webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

173

บทที่ 173 บทหนัง

เผยอี้เดินกันลมกันฝนให้เจียงเซ่อจนไปที่รถ และช่วยเปิดประตูให้เธอขึ้นไป รอจนเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ตัวเองก็รีบอ้อมไผขึ้นรถเช่นกัน

“ก็คุยๆ เสร็จแล้วก็กลับน่ะ”

เขาขยับตัวไปใกล้เธอ แล้วร้องขอขึ้นมา

“เซ่อเซ่อ จูบผมหน่อยสิครับ”

เธอเองก็ยอมทำตามคำขอของเขาอย่างไม่อิดออด ริมฝีปากนิ่มจุ๊บลงไปบนหน้าเขาทันที เผยอี้กระเง้ากระงอด

“ขออีกทีหนึ่ง”

“ไม่มีแล้ว!” เจียงเซ่อผลักเขาออก และเขาก็บ่นอุบ “พี่เอาแต่จะทำงานทั้งวันทั้งคืน ผมนี่สิที่โดนทิ้งให้เหงา!”

หิมะที่ตกลงบนหัวของเขาค่อยละลายกลายเป็นน้ำเพราะฮีตเตอร์ในรถ ทำให้ผมสีทองอ่อนของเขาเปียกไปทั่ว

เจียงเซ่อปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วชะโงกตัวเข้าไปหาเขา จากนั้นก็ใช้มือดันหน้าเข้าให้หันมา และจุ๊บลงไปที่แก้มเสียทีหนึ่ง และนั่นมันก็ทำให้จิตใจของเผยอี้เบ่งบานสุดๆ รอจนเธอคาดเข็มขัดนิรภัยใหม่อีกครั้งแล้ว เขารู้สึกทั้งสุขใจและเขินนิดๆ

“เซ่อเซ่อ เรื่องที่ The Occasion of Beiping โดนถอนทุนน่ะ ผมกับพวกอาต้านคุยๆ กันแล้วนะ ในส่วนที่หัวโถวถอนออกไป เงินที่มันยังขาดพวกเราจะออกให้เอง

น้ำเสียงของเผยอี้เรียบนิ่ง ราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องๆ ธรรมดาทั่วไปกับเจียงเซ่ออย่างไรอย่างนั้น แต่พอเขาพูดจบ กลับทำให้เจียงเซ่อรู้สึกอึ้งงันไปหมด

เพราะเขาไม่ชอบที่เธอจะต้องวุ่นวาย ก็อย่างที่เขาพูด ถ้าเธอยุ่งวุ่นวายขึ้นมา มันก็อาจจะทำให้เขาถูกหมางเมิน

แต่ถึงเขาจะแต่บ่นแบบนั้น เขาก็ยังเต็มใจที่จะช่วยจัดการปัญหาของเธอทุกอย่าง เขาไม่เคยปกปิดความรักและความห่วงใยในแววตาของเขาเลยแม้แต่น้อย ความตั้งใจและตั้งมั่นของเขาใช่ว่าเจียงเซ่อจะไม่รู้ไม่เห็น

เขาไม่ชอบที่ตัวเองจะต้องโดนหมางเมิน แต่เขาก็ไม่ชอบที่เธอจะต้องลำบากเหมือนกัน

“งั้นเมื่อตอนเย็นที่นัดไปเจอกับพวกเนี่ยต้าน ก็เพื่อที่จะคุยเรื่องฉันสินะ?”

เจียงเซ่อก้มหน้าลง ทำเหมือนว่าตัวเองกำลังดูบทหนังที่อยู่ในมือตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้เธอไม่กล้าที่จะหันไปมองหน้าหรือจ้องตาเขาเลย มันเหมือนกับไฟ ถ้าเทียบกับของเธอแล้วมันลุกโชนเสียยิ่งกว่าหลายเท่า บางครั้งเจียงเซ่อก็เคยสงสัย ว่าเหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้สนใจ ชื่นชอบและรักใครอีกคนได้ขนาดนี้ ให้ความสนใจในการกระทำของเธอทุกๆ อย่าง คอยเป็นห่วง และคอยหึงหวงกัน คอยระมัดระวังจนทำให้เธอรู้สึกปวดใจขึ้นมา

“ที่จริงผมเองก็โตแล้ว พวกอาต้านเองก็ใช่ว่าจะอายุน้อยกัน ก็แค่อยากจะลองเอาเงินไปลงทุนกับอะไรดูบ้าง ถ้าเกิดขาดทุนขึ้นมาก็ช่างมัน แต่ถ้าได้กำไรถือว่าได้หาค่าขนมเข้ากระเป๋าด้วยเลย”

เพราะในอนาคตยังไงทุกคนก็ต้องมีเรื่องที่ตัวเองต้องจัดการ ตัวเผยอี้เองก็อาจจะต้องทำตามสิ่งที่ที่บ้านกำหนดเอาไว้ให้ ช่วงเวลาที่จะได้ทำตามใจตัวเองแบบนี้ก็เริ่มเหลือน้อยแล้ว

