娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 93 ความในใจ
ถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อน ถ้าเผยอี้ชวนไปกินข้าวแบบนี้ เจียงเซ่อคงไม่มีทางที่จะปฏิเสธแน่ๆ แต่ตอนนี้เธอมาเกิดใหม่แล้ว ทั้งสองต่างก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เธอหันหน้ากลับและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ต้องแล้วล่ะ”
เผยอี้รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่พูดออกไปแบบนั้น และเขาก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีหรือข้ออ้างอะไรมารั้งเธอแล้วด้วย เขามองไปที่เจียงเซ่ออย่างน่าสงสาร ท่าทางแบบนั้นทำเอาเจียงเซ่อหลุดหัวเราะออกมา
“หรือจะไปเดินเล่นหน่อยดีไหม แล้วเดี๋ยวฉันจะกลับมหา’ลัยเอง”
เผยอี้ไม่ได้อยู่ในมหา’ลัย และวิชาเรียนอีกทีของเธอก็เป็นวันอังคาร พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เลยไม่มีเรียน เลยคิดว่าจะกลับไปที่หอแล้วท่องบทเสียหน่อย
ยามเย็นที่โรงละครแห่งนี้มีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา แต่พอรถขับรถออกมาอีกหน่อย ก็จะเป็นสวนสาธารณะแล้ว
การชวนมาแบบนี้ทำเอาเผยอี้ใจเต้นไม่น้อย พอจอดรถเรียบร้อยแล้ว เจียงเซ่อก็ยืนรออยู่หน้าทางเข้าแล้ว มือทั้งสองข้างของเธอสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม
เธอสวมชุดคลุมตัวใหญ่สีชมพู ผมของเธอยาวมาก ยาวจนถึงเอว เธอยืนอยู่หน้าทางเข้าเลยมองไปรอบๆ กลายเป็นภาพทิวทัศน์อันสวยงาม ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็พากันหันไปมองเธอ
“ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เธอพูดถึงโหวซีหลิ่งขึ้นมา ฉันรู้จักนะ” พอเขาเดินเข้าไปหาเธอ รูปร่างและหน้าตาของทั้งสองนั้นดึงดูดคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่น้อย เผยอี้เห็นแบบนั้นก็เริ่มไม่ชอบใจ เลยพาเธอมาเดินจุดที่ไม่ค่อยมีคนแทน
“ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เธอชอบอ่านหนังสือที่โหวซีหลิ่งแต่งมากๆ”
เท้าของเขาค่อยๆ ก้าวลงบนทางหินไปเรื่อยๆ ทางเดินที่โดนผู้คนเหยียบซ้ำไปซ้ำมาจนมันเกลี้ยงเกลา ตอนที่เขาก้มหน้าและพูดประโยคนั้นขึ้นมา เขาก็เอาปลายเท้าไปวาดตามรอยหินนั่นด้วย น้ำเสียงของเขาก็เบาลง
“ที่จริงแล้ว ฉันท่องหนังสือของโหวซีหลิ่งได้ด้วยนะ จะกี่เล่มก็จำได้”
ตอนที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนไม่น้อย ทำเอาหัวใจของเจียงเซ่อใจกระตุกเบาๆ แล้วมีความรู้สึกแย่บางอย่างที่พูดไม่ออก
“นั่นก็เพื่อที่ว่า เผื่อสักวันที่เธอคุยเรื่องโหวซีหลิ่งขึ้นมา ฉันก็จะได้คุยกับเธอได้ เธอจะได้ไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไป” เขาเงยหน้าขึ้น เจียงเซ่อแทบไม่กล้าจะสบสายตาที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนผะผ่าวเลย เธอจึงหันหน้าไปมองทางอื่น มองไปยังที่ไกลๆ
“ความรู้สึกแบบนั้น มันเหมือนตอนที่ฉันเพิ่งท่องคำสั่งสอนของพวกผู้ใหญ่เสร็จเลย รอจนกว่าพวกเขาจะมาตรวจมัน” ท่าทางของเขาดูกระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อย เขาถามออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“เซ่อเซ่อ เธอเข้าใจหรือเปล่า?”
