webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

140

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 140 รับผิดชอบเอง

หรือพูดได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นเพราะตัวเธอนั่นเอง เพราะนอกจาก ailsa ที่ต้องลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว ซูเยี่ยนจวินเองก็ต้องโดนยึดอำนาจเช่นกัน แล้วเธอก็นึกถึงตอนที่ตัวเองรับสายโทรศัพท์เมื่อตอนเที่ยงนั่นอีกครั้ง เธอลองโทรไปอีกรอบ แต่ครั้งนี้รู้ได้ทันทีว่าปลายสายปิดเครื่องหนีเสียแล้ว

จูพ่านนั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ แววตาและสีหน้าไร้ซึ่งความารู้สึกใดๆ “หมดแล้ว”

พอตกเย็นสื่อมวลชนทั้งหลายก็เริ่มรายงานความคืบหน้าของข่าวเรื่องนี้ หัวข้อข่าวใหญ่ที่พาดเอาไว้คือ ‘จูพ่านอวดดีอีกครั้ง ปั้นหน้าน่าสงสาร พูดได้ทำไม่ได้ ฉางยวี่หูปรากฏตัวออกมาช่วยด้วยตัวเอง’

เว็บเพจข่าวทั้งหลายต่างพากันเอาหัวข้อข่าวเหล่านั้นขึ้นไว้บนหัวเว็บ และชาวเน็ตทั้งหลายก็เข้ามาด่ากราดต่อต่อจูพ่านว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นถึงตัว

ตั้งแต่ที่หนังเรื่อง ‘99 Love Letter’ ออกฉาย ฝีมือการแสดงของเธอก็ได้รับคำชมเชยจากผู้ชมมาตลอด แต่สุดท้ายเธอก็ดันมีข่าวฉาวออกมา จนมันส่งผลกระทบต่อการขายบัตรหนังไปด้วย

เมื่อตอนกลางวัน ถึงแม้ว่ายอดการขายบัตรหนัง ’99 Love Letter’จะเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนกับแค่พลุนัดหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นมาอีกนัดในตอนที่จูพ่านได้ให้สัมภาษณ์ไปในตอนบ่ายสอง แต่พอฉางยวี่หูออกมาเปิดเผยถึงความจริง ยอดขายบัตรหนังก็ลดลงต่ำอีกครั้ง

จนกระทั่งมาถึงช่วงค่ำแบบนี้ ก็ได้มีคนออกมาเปิดเผยถึงความจริงที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งมันก็เกี่ยวกับยอดขายบัตรหนังที่เพิ่มขึ้นสูงในวันนี้

มีชาวเน็ตสองคนทิ้งข้อความเอาไว้ว่า วันนี้เมื่อตอนบ่ายๆ พวกเขาได้ไปที่โรงหนังแห่งหนึ่งในตี้ตู ตอนที่ซื้อบัตรหนังก็พบว่าส่วนมากถูกซื้อไปหมดแล้ว ยากมากที่จะได้มาสักใบ พอลองเข้าในในโรงหนังที่ไม่เหลือบัตรให้ซื้อ ก็พบว่าข้างในโรงนั่นไม่มีคนเลยสักคน ราวกับว่าเป็นที่ร้างให้วิญญาณมานั่งดูมากกว่า

ข่าวแบบนี้ถ้าเป็นตอนปกติธรรมดาทั่วไปก็ไม่แปลกหรอก แต่ตอนนี้มันกำลังมีเรื่องรุนแรงอยู่เนี่ยสิ

ในอินเทอร์เน็ตเริ่มทีการโพสข้อความเหน็บแนมถากถางมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าทางทีมงานของ ’99 Love Letter’ จะไม่ได้ออกมาเหยียบเธอซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะออกมาช่วยเธออีก

อีกทั้งที่ ailsa ก็ลาออกไปแล้ว งานต่างๆ ที่เคยอยู่ในมือของจูพ่านในตอนนี้ก็ถูกแถลงว่าปลดออกหมดเรียบร้อยแล้ว แม้แต่งานแสดงต่างๆ ก็ถูกยกเลิกด้วยเช่นกัน การโดนเก็บตัวในครั้งนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้โผล่หัวออกมาอีกรึเปล่า

ที่จริงคืนนี้เผยอี้กะจะพาเจียงเซ่อไปทานข้าวด้วยกันกับพวกเนี่ยต้านที่ฉาวจิ้นเก๋อเสียหน่อย แต่พอเจียงเซ่อโทรหาฉางยวี่หูติดแล้ว เธอกับฉางยวี่หูก็ดันนัดออกไปทานมื้อค่ำพร้อมกันเสียอย่างนั้น และแน่นอนว่าคงไม่ได้ไปด้วยกันอีก

เขาจึงตัดสินใจไปส่งเจียงเซ่อที่ที่นัดกับฉางยวี่หูเอาไว้ก่อน ร้านอาหารแห่งนี้ ภายนอกเหมือนเป็นแค่บ้านส่วนตัวของคนทั่วๆ ไป จึงดูไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ตอนที่เจียงเซ่อมาถึงก็ยังเช้าอยู่พอสมควร แต่ข้างในร้านกลับมีแขกนั่งอยู่เต็มไปหมด

พอเผยอี้จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินลงจากรถและเข้าไปในร้านพร้อมเธอ ดูท่าว่าฉางยวี่หูคงเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะตอนที่เจียงเซ่อเอ่ยชื่อของหล่อนออกไป เถ้าแก่ของร้านอาหารก็ถึงกับมาเชิญเธอเข้าไปในห้องอาหารชั้นพิเศษทันที เถ้าแก่มองเผยอี้ด้วยความแปลกใจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มพูดกับเจียงเซ่อ

“คุณเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉางสินะเนี่ย?”

