webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

141

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 141 วิเคราะห์

เจียงเซ่อไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่กำลังจะเข้าวงการบันเทิงจริงๆ นั่นแหละ เธอเหมาะกับน้ำชาสีใส และหนังสืออีกเล่มหนึ่งมากกว่า

ตลอดที่คุยกันทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดถึงหรือเอ่ยชื่อจูพ่านเลยแม้แต่น้อย ฉางยวี่หูยกชาขึ้นจิบ แล้วประคองแก้วเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

“แต่ว่า ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ คงเป็นครั้งแรกที่เจอกับสถานการณ์แบบนี้สินะ” หล่อนถอนหายในออกมา แล้วถามขึ้น

“คิดเอาไว้หรือยัง ว่าจะเลือกเซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ไหน?”

เจียงเซ่อเองก็ไม่คิดจะปิดบังหล่อน เธอเติมน้ำชาลงในแก้วจนเกือบเต็ม แล้ววางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ

“ก็เคยทบทวนมาแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”

ฉางยวี่หูยิ้มออกมา “สมัยนี้ มันไม่เหมือนกับสมัยของพวกเรา โอกาสไม่ได้มีให้แค่คนที่พร้อมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังให้กับคนที่มีทั้งความพร้อม และมีทั้งอำนาจในตัวบุคคล วงการนี้มันซับซ้อนและมีอะไรมากมายดึงดูดให้ใครหลายคนรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดถึงคนที่ล้ม จนสุดท้ายก็ลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการเข้าวงการไป” หล่อนสายหัว “ก็เหมือนอย่างเรื่องของจูพ่านไง เธอมีความคิดเห็นอย่างไรล่ะ?”

พอพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ฉางยวี่หูก็แอบรี่ตามองท่าทางและอารมณ์ของเธอ แต่ตอนที่พูดชื่อจูพ่านขึ้น เธอก็ไม่ได้ขมวดคิ้วหรือแสดงออกมาเกลียดหรือไม่ชอบอะไร มันแสดงให้เห็นว่าเธอโดนขัดเกลานิสัยและความรู้สึกมาอย่างดี เพราะมองไม่ออกเลยว่าเธอกำลังรู้สึกดีหรือกำลังโมโหอะไรอยู่ในใจไหม แถมยังควบคุมความรู้สึกได้ เหมือนกับว่าไม่เคยเอาเรื่องของจูพ่านมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

“อาจารย์อยากจะให้หนู ลองพิจารณาซื่อจี้หยินเหอดูหรือคะ?” ตอนที่เจียงเซ่อได้ยินฉางยวี่หูพูดชื่อ ‘จูพ่าน’ ขึ้นมา เธอก็รีบตั้งสติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แล้วฉางยวี่หูก็หัวเราะขึ้นอีก แววตาที่มองเจียงเซ่อเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“เซ่อเซ่อ เธอฉลาดมากจริงๆ อืม คนที่ก่อตั้งซื่อจี้หยินเหอขึ้นมาก็คือลัวหยิ่น เมื่อหลายสิบปีก่อนลัวหยิ่นเคยติดค้างฉัน เมื่อตอนเย็นก็เพิ่งโทรมาหาฉันและแสดงความจริงใจออกมา” หล่อนคิดถึงเรื่องที่ตัวเองจะพูด “วงการบันเทิงสมัยนี้มันลึกลงไปทุกวันๆ ถ้าตกไปลงไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวละก็ บางคนก็ก้าวขาขึ้นมาเองได้ แต่บางคน แม้แต่ทางปีนขึ้นมาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ” หล่อนถอนหายใจออกมาแล้วมองเจียงเซ่อ “เธอเกิดมาพร้อมกับรากฐานที่ดี รูปโฉมแบบนี้ มันก็เหมือนกับเป็นพรจากสวรรค์ แต่มันก็ง่ายที่จะโดนคนอื่นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจหรือมีคนคอยช่วยเหลือ ก็คงจะต้องกลายเป็นแค่ของที่ให้คนอื่นเขาเล่นเท่านั้น”