ดังนั้นกลุ่มพี่น้องกลุ่มนี้ ที่เอาแต่เที่ยวเล่นไปทั่ว คอยไปหาเรื่องชกต่อยชาวบ้านและสร้างเรื่องวุ่นวายต่างๆ มันก็เป็นการตามใจตัวเองไว้ก่อนล่วงหน้า

เจียงเซ่อเองก็เข้าใจถึงจุดนี้ดี เลยไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก

ในรถเปิดเสียงดนตรีที่แสนนุ่มนวลคลอไปเบาๆ ทัศนียภาพที่อยู่ข้างนอกรถเหมือนวิ่งสวนไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว หิมะที่ล่องลอยโปรยปรายยังไม่ทันจะได้ตกลงบนกระจกรถ ก็ต้องโดนเม็ดฝนปัดเป่าไปเสียก่อน

ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อออกไปพบกับเซี่ยเชาฉวินก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย ทั้งสองคนหาร้านอาหารทานกันก่อนถึงค่อยกลับบ้าน หลังจากที่เจียงเซ่ออาลน้ำเสร็จก็เห็นว่ายังไม่ถึงสี่ทุ่มเลยด้วยซ้ำ เลยเอาบทหนังที่เซี่ยเชาฉวินเอากลับมาให้ขึ้นมาเปิดดู

แน่นอนว่าหนังรักสองเรื่องแรกเธอยังไม่มีแพลนที่จะดูมัน เพ๋ยอี้ที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วก็มานอนอยู่ข้างๆเธอ เพระตอนนี้เขายังไม่อยากจะเข้านอน

หนังเรื่อง ‘Evil’ เรื่องนี้ถูกเขียนออกมาได้เฉียบขาดไม่น้อย แต่ละจุดของเรื่องเกี่ยวโยงกับจุดสำคัญทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกแปลกใจ ก็คือเนื้อเรื่องของหนังล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการทำผิดกฏหมาย และมันก็สามารถทำให้ผู้อ่านรู้สึกตื่นเต้นและไม่อยากพลาดที่จะติดตามสถานการณ์ ผู้เขียนเขียนมันออกมาได้ดีจริงๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยเชาฉวินเป็นคนออกปากพูดเองว่า คนที่เขียนบทหนังขึ้นมาเป็นคนหน้าใหม่เท่านั้น เจียงเซ่อก็คงคิดว่าผู้เขียนเป็นคนที่มีประสบการณ์การเขียนและมีผลงานมามากมายแล้วแน่ๆ

เรื่องมันเริ่มจากตที่จางยวี่ฉินกำลังนั่งทำงานอยู่ และหล่อนก็ได้รับสายจากจูจูลูกสาวของหล่อนเอง จนกระทั่งเธอได้รู้ว่าลูกสาวของตัวเองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ทางตำรวจคาดว่าลูกสาวของเธอมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกแก๊งค้ามนุษย์ลักพาตัวไป แต่จางยวี่ฉินกลับตามสอบถามจนได้รู้ว่าที่แท้ลูกสาวถูกฆาตกรรม จนกลายเป็นที่มาของการสืบหาตัวฆาตกรที่ฆ่าลูกสาวของหล่อนในเรื่อง ‘Evil’

เนื้อเรื่องครึ่งหลังจะเป็นเรื่องราวที่จางยวี่หูและ ‘ปีศาจ’ ได้ปะทะกัน จนสุดท้ายจางยวี่ฉินเองที่เป็นคนลงมือ และฆ่าฆาตกรใจปีศาจนั่น

พอเจียงเซ่ออ่านบทจบ ก็เข้าใจว่าทำไมตอนนั้นเซี่ยเชาฉวินถึงได้จูงใจให้เธอล้มเลิกความคิดนัก

เพราะหนังทั้งเรื่องมันเต็มไปด้วยมวลความอึดอัดที่แสนมืดมนและสิ้นหวังของชีวิต

ดูเหมือนบทหนังเรื่องนี้จะยากกว่าที่เธอคิดเสียแล้วสิ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ชีวิตการแต่งงานไม่สมหวัง ลูกสาวหล่อนหายตัวไป จากนั้นก็รู้ว่าลูกสาวของตัวเองได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว สุดท้ายหล่อนก็ได้เข้าไปพัวพันและเริ่มเล่นเกมส์กับฆาตรกรใจอำมหิต ในทุกๆ ตอนทุกๆ ฉาก นักแสดงจะต้องพึ่งประสบการณ์ที่มีเป็นอย่างมากทีเดียว

ถ้าลองเทียบดูแล้ว เจียงเซ่อเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตเหมือนอย่างจางยวี่ฉินมาก่อน สำหรับตัวละครนี้ เจียงเซ่อคิดว่ามันยากมากจริงๆ

“อาอี้ ฉันอยากจะไปที่เรือนจำหญิงที่เขตชานเมืองเสียหน่อย”

เธอหันหน้าไป เผยอี้เองก็ถามขึ้นอย่างไม่ต้องคิด

“มีเพื่อนอยู่ที่นั่นหรือ?”