เรื่องที่เกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้ก็ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแล้ว

เถ้าแก่คนนี้น่าจะอายุประมานห้าสิบกว่าปี สวมผ้ากันเปื้อน และถูมือไปมา

“วันหลังถ้าอยากทานอะไร บอกผมได้เลยนะครับ แต่ถ้าไม่ชอบอะไร ก็บอกผมได้เหมือนกัน” ท่าทางเขาจะตื่นเต้นไม่น้อย “เดี๋ยวผมจะลงครัวเองเลย! อาจารย์ฉางเองก็เป็นขาประจำของที่นี่ ผมกับภรรยาของผมได้ดูและชื่นชอบหนังของเธอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นี่ก็เหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอรับลูกศิษย์นะเนี่ย ครั้งหน้าถ้ามีเวลาว่างก็แวะมานั่งได้นะครับ!”

เจียงเซ่อเองก็ยิ้มตอบไปอย่างจริงใจ เถ้าแก่คนนั้นยังยืนพูดอีกประโยคสองประโยค จากนั้นก็ยังออกไปยกน้ำชาเข้ามาให้ด้วยตัวเอง

เผผยอี้นั่งลงข้างๆ เจียงเซ่อ แล้วมองไปรอบๆ ห้องแห่งนี้ ที่นี่ถูกตกแต่งแบบโบราณและเรียบง่าย ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ล้วนแล้วทำจากไม้ทั้งสิ้น แต่ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านไม่เบา อีกทั้งข้าวของเครื่องประดับต่างๆ ก็เป็นของที่มีกลิ่นอายความโบราณ

ข้างๆ โต๊ะรับประทานอาหารเป็นหน้าต่างบานหนึ่งที่มองออกไปแล้วก็จะเห็นเป็นชายคาบ้านอีกหลัง ข้างนอกนั่นหิมะกำลังตกลงบนพื้นดินที่มีต้นบ๊วยเติบโตขึ้นมา ดอกสีเหลืองเป็นช่อเกาะติดอยู่บนกิ่งก้าน ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนได้กลิ่นหอมๆ ของมัน ถึงแม้ว่าหน้าต่างจะถูกปิดอยู่ก็ตามที

ในตอนที่เจียงเซ่อถอดเสื้อนอกออกแล้ววางมันไว้ข้างๆ เผยอี้เองก็ถอดเสื้อนอกออกเช่นกัน เจียงเซ่อเห็นแบบนั้น ก็มองเขาด้วยความแปลกใจ

“แล้วทำไมนายยังไม่ไปอีก?”

แล้วเขาก็แสดงท่าทางแง่งอนออกมา

แขนเล็กของเธอวางเอาไว้บนโต๊ะไม้ นิ้วเรียวสวย เรือนผมยาวคลอเคลียอยู่บนไหล่และพาดลงทับหน้าอก จนกลุ่มผมมันโค้งงอตามรูปทรง

“อยากให้ฉันไปรีบๆ ไปงั้นเหรอ?” แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ เธอ ที่จริงพวกเนี่ยต้านเองก็โทรมาเร่งเขาตั้งหลายครั้งแล้ว ก่อนที่จะขับรถออกมาก็รับไปแล้วสองสาย ปากเขาก็บอกว่า ‘มาแล้วๆ’ แต่ขามันยังไม่ได้ก้าวไปไหนเลยด้วยซ้ำ

เจียงเซ่อหันหน้าไปแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู ก่อนจะเตือนเขาออกมา

“นายนัดกับพวกเนี่ยต้านเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มันห้าโมงครึ่งแล้วนะ”

เผยอี้ยื่นมือไปยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมา น้ำชาที่เถ้าแก่เอามาให้คือชาอู่หลง เขารินมันลงในแก้ว แล้วส่งให้เจียงเซ่อ

“ก็ได้ งั้นถ้าเธอทานข้าวกันเสร็จแล้ว ก็โทรมาหาฉันเลยนะ”

เขายังรู้สึกติดใจและไม่อยากจะลุกออกมาด้วยซ้ำ เจียงเซ่อรับแก้วน้ำชามาแล้วจิบมัน ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจนเธอต้องหลับตาลง ขนตายาวงอนเรียงตัวสวยค่อยๆ เคลื่อนลงปิดดวงตาแสนสวยที่มีจิตวิญญาณคู่นั้น

