webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

094

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 94 เชื้อเชิญ

นักแสดงก็ต้องพิจารณากับสิ่งที่ตัวเองจะต้องแสดงออกมาเช่นกัน ต้องคอยทดลองและค้นหาหลายๆ ด้านด้วยตัวเอง

“The Occasion of Being” ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว ถ้าเธออยากจะแสดงบทโต้วโค้วที่อาจารย์โหวเขียนขึ้นมาให้ดี ฉันก็จะสอนวิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอ” วิธีที่ง่ายที่สุดที่ฉางยวี่หูบอก นั่นก็คือการกลับไปซ้อมบทโต้วโค้วบ่อยๆ นั่นเอง ฝึกให้เยอะๆ ในฉากหนึ่งฉากต้องซ้อมสักสิบรอบ ยี่สิบรอบ สามสิบรอบ เยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทำให้มันชินจนเป็นธรรมชาติ ต่อไปถ้าถึงเวลาถ่ายจริง ก็จะได้เข้าถึงบทบาทได้ดี

“ทุกครั้งที่เธอซ้อม เธอก็จะยิ่งได้รู้ว่าตัวเองยังบกพร่องตรงไหน แล้วก็แก้มันซะ” ฉางยวี้หูถอนหายใจออกมา “ไม่มีทางลัดสำหรับความสำเร็จหรอกนะ เว้นเสียแต่ว่าเธออยากจะใช้ใบหน้าสวยๆ นี่น่ะนะ วัยสาวมันก็แค่ไม่กี่ปี เดี๋ยวก็กลายเป็นคนแก่แล้ว แบบนั้นคงไม่มีใครจำได้หรอกนะ

แววตาของหล่อนที่มองเธอมันดูอบอุ่นมากๆ หล่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบาง

“เซ่อเซ่อ เธอจะเลือกทางไหนดีล่ะ?”

“ถึงแม้ว่าทางลัดมันจะง่ายและรวดเร็ว แต่หนูชอบที่จะท้าทายอุปสรรคค่ะ” แน่นอนว่าเจียงเซ่อไม่ยินยอมที่จะเป็นแค่แจกันดอกไม้ราคาถูกเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ตอนที่เธอเซ็นสัญญาและได้บทโต้วโค้วของเรื่องThe Occasion of Beipingมาแล้ว เธอก็คงไม่ทนลำบากมานั่งฝึกซ้อมแบบนี้หรอก

ตลอดการซ้อมก็ใช่ว่าจะราบรื่นดี การเข้าปีหนึ่งเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ วิชาเลือกที่เธอลงก็ไม่เคยขาด ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเธอก็ไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์

ฉางยวี่หูยิ้มขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นไปแตะเรียกเธอ

“มานี่สิ ฉันจะพาเธอไปแนะนำกับต่งฉาวผิง เขาอยู่ในวงการนี้มานานและรู้จักคนมากมาย”

ในตอนนี้ฉางยวี่หูเริ่มจะสนิทกับเธอมากขึ้นแล้ว หล่อนจูงมือเจียงเซ่อไปทำความรู้จักกับผู้ชายวันกลางคนที่เธอคุยด้วยเมื่อครู่

หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว และเพื่อเป็นการให้เกียรติฉางยวี้หู ต่งฉาวผิงก็ได้ยื่นนามบัตรให้เจียงเซ่อไป

ตอนที่ทั้งสองเดินออกมาจากโรงละคร ฉางยวี่หูก็จัดผ้าพันคอของตัวเองให้เข้าที่ พลางพูดกับเธอไปด้วย

“ต่งฉาวผิงเขาอยู่คลุกคลีกับโรงละครมานาน คนในคนนอกเขาก็รู้จักหมด การที่ได้มารู้จักกับคนกลุ่มนี้ ก็ถือว่าได้เข้าวงการบันเทิงแล้วล่ะ แถมยังถือว่าเป็นศิลปินอีกด้วย เซ่อเซอ เธอเข้าใจหรือเปล่า?”