เธอก้มหน้าลง ปิดบังใบหน้าที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเอาไว้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ไปเธอได้ไปเห็นหน้าจอมือถือของเขาเข้าโดยบังเอิญ แล้วมาได้ยินเขาพูดบ่นกับตัวเองแบบนี้แล้ว เธอก็อาจจะไม่มีทางรู้ว่าเผยอี้มีความคิดและรู้สึกอย่างไรกับเธอ
ด้วยเพราะเธอห่างจากเขาถึงห้าปี
แต่ว่าตอนที่ได้เห็นมือถือของเจียงเซ่อก็รู้สึกตกตะลึง แต่มันก็ยังไม่สะเทือนอารมณ์เท่ากับตอนนี้ที่เขาพูดประโยคนี้ขึ้นมาลอยๆ
เธอไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเผยอี้จะทำอะไรมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดว่าไปจำหนังสือของโหวซีหลิ่งมาเลยทีเดียว
โหวซีหลิ่งเกษียณออกมาตั้งกี่ปีแล้ว? ถึงแม้ว่าหนังสือเหล่านั้นจะเป็นหนังสือที่เฝิงหนานชอบ แต่ก็คงจำได้แค่เค้าโครงเรื่อง คงไม่กล้าพูดว่าสามารถท่องเนื้อหาในหนังสือได้หรอก
และไม่ว่าจะยังไงเขาคงไม่ชอบมันเลยด้วยซ้ำ เจียงเซ่อก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามขนาดนั้น
“แต่ที่น่าเสียดายคือ” เผยอี้จ้องไปที่เธอครู่หนึ่ง “ตอนนั้นฉันไม่ได้คุยกับเธอเรื่องโหวซีหลิ่งเลย ก็มาคุยกับเธอก่อนแล้ว”
“……บ้านอื่นเขาเริ่มจุดฟืนกันแล้ว ในตอนที่โจวชิงซงกลับมาถึงบ้าน ชิ่งนิวก็ยังคงนอนอยู่บนเตียง......” เขาท่องเนื้อหาของเรื่องฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้วขึ้นมา มือของเจียงเซ่อที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อจู่ๆ ก็กำแน่น แล้วเดินต่อทันที
“อย่าไป อย่าไป” เขายื่นมือมาดึงเธอเอาไว้ แววตาขี้เล่นเผยออกมา “อย่าไปไหนเลย”
ในใจของเจียงเซ่อมันสับสนไปหมด ตอนนี้เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น และเธอก็เริ่มที่จะหวั่นใจเวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าเผยอี้เสียแล้ว
แต่ก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่าจะเอาความกล้าที่ไหนมาทำแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนมีตัวช่วยเข้ามา และมันก็พอที่จะทำให้เธอเกิดอาการลนลานขึ้นมาได้
“ฉันไม่อยากได้ยินมันแล้ว นายหยุดพูดเถอะ” เธอเอ่ยขอด้วยน้ำเสียงเบาๆ เผยอี้เองก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย
“อื้ม ไม่พูดแล้ว”
ถ้าเธออยากให้พูดเขาก็จะพูด แต่ถ้าเธอไม่อยากให้พูด เขาก็จะไม่พูด ถึงขั้นที่เขาอยากจะควักเอาความในใจของตนออกมาให้เธอดูตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
เขาเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็กๆ อยากได้อะไรก็ต้องได้ เพื่อให้ได้สิ่งที่อยากได้ที่สุดมา ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา จนทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่เคยหวังอะไรแล้วไม่ได้
คุณปู่เคยบอกไว้ว่าชีวิตคนมันไม่มีทางที่จะสมหวังไปทุกเรื่องหรอก ส่วนมากน่ะนะ เขาเกิดมาในชาติตระกูลที่ดี มีคนคอยรักเอาใจใส่ มีแนวทางของตระกูลปูไว้ เจอเรื่องร้ายแรงหรือปัญหาใหญ่ขนาดไหนก็มีคนคอยจัดการให้ แต่ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเธอ เขากลับกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดไปจนทำให้เธอไม่พอใจเสียได้
พอเขาพูดแบบนั้น เจียงเซ่อก็รู้สึกอยากจะถอนหายใจมากกว่าเดิม
เธอเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร พอได้มาเดินเล่นในสวนสาธารณะแบบนี้แล้ว เธอก็เงียบมากกว่าเดิม ตอนที่เผยอี้ไปส่งเธอ ใบหน้าของเขาก็มีแต่รอยยิ้มฝืนๆ มาให้ ทำให้เจียงเซ่อที่เห็นแบบนั้นก็เกิดรู้สึกเป็นทุกข์แทนเขา