“ดีที่เธอฉลาดไม่เบา รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร” หล่อนวางแก้วชาลง แล้วจัดปากกระปอกแขนเสื้อให้เรียบร้อย

“ลัวหยิ่นเป็นคนที่มีไหวพริบดีและว่องไว ความทะเยอทะยานสูง มีความกล้าที่จะเผชิญและสู้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทุกวันนี้ซื่อจี้หยินเหอก็ถือว่าเป็นบริษัทอันดับหนึ่งในวงการ ทั้งเรื่องการลงทุนและคอนเนคชั่นต่างๆ บริษัทอื่นๆ ก็แทบจะเทียบไม่ติดเลยนะ”

ที่จริง หล่อนเองก็ได้ยินมาว่าเจียงเซ่อมีคนหนุนหลังอยู่ ฉางยวี่หูพูดต่อ

“ฉันเองก็ถอยจากวงการมาหลายปีแล้ว แต่ก็เพราะว่าเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่บ้าง และรู้เรื่องทุกอย่างดี ตามที่หัวเซี่ยเจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ทั้งสื่อภายในประเทศ สื่อส่วนบุคคลหรือแม้แต่เว็บเพจทางอินเทอร์เน็ตต่างก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงกลุ่มวัฒนธรรมจะเป็นสิ่งสำคัญแรกๆ ของหัวเซี่ย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกบริษัทคิดที่จะตั้งตนให้มีอิทธิพลกันทั้งนั้น”

ตอนที่เจียงเซ่อไม่ได้มาเกิดใหม่ เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวในวงการบันเทิงนัก ตอนนี้ก็เลยนั่งฟังฉางยวี่หูอธิบายและวิเคราะห์ให้เธอฟังไปเรื่อยๆ

“วงการบันเทิงในทุกวันนี้เองก็มีเรื่องราวที่ต้องปกปิดเอาไว้ ทั้งเรื่องลับกฏเกณฑ์ และแบบอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนในฐานะนักแสดง หรือจะเป็นศิลปินก็ตาม ระดับที่หนึ่งคือหนังภาพยนตร์ ระดับที่สอง ละคร ระดับที่สาม วรรณคดี ระดับที่สี่ ดนตรี ต่อจากนั้นก็เป็นพวกเหล่าการจัดการและนักข่าวทั้งหลายแหล่” หล่อนค่อยๆ ยกนิ้วขึ้นทีละนิ้ว และพูดต่ออย่างตั้งใจ

“เธอเป็นคนที่โชคดีนะ ตั้งแต่ที่เข้าวงการมา อย่างแรกที่ได้แสดงก็คือหนังภาพยนตร์ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สูงมาก ฉันขอแนะนำเธอว่าอย่าไปรับเล่นละครจะดีกว่า เพราะมันจะเป็นการลดภาพลักษณ์ของเธอลง”

คำแนะนำนั่นถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเจียงเซ่อ เธอนั่งฟังฉางยวี่หูไปเรื่อยๆ

“งั้นพวกเรามาพูดถึงหนังภาพยนตร์กันดีกว่า ใครๆ รู้ว่าตลาดหนังภาพยนตร์มันก็เหมือนกับขนมชิ้นใหญ่ แต่ว่าตลาดใหญ่แห่งนี้มันถูกแบ่งออกเป็นกี่ส่วนกันล่ะ แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์” เธอหยิบแก้วน้ำชาออกมาตั้งเอาไว้ “สมมุติว่าตลาดหนังภาพยนตร์ในประเทศมีการลงทุนทรัพยากรอยู่สิบส่วน อย่างแรกเลยเป็นของพวกสื่อใหญ่ๆ วงการบันเทิง และเหล่าบริษัทนายหน้าเอเจนซี่ต่างๆ ไปแล้วถึงหกส่วนหรือมากกว่านั้น ก็เท่ากับว่าพวกคนเหล่านั้นก็มีอำนาจไปแล้วกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วตัวพวกเขาเองก็มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์อยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นมันก็จะเหลือทรัพยากรอีกไม่กี่ส่วนเท่านั้น แต่ส่วนที่เหลือมันจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีเราก็ค่อยมาพูดกันอีก แต่ว่า การที่เราได้เป็นคนเลือกทรัพยากรตรงนั้นก่อน มันก็เหมือนกับว่าได้สิทธิพิเศษมาฟรีๆ เลยล่ะ”