เจียงเซ่อพยักหน้า และจดจำคำพูดของฉางยวี่หูไว้ในใจ

“ถ้าวันหลังมีเรื่องอะไร หรืออยากจะกลับมาฝึกซ้อมที่นี่อีก ก็ลองโทรหาเขาดูนะ แค่พูดชื่อฉันขึ้นมาก็พอแล้ว ทำความรู้จักกับพวกเขาไว้ วันหน้าหากเธออยากจะเข้าวงการนี้ มันจะได้ราบรื่น”

อายุของหล่อนก็ไม่น้อยแล้ว แต่บุคลิกท่าทางของหล่อนก็สามารถทำให้คนมองข้ามริ้วรอยบนใบหน้าไปได้ หล่อนเป็นคนที่สุภาพเยือกเย็นและใจกว้างไม่น้อยเลย

“อาจารย์คะ ให้หนูได้เลี้ยงอาหารมื้อค่ำอาจารย์นะคะ”

ทั้งสองจับมือเดินออกมาจากโรงละคร ผู้คนมากมายต่างหันมามองด้วยความสนใจ เหมือนบางคนจะจำได้ว่าคือฉางยวี่หู แต่ก็ลังเลและไม่กล้าเข้าไปทัก

ฉากยวี่หูโบกมือ “โอกาสหน้ายังมีอีกเยอะ คืนนี้ฉันนัดกับเพื่อนๆ แล้ว ไว้วันหลังว่างๆ ค่อยโทรมานัดฉันใหม่ก็ได้”

พอหล่อนพูดจบ ก็ยังยืนคุยกับเจียงเซ่ออบยู่สองสามประโยค ก่อนจะรับโทรศัพท์แล้วรีบเดินออกไปทันที

เจียงเซ่อนึกถึงคำที่ฉางยวี่หูพูด และเธอก็คิดว่ามันเป็นคำพูดที่มีเหตุผลมากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นในสายทางไหน ไม่มีหรอก ทางลัดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ง่ายๆ ถ้าอยากจะมีฝีมือการแสดงที่ดีขึ้น ตัวเองก็ต้องฝึกต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะเป็นอย่างที่คิดได้

แต่ว่า ถ้าให้เธอฝึกอยู่ในห้องมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ที่มันจะยุ่งยากก็คงเป็นเพราะเธอมองไม่เห็นตัวเองตอนแสดง และนั่นก็จะทำให้เธอมองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองด้วย

เธอยืนอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง มือถือที่อยู่ในกระเป๋ามันก็ดังขึ้นมา พอหยิบขึ้นมารับสาย เผยอี้ก็กรอกเสียงกลับมาอย่างเร่งรีบ

“อยู่ที่ไหน?”

ตอนนี้สติและใจของเขามันไปอยู่ที่เจียงเซ่อหมดแล้ว ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกและสิ่งที่ตัวเองคิดได้เลย พอเจียงเซ่อบอกว่าอยู่หน้าโรงละคร เขาก็รับตอบกลับทันที

“ฉันจะไปถึงแล้ว เธอรอฉันก่อนนะ”

ตอนที่เขาโทรไปหาเธอ เอาจริงๆ เขาก็ใกล้ถึงแล้ว พอเจียงเซ่อจะปฎิเสธ สายก็ถูกตัดไปเสียก่อน และไม่ถึงนาที ก็มีรถสปอร์ตราคาแพงสีดำเข้ามาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าทางเข้า เขาชะโงกตัวออกมาจากช่องกระจก แล้วกวักมือเรียกเธอ

พอเผยอี้จอดรถกะทันหันแบบนี้ รถด้านหลังที่วิ่งตามมาก็พากันติดยาว มีคนไม่น้อยเลยที่ตะโกนกันด่าเขา แต่เผยอี้ก็ทำตัวหูทวนลม

พอเจียงเซ่อเห็นว่าเขากำลังจะทำให้คนอื่นโมโห เธอก็รีบลงบันได้มาแล้วขึ้นรถเขาทันที

“นายมาได้ยังไง?”

“เดาว่าเธอคงจะอยู่ที่นี่ พอเรียนเสร็จก็เลยมาหา” พอเขาได้เห็นเจียงเซ่อก็ยิ้มจนตาประกาย ความชอบในดวงตา ก็แทบจะปิดไม่มิดเลย “เซ่อเซ่อเองก็ วันหลังไป*ซิทอิน (เข้าไปร่วมในชั้นเรียน ในที่ประชุม การถกแถลงอภิปราย แต่เข้าไปนั่งฟังเฉยๆ) ในวิชาของฉันบ้างสิ”

เขาอยากจะเจอเธอบ่อยๆ แต่พอพูดประโยคนั้นจบ เขาก็ได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง

“ช่างมันเถอะ”

เธอค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงมากในมหา’ลัย คนมากมายในกลุ่มคนที่ชอบพูดถึงเธอและแอบจ้องเธอตาเป็นมัน เผยอี้เลยสั่งให้เซี่ยงชิวหรานไปหาคนมา และทำลายแอคเคาท์ที่เอารูปเธอมาลงซะ รวมทั้งรูปของเธอก็ถูกลบไปเยอะแล้วเหมือนกัน ช่วงนี้ชาวเน็ตบนเว็บมหา’ลัยต่างก็พากันคร่ำครวญ และคนส่วนใหญ่ก็พากันด่าทอคนที่ทำแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครด้วยซ้ำ

