webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

164

บทที่ 164 ร่วมมือกัน

ทั้งๆ ที่เจียงเซ่อก็อายุแค่นี้ แต่กลับมีความสุขุมเยือกเย็นอยู่ในตัว ไม่ค่อยพูด แต่ทั้งนิสัย อารมณ์ของเธอก็อยู่ด้วยกันได้ง่ายเหมือนกัน ไม่มีท่าทางวางมาด ที่สำคัญเลยก็คือเจียงเซ่อเคารพตัวเธอมาก ภายในไม่กี่วันโม่อานฉีถึงได้รู้สึกดีกับเธอมากขึ้นไปอีก

พอเธอพูดจบ เจียงเซ่อก็พยักหน้ารับ อากาศมันหนาวมากจริงๆ แล้วยืนถ่ายมากว่าครึ่งวันแบบนี้ ขานี่แทบจะแข็งเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว

เส้นทางของดารามันไม่ได้สวยหรูและง่ายดายอย่างที่คนภายนอกเขาเข้าใจกันหรอก เพราะเบื้องหลังมันยังมีความยากลำบากแบบนี้ยังไงล่ะ

หลังจากที่ทุกคนเลิกงานกันแล้ว ทีมงานของมาร์คก็ช่วยกันยกอุปกรณ์กล้องต่างๆ เข้าไปในสตูดิโอของเขา เผยอี้เองก็มารับเธอแล้วเช่นกัน คงไม่ต้องให้โม่อานฉีไปส่งเธอ

พอทั้งสองคนแยกกัน โม่อานฉีก็ต่อสายหาเซี่ยเชาฉวินเพื่อสรุปรายงานของวันนี้ให้ฟัง

“ที่มาร์คมาถ่ายแบบให้ได้ก็เป็นเพราะคุณติดต่อให้ ดังนั้นพวกเขาเลยดูขยันกันไม่น้อยเลยนะคะ ภายในวันมะรืนนี้ รูปทั้งหมดที่ถ่ายไปก็น่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งให้ในอีเมล์”

ที่จริง การที่เซี่ยเชาฉวินยอมตักสินใจกลับมาดูเจียงเซ่อ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นงานที่ลัวหยิ่นได้ มอบหมายมาให้เท่านั้นเอง จึงไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะตัดสินใจตกลงรับเจียงเซ่อมาดูแล ที่กลับมาก็มาแค่เดี๋ยวเดียวก็ต้องบินกลับสเปนแล้ว

แต่ใครจะไปรู้ ยังไม่ทันได้ปรับเปลี่ยนแผนการอะไรเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ตัวเองเซ็นสัญญากับเจียงเซ่อไป เรื่องที่ต้องจัดการก็มีมากขึ้นไปอีก

งานของดาราใหม่คนนี้ก็ต้องคอยจัดตารางให้ดี แถมยังต้องคอยโทรผ่านข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาผู้ช่วยส่วนตัวของเถาเฉินเพื่อย้ำเตือนสิ่งที่สั่งไปต่างๆ หลายวันมานี้หล่อนถึงได้ยุ่งสุดๆ ไปเลย

พอรับสายจากโม่อานฉีแล้ว หล่อนก็ตอบไปแค่คำเดียว จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์การถ่ายแบบในวันนี้

โม่อานฉีเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง แถมตอนที่พูดถึงเจียงเซ่อ ก็ยังอดที่จะชื่นชมขึ้นมาไม่ได้ เพราะตอนนี้หล่อนประทับใจในตัวเจียงเซ่อมากจริงๆ

แต่ก่อนตอนที่อยู่ญี่ปุ่น โม่อานฉีเองก็เคยได้ดูแลดาราญี่ปุ่นเองเหมือนกัน กลับมาที่ประเทศก็มีรับงานบ้างประปราย เหมือนว่าจะกลับมาตายรังกับอาชีพเดิมอย่างไรอย่างนั้น

แต่ไม่ว่าต่อหน้าผู้คนดาราจะทำตัวแบบไหน แต่ลับหลังน้อยนักที่จะยังเป็นอย่างที่เคยแสดง เจียงเซ่อที่ดูเหมือนจะไม่หือไม่อือแบบนั้น แต่ก็เป็นอีกคนที่ทนต่อความเหน็ดเหนื่อยได้

“โอเค” เซี่ยเชาฉวินที่ได้ยินหล่อนพูดอย่างนั้น ในใจของตัวหล่อนเองก็เริ่มมีแผนใหม่ขึ้นมาแล้ว

ที่จริงถ้าตอนนั้นไม่ได้ไปเจอหน้าและพูดคุยกันแล้วละก็ จากประวัติเจียงเซ่อที่ได้ดูไปก่อนหน้านี้ เซี่ยเชาฉวินคงไม่มีทางจะรับเธอเอาไว้ได้ง่ายๆ แน่

“เดี๋ยวเธอไปบอกช่างภาพเอาไว้ ว่าให้พวกเขาช่วยส่งรูปตัวอย่างแต่ละเซตมาทางเมล์ให้ฉันด้วย”

