娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 108 แรงบันดาลใจ
เหล่าผู้ชมในห้องโถงงานหนังรอบปฐมทัศน์ต่างก็รู้สึกกันได้ ว่าตอนนี้ชุยซิ่งก็คือหลี่ชิงหยาง การแสดงของเขามันเป็นธรรมชาติมากๆ นั่นคงจะเรียกว่าการแสดงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ต้องเรียกว่าเป็นชุยซิ่งที่หลอมรวมไปกับหนังมากกว่า
สีหน้าและสายตาเผยความตกตะลึงออกมา ราวกับว่าได้ไปเจอเรื่องสะเทือนใจอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างคล้อยตามไปกับการแสดงของเขา ต่างพากันสนใจกับภาพตรงหน้าที่ชุยซิ่งมองมันอย่างสนอกสนใจ
ความจริงแขกในงานทั้งหลายต่างก็คงจะพอเดาเนื้อเรื่องพื้นฐานของหนังนี้ออกกันแล้ว
และก็คงเขาใจแล้วว่าชุยซิ่งที่กำลังแสดงเป็นหลี่ชิงหยางในตอนนื้คือฉากที่ได้พบกับหญิงสาวในฝัน แต่ทว่าในฉากก่อนหน้านี้ หลี่ชิงหยางและจูพ่านที่แสดงเป็นจ้าวหรง ทั้งสองต่างเป็นเพื่อนที่สามารถเล่นกันแบบไม่คิดอะไร มิตรภาพแบบนั้นทำให้คนดูพากันซาบซึ้ง การที่หลี่ชิงหยางดันสะเพร่าไปมีความรู้สึกดีๆ ให้กับตัวละครอื่น ก็อาจจะสามารถทำให้คนดูเกิดไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ความคิดแบบนั้นเกิดขึ้นมากมายจากผู้คนที่เข้ามาดูหนังรอบปฐมทัศน์ของเรื่องนี้ แต่ในฉากถัดมา หลังจากที่หลี่ชิงหยางเกิดความหวั่นไหว ในแววตาของเขาก็สื่อความหลงใหลและความชื่นชมออกมา ทำให้คนในงานต่างพากันให้ความสนใจกับสิ่งที่ทำให้ หลี่ชิงหยางเป็นแบบนั้น
หลี่ชิงหยางเกาะกระจกบนใหญ่ด้วยลมหายใจติดขัด ในใจของเขา ที่นี่เป็นร้านขายเปียโน เป็นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะเข้าใกล้ขนาดนี้ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เขาถึงขนาดที่ว่าเอาหน้าเข้าไปแนบกับกระจกเพราะคุมสติตัวเองไม่อยู่ ลมหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีไอฝ้าขึ้นบนกระจก
ท่าทางอาการแบบนั้นทำเอาคนดูรู้สึกตามไปด้วย ตั้งแต่หนังเริ่มจนถึงตอนนี้ คนส่วนมากก็เหมือนจะโดนดึงดูดให้อยู่กับหนังเสียงแล้ว มีบางคนที่ยื่นมืออกไปแบบไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่รู่ว่าถึงจะทำแบบนั้นก็ไม่สามารถทะลุจอเข้าไปได้ก็ตาม
แต่เหอฉงกลับนั่งอยู่อย่างสุขุมและมั่นคง ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เผลอทำท่าทางตลกๆ แบบนั้นออกมา แต่ตอนนี้ในใจของเธอกลับรอที่จะให้กล้องเปลี่ยนไปเป็นอีกฉากเสียที
ในนาทีต่อมา ทุกคนต่างก็คิดว่าหญิงสาวที่แสดงเป็นหญิงสาวในฝันจะต้องหันมาแล้วแน่ๆ กล้องค่อยๆ แพนไป แต่ภาพแผ่นหลังของหญิงสาวในฝันก็วิ่งผ่านกล้องไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่จะมีคนดูคนไหนมองภาพนั้นได้ย่างชัดเจน จ้าวร่างก็ตัดภาพนั้นไปเป็นฉากต่อไปทันที
และนั่นก็ทำให้ในใจของใครหลายๆ คนอยากจะด่าจ้าวร่างออกมา นี่มันบ้าจริงๆ!