“ได้” เธอพยักหน้า ตอนที่เผยอี้เดินออกมาจากห้องนั้น ตอนแรกก็ว่าจะไปเช็คบิลล่วงหน้าเอาไว้ให้ก่อน แต่ตอนนั้นเถ้าแก่กลับปฏิเสธที่จะรับ

“ผมดูแล้วคุณคงเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยพอตัวสินะ ลูกศิษย์ที่พี่ฉางพามาก็มีแค่คนเดียว ผมเองก็ใช่ว่าจะเลี้ยงอาหารสักมื้อไม่ได้เสียหน่อย”

ในร้านมีคนค่อนข้างมาก พอได้ยินว่าเถ้าแก่ถึงกับเข้าครัวทำอาหารเองแบบนี้ ก็พอกับแซวขำๆ ว่าปกติไม่ค่อยเห็นได้ชิมฝีมือของเถ้าแก่บ้างเลย

ชาอู่หลงที่เถ้าแก่ต้มมานี่ก็ไม่เลวเลย ตัวน้ำชาร้อนกำลังดี เหมาะกับการนั่งจิบไปเรื่อยๆ ในตอนที่อากาศหนาวๆ แบบนี้ เจียงเซ่อเพิ่งจะจิบไปได้แค่สองแก้ว แต่ร่างกายก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาเสียแล้ว

เธอนัดกับฉางยวี่หูเอาไว้ตอนหกโมงเย็น แต่ว่าทุกครั้งที่นัดกับใคร เจียงเซ่อชอบที่จะออกมาก่อนเวลาเสมอ เพื่อป้องกันว่าจะเจอกับรถติดหรือเหตุสุดวิสัยอื่นๆ จนเสียเวลาแล้วมาไม่ตรงนัด

แต่เวลาที่เหลืออยู่เธอก็ไม่ได้ปล่อยให้มันสูญเปล่า เธอหยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดมาอ่านฆ่าเวลาด้วย หลังจากที่เผยอี้ออกไปได้ไม่ถึงสิบนาที ฉางยวี่หูก็เข้ามาถึงแล้ว

“ได้ยินเถ้าแก่อู๋บอกว่า เธอมาถึงได้ประมาณสิบห้านาทีแล้ว”

วันนี้หล่อนรวบผมขึ้นไปทั้งหมด และแต่งหน้าอ่อนๆ ด้วย รูปร่างหน้าตาโดดเด่นไม่น้อย มาถึงหล่อนก็ถอดเสื้อนอกออกแล้ววางกระเป๋าลง พอเห็นว่าเจียงเซ่อลุกขึ้นทำความเคารพตนก็รีบโบกมือว่าไม่ต้องก็ได้ จากนั้นก็เห็นหนังสือในมือของเจียงเซ่อ

“‘ฉิวถู?’ (นักโทษที่ถูกคุมขัง)”

เจียงเซ่อปิดหนังสือลง แล้วทำความเคารพเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น

“อาจารย์เคยอ่านแล้วหรือคะ?”

หนังสือเล่มนี้เป็นภาษาละติน จากนั้นหัวเซี่ยก็นำมาแปลและตั้งชื่อเรื่องเป็น ‘ฉิวถู (นักโทษที่ถูกคุมขัง)’ แทน แต่เล่มที่เจียงเซ่อยืมมาเป็นภาษาอังกฤษ เพราะกลัวว่าฉบับที่ถูกแปลเป็นภาษาจีนมันจะไปปรับเปลี่ยนตัวงานประพันธ์ที่แสนมีเสน่ห์ดั้งเดิมเสียหมด หนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับนักอ่านในประเทศนัก เพราะเนื้อหาของมันจะหนักไปทางศาสนามากเป็นพิเศษ นักเรียนส่วนมากที่ถึงแม้จะอยู่ในช่วงฝึกภาษาอังกฤษ ต่างก็พากันขยาดและไม่นิยมกัน ดังนั้นคนที่อ่านจริงๆ ก็จะมีไม่มากนัก

เจียงเซ่อไปเจอมันเข้าตอนที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในห้องสมุด พออ่านคร่าวๆ แล้วก็รู้สึกสนใจจึงยืมมา

มีเพียงคนที่เคยได้อ่านเท่านั้นที่จะจำหน้าปกของมันได้

ฉางยวี่หูพยักหน้า เจียงเซ่อรินน้ำชาเธอ หล่อนเองก็ยื่นมือมารับมันไป

“เนื้อเรื่องส่วนมากจะมีกลิ่นอายและพื้นหลังของอิตาลีในช่วงที่มีการฟื้นฟูศิลปวรรณคดี อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อมากมาย ถือว่าแปลกและมีเอกลักษณ์มากๆ”

เจียงเซ่อเก็บหนังสือลง ฉางยวี่หูหัวเราะขำขันขึ้นมา

“เด็กคนนี้นี่ ไม่เหมือนกับว่ากำลังจะเข้าวงการบันเทิงเลยนะเรา”