webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

167

บทที่ 167 ความรักระหว่างชายหญิง

 

งานครั้งนี้หลินซีเหวินได้พานักแสดงขึ้นมาบนเวทีถึงห้าคน นอกจากคู่พระนางและเจียงเซ่อแล้ว เขายังพาชิวหรูจื้อที่แสดงเป็นอันจิ่วยวี่ และคนที่แสดงเป็นเพื่อนรักของเซียวจืออย่างติงเลี่ย 

ท่ามกลางนักแสดงเหล่านั้น หลินซีเหวินและโหวซีหลิ่งนั่งยู่ตรงกลาง พระเอกและนางเอกนั่งขนาบข้างทั้งคู่ เจียงเซ่อนั่งข้างฟ่านจืออวิ๋นส่วนนักแสดงประกอบอีกสองคนก็นั่งอยู่อีกฟาก 

แต่ตัวไมโครโฟนมีเพียงแค่สี่อันเท่านั้น และถูกแบ่งให้กับหลินซีเหวิน โหวซีหลิ่งและนักแสดงหลักอย่างพระเอกและนางเอก

พอนักข่าวถามขึ้นมาแบบนั้น ฟ่านจืออวิ๋นก็ชะงักไปเสี้ยววิหนึ่ง ก่อนจะส่งไมค์ให้กับเจียงเซ่อด้วยท่วงท่าที่งดงาม

“ใช่ค่ะ” เจียงเซ่อตอบ กล้องทั้งหลายแหล่ต่างพากันหันไปที่เธอ คำถามนั้นทำเอานักข่าวหลายๆ คนตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย 

“แล้วได้ยินว่าผู้จัดการส่วนตัวของคุณคือเซี่ยเชาฉวิน อันนี้ก็เรื่องจริงใช่ไหมคะ?”

“ใช่ค่ะ” เจียงเซ่อยิ้มขึ้น

“เพราะตั้งแต่ที่ร่วมตกลงว่าจะรับเล่นหนัง The Occasion of Beiping แล้ว  เรื่องดีๆ ก็ผ่านเข้ามาไม่หยุดเลย”

คำตอบนั้นของเธอทำให้ใบหน้าของหลินซีเหวินเผยรอยยิ้มออกมา กล้องที่อยู่ข้างล่างเวทีก็ดังแชะๆไม่หยุด

​และแน่นอนว่าต้องมีคนถามเรื่องที่เธอมีปัญหากับจูพ่านก่อนหน้านี้ แต่เจียงเซ่อก็สามารถรับมือและปัดคำถามเหล่านั้นออกไปได้ดีทีเดียว สื่อทั้งหลายจึงเปลี่ยนมาถามเธอถึงเรื่องแผนการต่อไปในการเล่นหนังแทน เจียงเซ่อตอบ

“ตอนนี้ฉันวางแผนแค่ว่าจะแสดง The Occasion of Beiping ให้ดีค่ะ และหวังว่าทุกคนจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวฉันในหนัง” 

โม่อานฉียืนอยู่ข้างล่างเวที นอกจากจะต้องคอยดูกิริยาท่าทางการนั่งของเจียงเซ่อแล้ว หล่อนก็ยังกลัวว่าเธอจะถูกถ่ายภาพในมุมที่ไม่น่ามองไปด้วย และยังต้องแบ่งหูไปฟังว่าเธอจะพูดอะไร สายตาก็จ้องไปที่กล้องของสื่อที่อยู่ข้างหน้า พอเห็นว่ามีกล้องตัวหนึ่งยกสูงขึ้น หล่อนก็ค่อยๆ เดินเข้าไปแล้วแตะไหล่ให้นั่งลงไปเหมือนเดิม 

ถ้าถ่ายภาพในมุมสูงละก็ ถึงมันจะดูออกมาสวยงามแต่มันก็ง่ายที่จะกลายเป็นภาพที่ไม่ดีออกมาได้ และความสวยก็จะถูกกลบไปทันที และเหลือไว้แค่ภาพที่ทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเล่น

เธอแอบจำชื่อของสื่อที่ยกกล้องขึ้นสูงนั่นเอาไว้ แล้ววางแผนไว้ว่าหลังจบงานแล้วจะต้องตามสื่อเหล่านั้นไป และบอกให้ลบภาพเหล่านั้นทิ้งซะ

“ในหนัง The Occasion of Beiping ในครั้งนี้ ได้ยินว่าคุณรับเล่นบทโต้วโค่ว”

ตั้งแต่ก่อนที่จะมีงานเปิดกล้อง หลินซีเหวินก็ได้ปล่อยเนื้อเรื่องโดยคร่าวๆ ของหนังไปแล้ว เพื่อที่สื่อจะได้มีคำถามมาถามได้

นักข่าวที่เป็นคนถาม หล่อนเป็นผู้หญิงวัยกลางคนตัดผมบ๊อบสั้น และถือเครื่องบันทึกเสียงเอาไว้

“เท่าที่ดิฉันรู้มา โต้วโค่วเป็นบทหญิงสาวที่ต้องอยู่ในสภาพตกระกำลำบาก และมีลักษณะเป็นผู้หญิงที่ยั่วยวน มันดูไม่เข้ากันกับคุณเลยนะคะ เพราะทุกคนก็รู้ว่า บทที่คุณรับแสดงใน 99 Love Letter ก่อนหน้านี้ คุณแสดงเป็นหญิงสาวในฝัน แล้วทำไมบทบาทของทั้งสองเรื่องถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้ล่ะคะ?” 