ไหนก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังจะมีไพ่ตายสุดท้ายลงมาอีก
แต่การแสดงของชุยซิ่งเมื่อครู่นี้ กลับทำให้ทุกคนเกิดความแปลกใจขึ้นมา ตอนนี้มีคนหลายคนที่แทบจะทนไม่ไหว อยากจะถามเขาให้รู้เรื่องเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
แต่จ้าวร่างกลับทำไม่เหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ ฉากต่อไปถูกเปลี่ยนเป็นฉากหลังจากที่หลี่ชิงหยางได้พบกับหญิงสาวในฝันที่ทำให้หวั่นไหวแล้ว
ถึงแม้แต่ชื่อของหญิงสาวในฝันที่ได้เจอครั้งเดียวก็ยังไม่รู้ก็เถอะ แต่แค่เจอครั้งนั้นก็ทำให้เขากลับกลายเป็นคนละคน
เขาไปที่ร้านเปียโนร้านนั้นนานขึ้น แต่ทุกครั้งก็จะอยู่แค่ข้างนอกเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้เห็นหญิงสาวในฝันของตัวเองอีกเลย
เขาเหมือนคนขวัญหาย และเริ่มที่จะเจ็บปวดขึ้นมาเรื่อยๆ
จากนั้นหลี่ชิงหยางก็เริ่มที่จะเขียนจดหมายถึงหญิงสาวในฝันคนนั้น เขาเขียนเรื่องแย่ๆ ที่ได้เจอในชีวิตประจำวัน เขียนเรื่องดีๆ ในชีวิตก็เขียน เขียนไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนมันถูกวางซ้อนกันจนเป็นกอง
แต่ในขณะที่ตัวเขาเริ่มดำดิ่งกับเรื่องของหญิงสาวในฝันของตัวเอง เขาก็เริ่มที่จะไม่ทันไปสนใจถึงจ้าวหรงเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ
ทุกครั้งที่เขาอยู่ต่อหน้าจ้าวหรง เขาก็มักจะพูดเรื่องคนที่ได้เจอในร้านเปียโนขึ้นมา หญิงสาวในฝันของเขากำลังนั่งดีดเปียโน เขาพูดถึงเรื่องเหล่านั้นอย่าร่าเริง แววตาก็ดูประกายตลอดเวลา แต่จ้าวหรงกลับทำได้แค่ต้องฝืนยิ้มออกไป และนั่งฟังเขาพูดถึงเรื่องเหล่านั้นเงียบๆ
เขายังคงเขียนจดหมายให้หญิงสาวในฝันเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความทรมานของหลี่ชิงหยางในตอนที่เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ แต่สุดท้ายแล้ว คนที่คอยเชียร์เขา คอยหาวิธีที่จะซื้อเปียโนให้เขาเพราะอยากให้เขามีความสุข ก็คือจ้างหรงมาโดยตลอด
ทุกๆ วันที่หลี่ชิงหยางเลิกเรียนเขาก็จะมีงานที่ต้องไปทำต่อ เว้นเสียแต่วันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงเย็นๆ พอทำงานบ้านอะไรเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละ ถึงจะเป็นเวลาของเขา
ท่ามกลางแสงไฟสลัว เขาก็มักจะทำความสะอาดร่างกายตัวเองให้เอี่ยมอ่อง มือนั่นก็ล้างแล้วล้างอีก ถึงจะได้มาเริ่มเขียนจดหมายได้
เวลาที่เขาเขียนจดหมาย เขาจะทำมันด้วยความเคารพเสมอ ราวกับว่ากำลังกราบลงต่อหน้าเทพเจ้า
ในทุกๆ อาทิตย์เขาจะต้องเขียนจดหมายหนึ่งฉบับเสมอ ไม่นานนักจดหมายพวกนั้นก็ถูกวางซ้อนกันจนสูง และเขาก็มักจะชอบคอยจัดเรียงมันอยู่เสมอ ความรู้สึกกำลังตกหลุมรักอะไรแบบนั้น ชุยซิ่งสามารถแสดงและสื่อมันออกมาได้ดีมาก
และเพราะเขาได้มอบวิญญาณและหัวใจให้ขนาดนั้นแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาก็ดูจะทรมานมากยิ่งขึ้น เขายังไปที่ร้านเปียโนนั่นเหมือนเดิม เพราะอยากจะเจอกับหญิงสาวในฝันคนนั้นอีกสักรอบ
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดฮึดมีความกล้าขึ้นมา ก้าวเท้าเข้าไปในร้านเปียโนนั่น