เขายังจอดรถอยู่ตรงหน้าประตู ไม่คิดจะไปไหน จนกระทั่งเนี่ยต้านโทรมา เขาก็ปล่อยให้มันดังอยู่นานกว่าจะรับสาย
เนี่ยต้านโทรมาเพื่อที่จะชวนไปสังสรรค์กัน เขาไม่ได้รับปาก จนปลายสายอย่างเนี่ยต้านกระฟัดกระเฟียดหาว่าเขาสนใจความรักมากกว่ามิตรภาพของเพื่อนพี่น้อง เขากดตัดสายไป และยืนคิดว่าเขาควรที่จะซื้อห้องแถวๆ นี้ดีไหม ย้ายมาอยู่แถวนี้ซะเลย
ตั้งแต่ที่เผยอี้บอกว่าจะจีบเธอ เจียงเซ่อก็เริ่มรู้สึกว่าเวลาที่เธอได้เจอกับเขามันบ่อยขึ้นมาก
ดูเหมือนคนในมหาวิทยาลัยจะเริ่มจับสังเกตสิ่งผิดปกติได้แล้ว หรือแม้แต่รูมเมทในหอพักของเธอก็ยังพูดเปรยๆ และถามมาว่า เจียงเซ่อกำลังมีความรักหรือเปล่า
หัวข้อที่ว่าหญิงสาวแสนสวยผู้โด่งดังแห่งสาขาประวัติศาสตร์มีเจ้าของแล้วถูกพูดถึงในเว็บมหา’ลัยอย่างรวดเร็ว ผู้คนชาวอินเทอร์เน็ตมากมายต่างพากันเสียใจเป็นที่สุด
แต่ถึงแม้ว่าคนรอบข้างจะดูร้อนใจขนาดไหน เจียงเซ่อกลับไม่สนใจและรู้สึกเฉยๆ
วันเกิดของเธอคือวันที่ยี่สิบห้าเดือนพฤศจิกายน ไม่ถึงสองวันก็จะถึงวันเกิดเธอแล้ว ตอนนี้เธอให้ความสนใจกับแค่การไปฝึกซ้อมที่โรงละคร ช่วงเย็นพอเดินลงมาจากเวที เธอก็ได้พบกับฉางยวี่หูที่กำลังยืนกอดอกคุยเล่นกับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
พอเห็นว่าเจียงเซ่อลงมาแล้ว ฉางยวี่หูก็รีบขอตัวจากคนข้างๆ แล้วเดินยิ้มมาหาเธอ
“เธอก้าวหน้าขึ้นเยอะเลยนะ” ทุกครั้งที่เจียงเซ่อมาฝึกซ้อมที่นี่ ก็มีอยู่หลายครั้งที่ฉางยวี่หูมาดูเธอ แถมยังออกปากชมเธอไม่หยุดอีกด้วย
เธอไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่ฉางยวี่หูไม่อยู่ แอบทำตัวขี้เกียจไม่มาซ้อมที่นี่ แต่กลับมาทุกครั้งและมีความมุมานะในการฝึกเป็นอย่างมาก
ความก้าวหน้าของเจียงเซ่อ ฉางยวี่หูก็ได้เห็นเองกับตา ไม่มีใครไม่ชอบลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียนหรอกนะ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉางยวี่หูก็แค่ตกปากรับคำกับโหวซีหลิ่งว่าจะสอนเธอให้ แต่ตอนนี้เธอเริ่มที่จะชอบและเอ็นดูเจียงเซ่อเสียแล้ว
“ถ้าเทียบกับตอนแรกที่ยังเก้ๆ กังๆ ตอนนี้เธอแสดงได้ลื่นไหลดีแล้วล่ะ” เธอฝึกซ้อมมาเกือบเดือน การเปลี่ยนแปลงมันแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ฉันได้ยินจากล่าวโหวว่า หนังเรื่องThe Occasion of Beiping จะเปิดกล้องเดือนมกรานี้แล้ว งั้นเธอก็ไม่ต้องมาที่นี่แล้วล่ะ”
“ละครเวที ก็ต้องมีลักษณะท่าทางและการกระทำของนักแสดงละครเวทีในการสื่อเนื้อเรื่องให้คนข้างนอกรู้ และทำให้ผู้ชมคนดูพอใจ ให้ภาษากายและท่าทางของเธอดึงดูดให้ผู้ชมเข้าใจและอินกับเนื้อเรื่อง แต่หนังยังต้องการอินเนอร์ของนักแสดงอีกด้วย ต้องแสดงให้เห็นแม้กระทั่งความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จนไปถึงความรู้สึกในใจก็ต้องแสดงออกมา สื่อผ่านกล้องตัวใหญ่ไปให้ถึงสายตาของคนดู ให้การแสดงของตัวเธอ ดึงให้ทุกคนหันมาสนใจเธอ” ฉางยวี่หูยิ้มแล้วมองเจียงเซ่อ “ตอนนี้อยากจะให้เธอเข้าใจและเอาจุดที่ยากแบบนี้อยู่ การฝึกซ้อมในระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ นี้ ถึงแม้ว่าการที่ได้ไปอยู่บนเวทีจะสามารถฝึกอะไรเธอได้มากมาย แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่เรียนกวดวิชาของเธอ มันไม่สามารถทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงที่โดดเด่นได้หรอกนะ”