เจียงซ่อกำไมค์เอาไว้ แล้วคิดอย่างรอบคอบ

“ฉันคิดว่า นักแสดงไม่จำเป็นที่จะต้องรับหรือสร้างบทที่เป็นแบบเดียวกันไปตลอดนะคะ บทหนังที่ดีอาจจะได้มาไม่ยาก แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้สำเร็จ ต้องขอขอบคุณที่ผู้กำกับหลินและอาจารย์โหวเชื่อใจฉัน และยอมให้ฉันได้รับบทที่แสนท้าทายนี้ค่ะ” 

“ผู้กำกับหลินคะ เขาว่ากันว่าตอนแรกคุณตั้งใจที่จะให้บทโต้วโค่วกับเย่หยิงเฟยนี่นา หรือเป็นเพราะว่า คุณคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าทั้งรูปร่างหน้าตาและคาแรคเตอร์ของคุณเย่หยิงเฟยมันเหมาะสมมากกว่า?” 

มีนักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นมาแบบนั้น เจียงเซ่อยิ้มและส่งไมค์คืนให้กับฟ่านจืออวิ๋น ไม่มีท่าทางหงุดหงิดเลยสักนิด

ตอนนี้นักข่าวบันเทิงเริ่มปล่อยคำถามกันอย่าดุเด็ดเผ็ดร้อน การที่ดาราจะมาโดนถามคำถามหักหน้ากันแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ฟ่านจืออวิ๋นหันไปมองเจียงเซ่อ แต่ดูเธอก็ยังอารมณ์ดีอยู่เหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสร้งทำจนชำนาญแล้ว หรือเป็นเพราะเธอไม่ได้เก็บคำถามของนักข่าวมาใส่ใจจริงๆ 

   ​ “ผมเชื่อคำพูดอยู่คำพูดหนึ่งครับ นั่นก็คือ ทำในตอนนี้ให้ดีก่อนและอย่าเพิ่งไปหวังผลของมัน ถ้าลองปรับเปลี่ยนความคิดดู ใช้กับสถานการณ์นี้ก็น่าจะเหมาะสมดีเหมือนกัน”

หลินซีเหวินเองก็มีประสบการณ์ในสังคมมามากแล้ว จึงไม่ง่ายที่จะจนแต้มเพราะแค่คำพูดจู่โจมของสื่อ

“อย่าเพิ่งไปมองถึงช่วงขั้นตอนของมัน แต่ให้ดูแค่ผลของมันก็พอแล้ว” 

การที่เขาเคยไปขอให้เย่หยิงเฟยมาเล่น เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว เทียบกับการต้องยอมรับความจริงแล้วโดนหัวเราะเยาะ ไม่สู้ยืดอกยอมรับไปเลยอย่างใจกว้างไม่ดีกว่าหรือ

​“ที่จริงแล้วตั้งแต่ที่เริ่มวางแผนสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ทุกคนก็รู้ใช่ไหมครับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จู่ๆ จะมากำหนดนักแสดงแต่ละคน ดังนั้นเรื่องที่จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ยังไงก็ต้องรอดูผลที่จะออกมาในตอนสุดท้ายไม่ใช่หรือ ส่วนเรื่องที่คุณเจียงได้มารับบทนี้ ผมและอาจารย์โหวเองก็เป็นคนทดสอบด้วยตัวเองเลย และดูแล้วว่าเธอเหมาะสมกับบทนี้แล้วถึงได้เลือกเธอครับ และขอยืนยันว่าการที่เธอไม่ใช่ตัวเลือกสำรองที่จะมารับบทโต้วโค่ว”

หลินซีเหวินพูดจบ สายตาของสื่อทั้งหลายก็จดจ้องไปที่เจียงเซ่อ 

“ถ้าอย่างนั้นคุณเจียงคิดว่า ระหว่างตัวเองกับคุณเย่หยิงเฟย ใครกันแน่ที่เหมาะสมกับบทๆ นี้?”