“เธออยากไปไหนไหม?” เขาหันหน้ามาหาเธอ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม

รถข้างหลังที่ยังติดก็เริ่มทนไม่ไหว ถึงกับมีคนเดินลงมาเคาะกระจกรถเรียกเลยทีเดียว คนอื่นเขายังไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเผยอี้โดนคนมากวนในขณะที่กำลังคุยแบบนี้ เขาก็เกิดไม่พอใจขึ้นมาแล้วปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วออกไปทันที

“มีปัญหาอะไร?”

ร่างกายของเขาสูงใหญ่ แรงกดดันที่เขาปล่อยออกมาก็ไม่ใช่เล่นๆ แค่เห็นคิ้วที่ขมวดกันแบบนั้นก็ไม่อยากจะมีเรื่องด้วยแล้ว

คนที่มาเคาะกระจกรถเตี้ยกว่าเขาอยู่เกือบคืบกว่า หมอนั่นเดินถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเดินกลับไปขึ้นรถตัวเอง

เจียงเซ่อมองดูเขาที่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินเข้ามานั่งในรถเหมือนเดิม แต่ก่อนก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าเผยอี้เป็นคนที่ใครด่าไม่ได้เลย นอกจากครั้งนั้นที่โรงแรมรุ่ยจี๋ นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งที่สองที่เห็นเขาเป็นแบบนี้

เขาหันกลับไปมองเขียงเซ่อแล้วยิ้มขึ้นเบาๆ หูและหน้าของเขาขึ้นสีแดงเพราะกำลังอารมณ์เสีย

“มันนิสัยไม่ดี มารบกวนบทสนทนาของเราน่ะ”

“ฉันว่าจะไปเดินๆ ที่ห้างหน่อยน่ะ ว่าจะเปลี่ยนมือถือ” พอเธอพูดจบ เขาก็พยักหน้า เขาถอยรถอยู่สองสามที ก่อนจะออกตัวพุ่งทะยานออกไปเหมือนกันลูกศร

มือถือของเธอมันเก่าแล้วจริงๆ นั่นแหละ แถมคุณสมบัติของมันก็ทำได้แค่โทรเข้าโทรออก และรับข้อความเท่านั้น

เผยอี้ทำตัวเหมือนนิ่งๆไม่พูดอะไร แต่ในหัวของเขานี่สิ มันมีสิ่งหนึ่งที่วนเวียนไปมาไม่หยุด เขาคิดว่าเธอใช้มือถือแบบนี้น่ะดีแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องเปิดอินเทอร์เน็ตเล่นเยอะนัก เพราะไอ้พวกคนในเน็ตจะได้ไม่มีช่องทางหาเธอได้ แต่ถ้าเธอคิดอยากจะเปลี่ยนมือถือตอนนี้ มันเป็นไปได้รึเปล่าที่เธอต้องการจะใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับใคร?

“เธอชอบแบบไหนล่ะ?”

เขาถามขึ้นมาแบบลอยๆ เจียงเซ่อไม่คิดว่าเขาจะถามรายละเอียดขนาดนี้ เธอจึงพูดถึงตอนที่ฉางยวี่หูพูดกับเธอขึ้นมา

“ฉันอยากได้มือถือที่สามารถถ่ายวีดิโอได้ ก่อนหน้านี้ที่โรงละคร ฉันได้พูดคุยกับอาจารย์ฉางมา หนังเรื่อง The Occasion of Beiping ใกล้จะเปิดกล้องแล้ว เขาอยากจะให้ฉันฝึกซ้อมบทโต้วโค้วที่ฉันได้รับเล่นให้มากๆ ฉันเลยอยากได้มือถือที่ถ่ายวีดิโอได้ เอาไว้ดูว่าฉันแสดงดีพอหรือยัง”

พอเผยอี้ได้ยินแบบนั้น ในใจเขาก็โล่งขึ้นเยอะ จากนั้นแววตาเขาก็กลับมาเป็นประกายเหมือนเดิม

“เซ่อเซ่อ เธอดูตั้งใจมากเลยนะ”

เขาหันหน้าไปมองเธอ แล้วพูดต่อขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “จะถ่ายวีดีโอเหรอ ไปบ้านฉันก็ได้นะ ที่บ้านฉันมีกล้องอยู่ เธอจะไปฝึกซ้อมที่นั่นบ่อยๆ เลยก็ได้”