เซี่ยเชาฉวินพูดจบก็ตัดสายไปในทันที

ภาพที่หล่อนต้องการ ต้องไม่ใช่ภาพที่ได้รับการปรับแต่งและรอออกไปสู่สายตาผู้คนแบบนั้น เมื่อโม่อานฉีทำตามที่เซี่ยเชาฉวินบอกเอาไว้แล้ว ในช่วงค่ำของวันนั้นโม่อานฉีก็ได้รับรูปที่เจียงเซ่อถ่ายแบบมาเจ็ดรูป

เจียงเซ่อเป็นคนที่ขึ้นกล้องมากจริงๆ แม้แต่รูปที่ยังไม่ได้ผ่านการแต่งก็ยังหาจุดด้อยไม่ได้ มาร์คสามารถถ่ายท่าทางอันแสนมีเสน่ห์ราวกับเทพนิยายของตัวเจียงเซ่ออกมาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าที่มีกลิ่นอายย้อนยุคและดูไฮน์เอนด์ หรือจะเป็นความน่ารักที่แสนหวาน เขาก็สามารถดึงออกมาจากตัวเจียงเซ่อได้หมด

หลังจากที่ส่งรูปไปให้เซี่ยเชาฉวินแล้ว เซี่ยเชาฉวินก็โทรกลับมาหาหล่อนอย่างรวดเร็ว

“อานฉี ตอนที่เธออยู่ที่ญี่ปุ่น เคยได้ติดต่อหรือทำงานกับ ikit บ้างไหม”

Ikit เป็นแบรนด์เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น จุดเด่นของแบรนด์นี่คือไข่มุกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ตอนที่เซี่ยเชาฉวินถามโม่อานฉีขึ้นมา สายตาของหล่อนก็จดจ้องไปยังรูปของเจียงเซ่อ มันเป็นรูปที่เธอสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่ ในมือที่ถือกระเป๋าและกดปีกหมวกลงต่ำรูปนั้น

การได้เป็นผู้จัดการดาราของของซื่อจี้หยินเหอแบบนี้ ครั้งแรกที่เซี่ยเชาฉวินได้พบกับเจียงเซ่อ ก็ได้เห็นแล้วว่ารูปร่างหน้าตาจนรวมไปถึงนิ้วมือของเธอว่ามันสวยงามแค่ไหน นิ้วมือของเธอเรียวยาว แถมเนื้อหนังก็ไม่ได้หยาบกร้าน และถึงแม้ว่ามือของเธอจะไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรเอาไว้เลยก็ตาม แต่หากได้เห็นแล้วก็คงจะมองข้ามมือสวยนั่นไปไม่ได้เลย

รูปๆ นี้เจียงเซ่อสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ เธอรูปร่างสูงหุ่นดีและดูอ่อนช้อย บุคลิกดูสง่าและมีระดับ ปีกหมวกที่ถูกกดลงมาบังครึ่งหน้าของเธอนั่น ทำให้เห็นสีของริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยสีแดงไวน์เผยอออกเล็กน้อยเด่นชัดขึ้นกว่าเดิม

“พี่เซี่ย”

โม่อานฉีที่ได้ยินหล่อนถามแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากตัวเอง เพราะพอจะเข้าใจว่าหล่อนต้องการจะสื่ออะไร “ikit เป็นแบรนด์ใหญ่ และยังไงเซ่อเซ่อก็ยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่”

โม่อานฉีพูดเสียงเบา แต่เซี่ยเชาฉวินก็ไม่ฟังและพูดตัดบทเธอทันที

“รูปเซตแรกถ่ายใหม่ให้หมด เธอลองไปหาคนที่ดูแลแบรนด์ ikit ดู ไปขอยืมเครื่องประดับไข่มุกมาซักชุด”

ikit ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าเซี่ยเชาฉวินเองรู้จักพวกแบรนด์เหล่านี้ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็แค่คิดว่าเจียงเซ่อยังขาดอะไรอีกนิดหน่อย เซี่ยเชาฉวินก็แค่อยากจะช่วยโปรโมทเจียงเซ่อ แต่ก็ไม่ได้จะทุ่มหรือต้องทำให้ได้อะไรแบบนั้น

แต่นอกจากจะมีคนที่ต้องไปพูดแทนแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างที่เรียกว่าการร่วมมือกัน

ในทุกๆ ปีแบรนด์ ikit นี้ ต่างก็เป็นเครื่องประดับที่มีดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้มากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าดาราทั่วๆ ไปจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ได้ เพราะอย่างไรเสีย เครื่องประดับของพวกเขาก็เป็นของที่มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว ดังนั้นดาราที่จะมาเป็นพรีเซนเตอร์จะต้องอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเกินไป เพราะค่าใช้จ่ายของการเป็นพรีเซนเตอร์ถือว่าสูงมากเลยทีเดียว