อย่างแรกเลยคาแรคเตอร์ที่เย่หยิงเฟยได้สร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกนั้น ยังไงดูก็รู้ว่าหล่อนเหมาะสมกับผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มและยั่วยวนในเรื่อง The Occasion of Beiping อย่างโต้วโค่วโดยไม่ต้องสงสัย และวงการสื่อส่วนมากก็เหมือนจะคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าบทนี้หลินซีเหวินจะต้องเลือกเย่หยิงเฟยมาเล่น

แต่เรื่องกลับกลับตาลปัตร เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ได้บทนี้ไปกลับเป็นเจียงเซ่อ

กลุ่มนักลงทุนที่นั่งดูอยู่ข้างล่างเวทีเริ่มแอบกระซิบกระซาบกันแล้ว ฟ่านจืออวิ๋นที่อยู่บนเวทีรับหน้าที่ส่งไมค์ให้เจียงเซ่ออีกครั้ง 

“ฉันเองก็คิดเห็นเหมือนกับกับผู้กำกับหลินนะคะ อย่าเพิ่งไปมองถึงช่วงขั้นตอนของมัน แต่ให้ดูแค่ผลของมันก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ระหว่างฉันกับคุณเย่หยิงเฟย ใครจะเหมาะสมกับบทบาทนี้มากกว่ากัน ฉันว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะตัดสินได้ค่ะ งั้นเอาไว้ถึงวันที่หนังเข้าฉายแล้ว ยังไงก็ขอเชิญทุกคนซื้อบัตรสักใบเข้าไปดูด้วยกันดีไหมคะ? เพื่อเป็นการเชิญให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นและแนะนำฉันด้วยไงคะ” 

เจียงเซ่อมั่นใจว่าตัวเองพูดออกไปอย่างตั้งใจมากๆ แต่นักข่าวกลับคิดว่าเธอพูดออกมาได้อย่างงดงามและน่ารักไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

ในขณะที่หลินซีเหวินกำลังส่งสายตาว่าชื่นชมมากแค่ไหน จู่ๆ ก็มีนักข่าวผู้หญิงคนหนึ่งโพล่งถามขึ้นมา

“คุณเจียงคะ ได้ยินมาคุณมีเสี่ยเลี้ยงคอยหนุนหลังคุณอยู่ เรื่องนี้ล่ะ จริงหรือเปล่าเอ่ย?”

สิ้นเสียงของหล่อน สีหน้าของนักข่าวทั้งหลายก็กระตุกไปและหับขวับไปมองนักข่าวคนนั้นทันที

 สีหน้าของหลินซีเหวินแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ สีหน้าของโหวซีหลิ่งเองก็ดูไม่ค่อยพอใจนัก

นักแสดงที่เหลือที่อยู่บนเวทีต่างก็ทำทีก้มหน้าก้มตาจัดเสื้อผ้าตัวเอง ทำเหมือนว่าไม่ทันได้ยินคำถามของนักข่าวสาวคนนั้น

โม่อานฉีโกรธมาก หล่อนตวัดสายตามองไปที่ป้ายชื่อของสำนักข่าวคนนั้น ป้ายบนอกของนักข่าวคนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘สำนักข่าวหรงสิง ติงหรู’ และโม่อานฉีจำทั้งชื่อนักข่าวและชื่อสำนักข่าวเอาไว้อย่างแม่นยำ

แต่เจียงเซ่อกลับยังคงนิ่งเรียบ ที่จริงตัวเธอคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง

“เสี่ยเลี้ยงหรือคะ? หมายถึงแฟนหนุ่มของฉันหรือเปล่า?”

ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดเรื่องแฟนหนุ่มของตัวเองออกมาแบบนี้

ถึงแม้ว่าวงการบันเทิงและดาราสมัยนี้จะไม่ได้ต้องแอบคบกับคนรักแบบหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่การที่จู่ๆ ก็มาพูดประกาศแบบนี้มันก็ดูจะเร็วไปหน่อย อย่างน้อยก็ต้องมีการถามครั้งที่สองและครั้งที่สามให้เรื่องมันเดือดกรุ่นขึ้นมาเสียก่อน แล้วถึงค่อยประกาศออกมาทีเดียว

ถึงจะเลิกกันไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากประเด็นเลิกกันได้อีก แถมยังสามารถทำให้ตัวเองได้ขึ้นเป็นหัวข้อข่าวใหญ่ได้ตั้งหลายวัน

แต่ไม่คิดเลยว่า พอเจียงเซ่อโดนคนตั้งใจแกล้งถามคำถามแบบนั้นมา เธอก็โยนประเด็นสำคัญออกมาทันที “ถ้าเทียบอายุระหว่างฉันกับเขาแล้ว พวกเราเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ฉันอยู่ปีหนึ่ง เขาอยู่ปีสอง เขายังไม่ได้แต่งงาน ฉันเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน เราคบกันปกติทั่วไปนี่คะ แต่ถ้าเทียบกับคนปกติทั่วไปเขาก็ค่อนข้างจะโดดเด่นกว่าสักหน่อย แบบนี้ก็นับว่าเป็นเสี่ยเลี้ยงหรือคะ?” เธอกดยิ้มมุมปากแล้วถามกลับ 

“หรือว่าจะต้องให้เขาเป็นคนจน? ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันนะคะ”