บทที่ 158 รอคอย
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงผู้ช่วยของประธานกรรมการ แต่เป็นเพราะว่าเซี่ยเชาฉวินเป็นถึงคนสำคัญของบริษัท แน่นอนว่าลัวอ้าวก็ต้องเคารพหล่อนอยู่แล้ว ตอนที่โทรไปบอกตามคำสั่งของลัวหยิ่น เซี่ยเชาฉวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงและวางสายไปทันที
แต่ไหนแต่ไรมาลัวอ้าวเข้าใจนิสัยของเซี่ยเชาฉวินดีอยู่แล้ว อารมณ์ที่ผ่านทางโทรศัพท์มาช่างเย็นชา รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจนักกับสารที่ลัวอ้าวนำมาบอก แต่เป็นเพราะคนพูดนั้นคือลัวอ้าวหล่อนเลยอดทนไว้ไม่พูดปฏิเสธในทันที แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการไว้หน้าเขามากแล้ว
หลังจากบอกกล่าวกับทางเซี่ยเชาฉวินไปแล้ว เขาก็ยังกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้น เลยต้องโทรไปหาเจียงเซ่อด้วยตัวเองอีกครั้ง และเตือนเรื่องที่จะนัดเจอและเวลาถึงสามครั้ง
และเพราะว่าคาบเรียนหลังจากนี้เจียงเซ่อไม่จำเป็นต้องเข้าชั่วคราว เธอก็เลยมีเวลามากขึ้น วันเปิดกล้องของหนัง ‘The Occasion of Beiping’ ยังเหลืออีกหลายวัน สำหรับข้อตกลงของลัวอ้าวแล้ว เจียงเซ่อเองก็รีบตอบรับตกลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อวันอังคารช่วงดึกลัวอ้าวโทรไปอีกรอบเพื่อเตือนเรื่องเวลาที่จะนัดเจอกันในวันพรุ่งนี้ เจียงเซ่อก็เริ่มเดาว่า สิ่งที่ทำให้ลัวอ้าวให้ความสำคัญกับการนัดขนาดนี้ หรือผู้จัดการส่วนตัวที่ซื่อจี้หยินเหอหามาให้จะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปกัน
รอบแรกที่โทรมาหาเธอเรื่องที่จะนัดไปเซ็นสัญญา ก็เหมือนจะพูดถึงเรื่องการจัดหาผู้จัดการส่วนตัวให้เธอด้วย
วันถัดมาตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน เธอก็เลยตัดสินใจที่จะแต่งหน้าเบาๆ ไปด้วย
ส่วนเผยอี้ยังมีเรียนอยู่เลยไปส่งเธอไม่ได้ หมู่บ้านนี้มีการดูแลที่เข้มงวดมาก รถภายนอกจะไม่อนุญาตให้เข้าโดยเด็ดขาด แม้ว่าจะบอกว่าทำเพื่อดูแลความปลอดภัยของลูกบ้าน แต่ก็ทำให้เจียงเซ่อไม่สามารถเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับได้
ยังดีที่ในโรงจอดรถของเผยอี้มีรถหลายคัน เธอเลยยืมมาคันหนึ่ง ตั้งแต่เกิดใหม่มา เพราะว่าไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ตัวจริงของ ‘เจียงเซ่อ’ เองก็ไม่มีใบขับขี่ และแน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้ซื้อรถด้วย ก็เลยลืมเรื่องที่จะไปสอบใบขับขี่มาตลอด
สำหรับเผยอี้แล้ว เรื่องพวกนี้มันก็แค่เรื่องเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าเผยอี้เองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่โชคดีที่ป้ายทะเบียนรถของเขาแค่ดูก็รู้แล้วว่าพิเศษ ตลอดทางที่ขับไปจึงไม่เจอตำรวจมาตรวจสอบหรือซักถามอะไรทั้งนั้น หลังจากที่จอดรถที่จอดรถใต้ตึกซื่อจี้หยินเหอเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ยังเหลืออีกพอสมควร
เพราะว่าเวลาที่นัดเจอกันคือตอนบ่ายโมงครึ่ง เจียงเซ่อเองก็ออกมาก่อนเวลาประจำอยู่แล้ว มื้อเที่ยงก็เลยมาหาทานข้างนอกเสียเลย ดูเวลาอีกทีก็พบว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว เธอก็เลยเดินเข้าตึกใหญ่ของซื่อจี้หยินเหอไปทันที
เลขาอู๋ที่ทำงานอยู่บนชั้นยี่สิบห้าที่เจอกันครั้งที่แล้วกำลังยืนรออยู่ตรงฟรอนต์ชั้นแรก พนักงานฟร้อนสาวๆ ทั้งหลายต่างพากันมองหน้าไปมาอย่างตื่นเต้น
เลาขาอู๋เป็นเลขาที่ทำงานอยู่ชั้นยี่สิบห้า และคนที่ทำงานตั้งแต่ชั้นที่ยี่สิบหกขึ้นไปก็คือเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย การที่เลขาของชั้นที่ยี่สิบห้าต้องลงมารับแขกด้วยตัวเองแบบนี้ พนักงานฟรอนต์ก็เลยพากันเดากันว่าจะมีใครหรือดาราคนไหนจะเข้าบริษัทกัน
“พี่อู๋ หรือว่าวันนี่พี่ซิ่งจะกลับมาทำธุระเหรอคะ พี่อู๋ก็เลยต้องลงมาจากชั้นที่ยี่สิบห้าด้วยตัวเองเลย?”