เรื่องดีๆ แบบนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้กับดาราทุกคน ในทุกๆ ปีจะต้องมีดาราหลายคนที่แย่งชิงกันเพื่อที่จะได้เป็นพรีเซนเตอร์ นอกจากดาราระดับหนึ่งในประเทศแล้วก็ยังมีดาราเล็กๆ รองลงมาและคนในวงการบันเทิงต่างๆ คอยหาวิธีที่แตกต่างกันไป เพื่อดึงดูดให้แบรนด์ๆ นี้หันมาสนใจตัวเอง จะได้ร่วมมือกับแบรนด์เหล่านั้น และพยายามจะพิสูจน์ว่าตนเองเหมาะสมกับเครื่องประดับเหล่านั้นมากแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มระดับของตัวดาราได้ และมันก็ไมได้เป็นการส่งผลเสียอะไรต่อตัวแบรนด์ด้วย ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย วิธีแบบนี้ใครๆ ก็ทำได้

แค่นี้โม่อานฉีก็เข้าใจจุดประสงค์ของเซี่ยเชาฉวินแล้ว

ก็ถ้ามันเป็นแค่การไปยืมเครื่องประดับก็ว่าไปอย่าง อย่างนั้นเซี่ยเชาฉวินก็คงไม่ต้องระบุว่าเธอจะต้องไปหาผู้ดูแลรับผิดชอบแบรนด์นี้หรอก ความหมายของเซี่ยเชาฉวินคือ ตอนนี้ดีที่สุดก็คือการไปพูดคุยกับคนเหล่านั้นไว้ก่อน เอาไว้วันหลังถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ค่อยไปขอยืมมาอีกก็ได้

ถึงแม้ว่าสิ่งที่หล่อนสั่งมาจะดูเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย แต่พอลองคิดๆ ดูและมองไปที่รูปของเจียงเซ่อในคอมดูแล้ว โม่อานฉีก็พยักหน้าแล้วรับคำออกไป

“เดี๋ยวฉันจะลองดูค่ะ”

“เดี๋ยวฉันจะให้คนส่งข้อมูลคนที่ดูแล ikit ในประเทศไปให้เธอ ถ้าไปถึงมือเธอแล้ว เธอก็รีบไปบอกให้ช่างกล้องเตรียมตัวอะไรให้พร้อม เอาทั้งหมดให้เสร็จก่อนวันที่สิบเก้านี้ โอเคไหม?”

ปลายสายมีเสียงเซี่ยเชาฉวินที่กำลังเปิดกระดาษไปมา ตอนนี้เป็นช่วงค่ำของวันที่สิบเจ็ดแล้ว เซี่ยเชาฉวินต้องการรูปทั้งหมดในวันที่สิบเก้า โม่อานฉีเริ่มรู้สึกว่างานเงินเดือนสูงแบบนี้มันชักจะไม่ง่ายแล้วสิ

ปลายสายอย่างเซี่ยเชาฉวินไม่แม้แต่จะขอความคิดจากหล่อนเลยด้วยซ้ำ พอสั่งงานเสร็จแล้ว หล่อนก็วางสายไปอย่างเย็นชา

โม่อานฉีถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หาเบอร์ของเจียงเซ่อแล้วกดโทรออก

ตอนที่หล่อนโทรมา เจียงเซ่อก็กำลังนั่งพิงอยู่บนโซฟา และเหมือนจะมีอาการคัดจมูกขึ้นมาแล้วด้วย เผยอี้เอาผ้าคลุมขนสัตว์มาห่มเอาไว้บนตัวเธอ จากนั้นก็หยิบตำราอาหารขึ้นมาดูเพื่อทำซุปขิงให้

วันนี้ที่ออกไปถ่ายแบบ อากาศข้างนอกนั่นมันหนาวมากจริงๆ หนาวจนเย็นจนทำให้เจียงเซ่อเป็นแบบนี้ได้ ดีที่อาการไม่ได้หนักอะไร คงเป็นเพราะตอนนั้นโม่อานฉีเอาชาขิงร้อนมาให้เธอได้จิบ ตอนนี้เลยมีแค่อาการคัดจมูกเท่านั้น แต่ไม่ถึงขนาดว่าเป็นหวัด

“สวัสดีค่ะอานฉี” เพียงแค่รับสายและกรอกเสียงใส่เท่านั้น โม่อานฉีก็ตกใจไม่ได้

“เซ่อเซ่อ เธอเป็นหวัดงั้นหรือ?”

เสียงของเธอมันฟังดูขึ้นจมูกมากๆ แต่วันนี้ก็ถ่ายแบบไปตั้งครึ่งวัน แถมยังต้องโชว์เรียวขาอยู่ตลอด คงจะรับความเย็นเข้าร่างกายไปไม่น้อย

“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ ฉันทานยาไปเรียบร้อยแล้ว” เจียงเซ่ออ้าปากหายใจเข้าทีหนึ่ง หางตาก็เหลือบไปเห็นเผยอี้ที่กำลังยืนถือตำราอาหารอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ถือขิงเอาไว้ แล้วเดินออกมาจากห้องครัวด้วยสายตาที่เป็นห่วงเธอ ราวกับว่าไม่พอใจกับคนปลายสายที่โทรมารบกวนการพักผ่อนของเธอ คิ้วถึงได้ขมวดชิดกันแบบนั้น