมด เจียงเซ่อกำลังดูชิวหรูจื้อที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ นั่งเงียบๆ ไม่ส่งเสียงใดๆ