ฉางยวี่หูเงยหน้าขึ้นมองเจียงเซ่อ

“ฉันพูดแบบนี้ เธอเข้าใจไหม?”

เจียงเซ่อพยักหน้ารับ ฉางยวี่หูเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา

“ฉันเองก็ได้ยินมาบ้างว่าเธอมีคนคอยช่วยอยู่ข้างๆ แต่ว่านะเจียงเซ่อ การที่จะอยู่ในวงการหรือเส้นทางนี้โดยที่ไม่มีอำนาจหรือพรรคพวก วงการนี้มันก็ไม่น่าเข้ามาข้องเกี่ยวนักหรอก แต่ถึงจะมีอำนาจหรือมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่างที่หวัง ไม่ว่าจะเป็นงานไหนๆ ต่างก็สำคัญกับความสมดุลทั้งนั้น”

คนข้างกายของเธอก็มาพร้อมกับฐานะที่ดีไม่เบา แต่ว่า ก็เป็นเพราะว่าลงทุนมากไปหน่อย ตอนแรกๆ ก็สบาย ทำอะไรก็ราบรื่น แต่พอหลังๆ มากลับไม่พบกันอีกเลย

วงการบันเทิงเองก็มีสิ่งสำคัญอีกอย่าง นั้นก็คือจุดอิ่มตัว คนในวงการชอบพูดกันว่า คนที่มีอำนาจในวงการทหารและวงการการเมือง มักจะได้รับความสำคัญ ได้รับการประจบประแจงและเคารพนับถือ แต่สำหรับวงการการค้าการตลาดแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือผลกำไร ผลกำไรที่ต้องเฉือนแบ่งกัน และเธอที่เพิ่งจะหนีอุตลุดออกมาแย่งชิงอาหารมื้อนั้น มันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนคนอื่นมาเบียดเบียน

วงการนี้เหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่ที่จริงมันก็เล็กแค่นี้ เพราะไปมาๆ ทั้งวงการก็เหมือนจะข้องเกี่ยวกันทั้งหมด ถ้าเธอคิดที่จะทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เกิดความดีความชอบและได้ชื่อเสียงมาก็แล้วแต่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องคิดถึงทางที่ตัวเองจะเลือกเดินอยู่เสมอ ไม่ว่ายังไง เธอก็ยังต้องพึ่งรูปร่างหน้าตาของตัวเองเพื่อค่อยๆก้าวไปอยู่ดี

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่คอยช่วยเธออยู่ข้างๆ จะมีความจริงใจแค่ไหน แต่จากที่ฉางยวี่หูสังเกตมา การพึ่งคนอื่น มันไม่เท่ากับการพึ่งตัวเอง

“เธอลองดูในวงการนี้ดูสิ คนที่เกิดมาฐานะดีก็ใช่ว่าไม่มี ดังก็มี ดับก็มี แล้วคนที่มีผลงานให้จดจำมีกี่คนกัน?”