หญิงสาวที่มีป้ายชื่อ ‘โจวซิ่วหลิง’ ติดอยู่บนอกถามขึ้น หล่อนหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ยิ้มทีก็ดูหวานสดใส ตอนนี้เป็นช่วงพักเที่ยง คนเดินเข้าออกประตูก็เลยมีไม่มากนัก หล่อนทำใจกล้าเข้าไปถามเลขาอู๋ที่ยืนอยู่ด้วยน้ำเสียงเบาๆ
ชุยซิ่งเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในดาราระดับหนึ่งที่มีความโดดเด่น แต่ว่าเพราะช่วงนี้เขางานยุ่งมาก ช่วงเวลาปกติหรือถึงจะมีเรื่องอะไร คนที่เข้ามาก็จะเป็นผู้จัดการของเขาเท่านั้น ส่วนตัวเขาก็น้อยครั้งที่จะเข้าบริษัท
ถ้าเป็นชุยซิ่งเข้ามาละก็ การที่เลขาอู๋ลงมาต้อนรับเองถึงแม้จะดูเป็นเรื่องที่เกินไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เลขาซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ แล้วส่ายหน้า
พอสาวๆ หลายคนเห็นว่าหล่อนไม่ได้โมโหและไม่ได้ว่าอะไร ความกล้าก็เริ่มมีมากขึ้น เลยลองถามออกไปต่อ
ถามอยู่ครู่หนึ่ง ความสงสัยของทุกคนก็ได้รับการเฉลย เลขาอู๋กระซิบบอกเบาๆ
“วันนี้พี่เซี่ยเขาจะเข้าบริษัทน่ะ”
ตอนที่หล่อนพูดออกมา ก็ยังคงหันไปมองทางประตูลิฟต์เป็นระยะๆ
ลิฟต์ของโรงจอดรถและลิฟต์ของชั้นหนึ่งนั้นไม่เหมือนกัน หล่อนกลัวว่าจะคลาดกับคนที่ต้องรอในวันนี้ไป เลยรู้สึกเคร่งเครียดไม่น้อยเลย
เมื่อคุณเลขาชั้นที่ยี่สิบห้าของบริษัทพูดว่า ‘คุณเซี่ย’ ขึ้นมา ในบริษัทนี้ นอกจากเซี่ยเชาฉวินที่เป็นผู้จัดการมือทองคนนั้นแล้ว ก็คงไม่มีใครที่ไหนอีกแล้ว!
พนักงานฟรอนต์สาวๆ นิ่งอึ้งไปอยู่พักใหญ่ๆ พอได้ยินแบบนั้นแล้ว สีหน้าของทุกคนก็ดูจะตื่นตกใจไม่น้อย
“พี่เซี่ยจะเข้าบริษัทวันนี้งั้นเหรอ?”
ตำแหน่งฐานะในบริษัทของเซี่ยเชาฉวิน สูงส่งกว่าดาราทั่วๆ ไป น้อยครั้งนักที่เธอจะเข้าบริษัท เผลอๆ อาจจะน้อยกว่าชุยซิ่งเสียด้วยซ้ำไป
พอตอนนี้มาได้ยินว่าเซี่ยเชาฉวินจะเข้าบริษัท โจวซิ่วหลิงที่เป็นคนถามก่อนหน้านี้ก็เกิดหน้าแดงขึ้นมาเพราะความตื่นเต้น
นี่อาจจะเป็นเพราะคำบอกเล่าที่ฟังต่อๆ กันมา ชื่อเสียงของหล่อนแถบจะเป็นที่รู้จักของคนทั้งบริษัท แต่คนที่เคยได้เห็นตัวจริงของหล่อนนั้นมีไม่มากนัก
ไม่กี่ปีมานี้หล่อนก็กำลังพยายามผลักดันงานต่างประเทศให้กับเถาเฉินอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่ากำลังจะส่งเถาเฉินไปสู่วงการบันเทิงในต่างประเทศ แล้วทำไมวันนี้ถึงกลับมาที่บริษัทได้?