“เปล่า” จากนั้นเธอก็พูดถึงเป้าหมายของตัวเองออกมา

“พี่เชาฉวินให้หนังมาสามเรื่อง และให้ฉันเลือกมาเรื่องหนึ่ง แต่ว่าสองเรื่องแรกเป็นหนังรัก และฉันไม่ยังไม่มีแพลนที่จะรับเล่น”

พอเขาได้ยินว่าเป็น ‘หนังรัก’ คิ้วก็ขมวดโดยอัตโนมัติ แค่คิดว่าเจียงเซ่อจะต้องไปแสดงความรักกับคนอื่น ถึงมันจะแค่การแสดง แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกอิจฉาและหวงได้เหมือนกัน

แต่พอได้ยินว่าเธอไม่มีแพลนจะรับเล่นหนังรัก เขาก็เผลอแสดงความชื่นใจออกมาจนใบหน้าวาดรอยยิ้มเสียเต็มหน้า แล้วรีบพยักหน้ารับ

“ได้ๆๆ เซ่อเซ่อพูดได้มีเหตุผลสุดๆ”

“แต่อีกเรื่องหนึ่งนะ มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับอาชญากรรม ฉันกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีพอ”

ชีวิตก่อนที่จะมาเกิดใหม่ของเจียงเซ่อก็ใช่ว่าจะเคยเจอคนที่มีชีวิตอย่างจางยวี่ฉิน และไม่เคยจะได้ยินว่ามีชีวิตคนไหนจะเคยเจอกับประสบการณ์แบบนี้ด้วยจนกระทั่งมาเกิดใหม่ โจวฮุ่ย แม่ของ ‘เจียงเซ่อ’ เองก็เป็นผู้หญิงวัยกลางคน และหล่อนก็มีฐานะยากจนและเต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ แต่ชีวิตของจางยวี่ฉินในเรื่อง ‘Evil’ ไม่ได้เหมือนกับชีวิตของโจวฮุ่ยไปทั้งหมด

โจวฮุ่ยเป็นผู้หญิงที่คอยพึ่งพาสามีของตนเอง สำหรับตู้ชางฉวิน ความรู้สึกระหว่างสามีภรรยามันค่อยๆสลายหายไปพร้อมๆ กับเรื่องวุ่นวายหยุมหยิมในชีวิตประจำวันแล้ว ชีวิตแต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างจืดชืดและซ้ำซาก

ชีวิตจริงๆ ของโจวฮุ่ยเป็นเหมือนดั่งนกที่ถูกตู้ชางฉวินหักปีก หล่อนยอมที่จะติดอยู่ในกรงขังและถึงแม้ว่าจะมีคนมาช่วยเปิดประตูกรงออกให้ แต่หล่อนก็ยังคงพะวงอยู่กับชีวิตที่ ‘สบายและคงที่’ แบบนั้นมากกว่า

แต่จางยวี่ฉินในเรื่อง ‘Evil’ ไม่เหมือนกัน เธอรู้แล้วว่าชีวิตการแต่งงานของตัวเองมันเป็นเหมืนการฆ่าตัวตาย หล่อนจึงเอาความหวังทั้งหมดไว้ที่จูจูลูกสาวของตัวเอง ดังนั้นพอเกิดเรื่องกับจูจู ตัวหล่อนก็เหมือนโดนเอาชีวิตไปด้วย

ตอนที่หล่อนได้รู้ว่าจูจูตายไปแล้ว หล่อนก็ยิ่งสิ้นหวังมากกว่าเดิมความสิ้นหวังแบบนี้ มันทำให้ลมหายใจที่มีอยู่มันมืดหม่นไปหมดจากชื่อเรื่อง ‘Evil’ สองตัวนี้ มันก็สื่อได้ถึงทุกอย่างแล้ว

แต่ความสิ้นหวังของเธอก็ยังมีความดึงดันซ่อนอยู่ในนั้น นั่นก็คือการแก้แค้น!

ดูจากจุดเปลี่ยนของหนังเรื่องนี้แล้ว เจียงเซ่อได้วาดภาพของจางยวี่ฉินเอาไว้ในหัวเรียบร้อย ถึงแม้ว่าหล่อนจะโดนเรื่องหนักหนาสาหัสมาทำให้ตัวเองต้องเปลี่ยนไป แต่ภายใต้จิตใจลึกๆ ของเธอก็มีบางอย่างที่ผู้ชายไม่มี แต่สิ่งนั้นแน่นอนว่าโจวฮุ่ยคงไม่มีให้กับเจียงเซ่อแน่นอน

เซี่ยเชาฉวินเคยพูดเอาไว้ ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีแต่ความมืดหม่น เจียงเซ่อเองคงไม่มีทางที่จะได้เจอคนรอบข้างที่มีชีวิตแบบนี้ แต่ถ้าเป็นหนังแนวเนื้อเรื่องแบบนี้ก็มีอยู่แล้ว ถ้าหากว่ามันเป็นแค่การแสดงลอกเลียนแบบ มันก็จะเป็นเหมือนที่ฉางยวี่หูเคยพูดเอาไว้ การแสดงไม่ใช่แสดงให้เหมือนคนนั้น แต่เป็นการเปลี่ยนเป็นใครอีกคน