ที่จริงที่ฉางยวี่หูพูดมา ในใจของเจียงเซ่อเองก็เคยคิดมันมาแล้ว การที่เธอเดินเข้าวงการบันเทิง มันไม่ใช่แค่ชื่อเสียงและลาภยศ เพราะงั้นตอนที่เผยอี้เสนอว่าจะสร้างบริษัทขึ้นมาเอง เธอจึงตอบปฏิเสธออกไป

“หนูเข้าใจค่ะ”

ฉางยวี่หูเองก็ดูออกว่าเธอไม่ได้แค่ตอบส่งๆ แสดงว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ตนพูด และคงจะเคยคิดถึงเรื่องนี้มาด้วยแล้ว

“ถ้าเกิดให้ฉันพูดถึงจูพ่าน เธอเองก็คงเข้าใจดีนะ ฉันจะไม่ขอพูดถึงคนอื่นลับหลังละกัน” แต่ตัวเธอเองก็เหมือนจะไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไรกับจูพ่านอยู่แล้ว ซึ่งคนแบบนี้ถือว่าหาได้ยากมากๆ “ลัวหยิ่นยังติดค้างน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ กับฉันอยู่เมื่อหลายปีก่อน” ฉางยวี่หูกะพริบตามองเจียงเซ่อ “อีกอย่าง วันนี้ก็เป็นเพราะนักแสดงในสังกัดตัวเองก่อเรื่อง เขาก็โทรมาหาฉันแล้ว ถ้าเธอกำลังพิจารณาบริษัทของเขาอยู่ละก็ น้ำใจของเขาฉันก็คงจะรับไว้ล่ะนะ”

ที่หล่อนจะพูดก็คือ ถ้าเกิดเจียงเซ่อตัดสินใจว่าจะเลือกซื่อจี้หยินเหอ มีลัวหยิ่นคอยช่วยเหลือ เจียงเซ่อก็คงจะไม่เสียเปรียบอะไรมากนัก

และไม่ต้องไปสนใจว่าคนที่อยู่ข้างๆ เธอตอนนี้จะช่วยเธอไปตลอดหรือไม่ แบบนี้มันล้วนแล้วจะดีสำหรับตัวเจียงเซ่อเอง “เธอลองคิดดูดีๆ นะ”

พอฉางยวี่หูพูดประโยคนั้นจบ ก็รู้ได้ว่าหล่อนคงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว หล่อนเปลี่ยนเป็นถามถึงว่าช่วงนี้เจียงเซ่อเป็นอย่างไรบ้าง หนังเรื่อง “The Occasion of Beiping” ก็จะทำการเปิดกล้องวันที่ยี่สิบห้าเดือนมกราคมนี้แล้ว ถือว่าเป็นการเข้าขั้นตอนการถ่ายทำอย่างจริงจัง ฉางยวี่หูและโหวซีหลิ่งเองก็สนิทสนมกัน คงจะรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว

หล่อนพูดคุยกับเจียงเซ่อเรื่องบท ‘โต้วโค่ว’ ในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ อีกเล็กน้อย และได้พบว่าเจียงเซ่อฝึกซ้อมบทๆ นี้มานานพอสมควรแล้ว ใบหน้าของเธอก็เผยรอยยิ้มชมเชยออกมา

“ไม่มีงานไหนที่จะมีเส้นทางลัดเพื่อไปถึงเส้นชัย วงการบันเทิงเองก็เหมือนกับทุกๆ สายงาน ภายนอกถ้าคนมองเข้ามาก็คงเหมือนกับสวรรค์ที่แสนสวยงาม แค่ภายใน ไม่ว่ายังไงก็ต้องขัดเกลาตัวเองให้ดีอยู่เสมอ”

ในใจลึกๆ ของเจียงเซ่อเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เธอขอบคุณฉางยวี่หูที่คอยชี้นำให้อีกครั้ง

การเป็นอาจารย์ สิ่งที่ชื่นชอบที่สุดก็คือการได้เห็นลูกศิษย์แบบเจียงเซ่อนี่แหละนะ สุขุม ไม่ใจร้อน ที่สำคัญคือเธอเชื่อฟังคำสั่งสอน ถือว่าเป็นความสำเร็จและความรู้สึกดีๆ ในการเป็นอาจารย์แล้ว