“หรือว่าพี่เถาเขามีโปรเจ็กต์ใหม่ๆ กันคะ?”
พอได้ยินว่าเซี่ยเชาฉวินกำลังจะเข้าบริษัท สาวๆ ทั้งหลายก็พากันเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับเถาเฉินแน่ๆ
เลขาอู๋พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็ดันตัดบทฉับตรงส่วนสำคัญเสียดื้อๆ
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้สินะ”
“ก็เห็นว่าเถาเฉินกำลังถ่ายหนังอยู่ที่เมืองนอกไม่ใช่เหรอ? พี่เซี่ยก็ควรจะอยู่กับเธอนี่”
หญิงสาวอีกคนที่ชื่อ “จูเมี่ยว” ก็ถามขึ้นมา พอเห็นว่าเลขาอู๋มัวแต่พะวงมองประตูลิฟต์ หล่อนก็พูดขออาสารับหน้าที่เอง
“พี่อู๋ เดี๋ยวฉันช่วยดูลิฟต์ให้เองค่ะ พี่พูดต่อเถอะ”
พอเลขาอู๋โดนสาวๆ หลอกล่อเข้าเรื่อยๆ ตัวเองก็ค่อยๆ เผยความลับออกมา
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ประธานกรรมการเป็นคนสั่งให้ผู้ช่วยลัวโทรไปหาพี่เซี่ยเองเลย เธอก็เลยบินกลับจากสเปนล่วงหน้าคนเดียวก่อน และเครื่องบินก็มาถึงเมื่อตอนเช้านี้เอง”
พอพูดจบ หล่อนก็พยายามไม่สนใจคำอ้อนวอนของเหล่าสาวๆ อีก และหล่อนก็ไม่ควรที่จะพูดอะไรมากกว่านี้แล้วด้วย
แต่คนกลุ่มนี้ ยิ่งฟังจากประโยคเมื่อครู่ของเลขาอู๋ ก็ยิ่งมีความอยากรู้มากยิ่งขึ้นไปอีก การที่ประธานกรรมการเป็นคนสั่งเองแบบนี้ หรือว่าบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นอีกนะ? หรือว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการเจรจาการลงทุนของเถาเฉิน?
และในตอนที่พนักงานฟรอนต์กำลังพากันเดานู่นเดานี้อยู่ในหัว เจียงเซ่อก็เข้ามาในบริษัทพอดี
พอเลขาอู๋เห็นเธอแล้ว แววตาของหล่อนก็เป็นประกาย และไม่สนใจพวกเด็กสาวที่กำลังวุ่นวายไม่หยุด ก่อนจะเดินเข้าไป
“คุณเจียงมาแล้วหรือคะ”
ท่าทางแบบนั้นของหล่อน ทำให้คนที่ชื่อ ‘โจวเมี่ยว’ ต้องเบิกตากว้างแล้วโพล่งออกมา
“คงไม่ใช่ว่า คุณเจียงจะเซ็นสัญญากับซื่อจี้หยินเหอ แล้วท่านประธานก็จะให้พี่เซี่ยมาดูแลเธอหรอกใช่ไหม?”
พอคำพูดนั้นถูกพูดออกมาแล้ว หญิงสาวที่เหลือก็แทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
“ไม่หรอกน่า!”
“เป็นไปไม่ได้!!!”
“จริงหรือเปล่าเนี่ย?”
เซี่ยเชาฉวินเป็นคนระดับไหน แล้วดาราที่หล่อนดูแลก็มีเพียงเถาเฉินคนเดียว เถาเฉินเองก็เป็นดาราอีกคนที่ไม่เคยทำให้ซื่อจี้หยินเหอต้องรู้สึกเสียดายที่จะลงทุนให้! ส่วนเซี่ยเชาฉวินเองก็เป็นคนที่ได้เงินปันผลของบริษัท แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่เก่งกาจมากแค่ไหน แล้วทำไมจู่ๆ ทำไมถึงให้มาดูแลดาราใหม่แบบนี้?
คำพูดของโจวเมี่ยวทำให้ทุกคนเกิดตื่นเต้นขึ้นมา คนที่ได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มพากันโต้เถียง
สามสี่คนตรงนั้นเริ่มพูดเสียงดังขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเลขาอู๋ได้ยินเขาหรือเปล่า หล่อนหันหน้าไปด้วยความเฉียบขาด เพียงแวบเดียวสาวๆ ตรงนั้นก็ตกใจและสงบลงในทันที