เสื้อผ้าทั้งเนื้อทั้งตัวเขามันซอมซ่อยังกับอะไรดี แต่พนักงานในร้านเปียโนกลับไม่ได้ขับไล่หรือตะโกนด่าอย่างที่เขาคิดเอาไว้ กลับกันพอพวกเขารู้ว่าตนชอบเปียโน พวกเขาก็ยังยอมให้ตนลองเล่นอีกด้วย ในตอนนั้นเองที่หลี่ชิงหยางพบว่า เป็นตัวเองนั่นแหละที่ผูกมัดตัวเองเอาไว้ ไม่ใช่เพราะโลกใบนี้เสียหน่อย เป็นเขาเองต่างหากที่เอาแต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจกับชีวิตตัวเอง
จนกระทั่งเขาทำเพื่อหญิงสาวในดวงใจคนหนึ่ง กล้าที่จะเดินเข้ามาในที่แห่งนี้ พอหันกลับมาดูอีกทีก็เพิ่งจะพบว่าทุกอย่างมันไม่ได้แย่อย่างที่ตนคิดเลยสักนิด
เวลาที่เขาอยู่กับเปียโน ถือว่ามีพรสววรค์มาก และเปียโน Steinway ก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธคนที่ชอบเสียงดนตรี และหลงใหลในศิลปะ
พนักงานของร้านเปียโนช่วยงัดความสามารถเขาออกมา ให้เขาได้อาจารย์ทีมีชื่อเสียงคนหนึ่ง เพื่อเขียนความในใจออกมาให้หญิงสาวในฝันคนนั้น บอกถึงความสุขที่อยู่ลึกๆ ในใจให้ได้ฟัง เขาและจ้าวหรงพากันร้องเพลงออกมาอย่างเสียงดัง
เขาฝึกซ้อมอย่างยากลำบาก เพื่อรักษาโอกาสที่ไม่ได้มีมาง่ายๆ แบบนี้ เขาได้พูดถึงความในใจให้จ้าวหรงฟังไปหลายครั้ง
จนกระทั่งวันที่เขาได้ขึ้นแสดงบนเวทีกับอาจารย์ เขาก็เกิดดังขึ้นมา!
มาถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จขนาดนี้ มันก็เริ่มมาจากการที่ได้เจอกับหญิงสาวที่มีความสง่าและแสนดึงดูดคนนั้นนั่นเอง แต่ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่เคยได้เห็นเธออีกเลย
แต่คนที่คอยอยู่ข้างเขา คนให้กำลังใจและสนับสนุนเขา กลับเป็นจ้าวหรงมาโดยตลอด
หลี่ชิงหยางเพิ่งจะได้รู้ คนที่คอยมุ่งแต่จะวิ่งตามจนขามันหยุดไม่ได้นั้น ง่ายเหลือเกินที่จะมองข้ามคนที่อยู่รอบตัวไป
ในตอนที่เขาไล่ตามหาหญิงสาวในฝันคนนั้น เอาแต่ทุกข์ร้อนกับเรื่องในใจของตัวเอง จนไม่ทันได้สนใจจ้าวหรงที่อยู่ด้วยกันมาตลอด เขาพลาดอะไรไปมากมายเหลือเกิน
ในตอนที่เขาหยิบกล่องใส่จดหมายขึ้นมา เขาก็ตัดสินใจว่านี่จะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายแล้วที่เขาจะเขียนให้กับหญิงสาวในฝัน จดหมาย ที่ไม่เคยได้ส่งเลย
บนหน้าจอนั่นปรากฏตัวหนังสือขึ้นมาประโยคหนึ่ง มีคนไม่น้อยเลยที่เริ่มแสดงความรู้สึกลึกๆ ออกมา หรือแม้แต่เหอฉงที่คอยจ้องแต่จะจับผิดก็ยังขอบตาแดงขึ้นมาได้
จ้าวร่างนี่ช่างฉลาดจริงๆ เนื้อเรื่องในหนังของเขาสามารถตีเข้ากับความรู้สึกของคนดูได้เป็นอย่างดี
ในห้องโถงใหญ่ไฟค่อยๆ สว่างขึ้นมา จากนั้นเสียงดนตรีของนักเปียโนอย่างต้งสัวผู่ก็บรรเลงขึ้นมา พอได้มาฟังอีกรอบแบบนี้แล้ว มันก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งและกินใจเข้าไปอีก หลายคนยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ เหมือนกับว่ายังกู้อารมณ์เมื่อครู่กลับมาไม่ได้ จนกระทั่งพิธีกรขึ้นไปบนเวทีก็ค่อยพากันกลับมาเหมือนเดิม เหอฉงเองก็รีบแทรกตัวไปข้างหน้า ซึ่งตอนนี้พวกสื่อมวลชนเองก็กำลังแย่งที่จะเข้าไปสัมภาษณ์จ้าวร่าง
“ผู้กำกับจ้าว ทำไมมาถึงวันนี้แล้ว หญิงสาวในฝันของคุณก็ยังอยู่ในความลับอีกล่ะ”
เพราะถึงแม้ว่าคนที่แสดงเป็นหญิงสาวในฝันจะไม่เคยได้ออกมาอีกเลย แต่การเอ่ยถึงและความเกี่ยวข้องก็ยังมีอยู่ทั้งเรื่อง ถือว่าเป็นแกนหลักเลยด้วยซ้ำ