webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

076

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 76 ไม่เพียงพอ

บทพูดของตัวละครนั้นค่อนข้างน้อย บวกกับที่มีการจำกัดเวลา สถานที่ แต่จะต้องถ่ายทอดเนื้อเรื่องทั้งหมดให้ผู้ชมที่อยู่ตรงหน้าได้ดู ดังนั้นในเรื่องของบทพูดและการแสดงจึงมีเงื่อนไขที่สูงกว่ามาก

ฉางยวี่หูดูไปได้พักหนึ่ง เหล่านักแสดงก็พากันมาถามความคิดเห็นของเธอ หล่อนจึงพูดถึงการแสดงโดยรวมและพูดชมถึงการแสดงเมื่อครู่ จากนั้นเธอก็เริ่มพูดถึงจุดที่ยังขาดอยู่

“การซ้อมละครเวทีครั้งนี้ ก็ถือว่าต้องใช้ความสามารถมากๆ นักแสดงก็แสดงออกมาได้ไม่เลวเลยนะ เนื้อเรื่องก็เป็นไปตามต้นฉบับเดิม ถ้าทำตามแล้วก็ถือว่าตัดหลักการที่ไม่ยอมแก้ไขออกไปแล้ว นางเอกยวี่ชุนในเรื่องนี้ถือว่าเป็นตัวละครที่สำคัญมาก ความรู้สึกพื้นฐานระหว่าเธอกับเว่ยเหลียนเซิงนั้นถือว่าเป็นผลกระทบที่จะให้หนังเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางไหน หลังจากที่ปรับปรุงใหม่แล้ว บทตัวประกอบในเรื่องก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายที่เฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเองก็ตาม บทพูดที่ได้ถือว่าไม่เลวเลย แต่ว่าสิ่งเดียวที่ยังได้มากกว่านี้คือความรู้สึกระหว่างยวี่ชุนกับเว่ยเหลียนเซิง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เปราะบางมากๆ ในตอนสุดท้ายที่เหลียนเซิง ‘ฟื้น’ ขึ้นมา การบรรยายที่จะทำให้เนื้อเรื่องเด่นขึ้นมันยังไม่เพียงพอสำหรับความรู้สึกเท่าไหร่นะ”

ทุกประโยคที่เธอพูดออกมา นักแสดงและทีมงานทั้งหลายต่างพากันพยักหน้ากันอย่างขันแข็ง เอาความคิดเห็นของหล่อนจำไว้ในใจให้แม่น

ฉางยวี่หูพูดไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองที่เจียงเซ่อ

“ยังไงซะก็เป็นการซ้อม เธอเองขึ้นไปแสดงดูสิ ลองเล่นบทขอทานนั่นดู”

คนในกองไม่คิดมาก่อนว่าฉางยวี่หูจะเรียกร้องแบบนั้นออกมา ในขณะที่กำลังตกใจ ฉางยวี่หูก็หันไปมองทีมงาน ถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“คงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม?”

เหล่าทีมงานตอบกลับอย่างรวดเร็ว และส่ายหน้าไปมา

“ไม่เป็นไรแน่นอนครับ / ค่ะ!”

พอพูดจบ พวกทีมงานก็พากันมาไปที่เจียงเซ่ออย่างประหลาดใจ และในใจต่างก็พากันเดาว่าเธอเป็นใครกัน

เธออยู่ข้างๆฉางยวี่หู และฉางยวี่หูก็ดูสนิทสนมกับเธอไม่น้อย ถึงขนาดชี้นิ้วแนะนำให้ ก่อนหน้านี้ที่กำลังดูนักแสดงซ้อมกัน ฉางยวี่หูก็ยังชี้นักแสดงคนโน้นคนนี้ ทั้งชมและนำวิจารณ์ให้เธอฟัง ราวกับว่าหล่อนได้เอาลูกศิษย์ที่สอนมากับมือมาด้วย

ทีมงานคาดเดาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบไปตรวจสอบความเรียบร้อยต่อ ฉางยวี่หูหันไปมองเจียงเซ่อที่ยกบทขึ้นมาอ่านแล้วท่องจำมันแบบนั้นแล้ว หล่อนก็โบกมือ

“ก็แค่ลองแสดง อยากให้เธอจับอารมณ์ได้เท่านั้นเอง ของแบบนี้จะทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียวไม่ได้หรอกนะ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เธอเอาบทขึ้นไปดูก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบท่องมันหรอก”

เจียงเซ่อถือบทขึ้นไปบนเวที พอได้ยืนอยู่บนเวทีแล้ว และตอนที่ได้มองไปยังข้างล่างเวที ความรู้สึกมันไม่เหมือนกันเลยสักนิด

ตอนนี้ก็แค่อยู่ในระว่างการซ้อมละคร ‘คนในคืนหิมะตก’ เท่านั้นเอง ไม่ได้จะแสดงจริงๆ เสียหน่อย โรงละครที่กำลังฝึกซ้อมก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเลย ไม่แน่มากสุดก็นั่งได้แค่ร้อยคนเท่านั้น

และตอนนี้โรงละครก็ไม่ได้เปิดให้เข้าชม และยังมีทีมงานหลาคนมองขึ้นมาบนเวที สายตาจดจ้องไปที่ตรงกลาง

ส่วนฉางยวี่หูก็ยังคงนั่งอยู่ข้างล่างและมองขึ้นมาเช่นกัน

ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่เหมือนกับตอนที่เจียงเซ่อได้ถ่ายหนังไปก่อนหน้านี้เลย และถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าในโรงละครนั้นคนไม่ได้เยอะอะไรเลย แต่ทว่าพอไฟบนเวทีสว่างขึ้นมา เจียงเซ่อกลับรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมาที่เธอในมุมมืด

เธอยกบทขึ้นมา ครั้งแรกที่ได้มาประสบกับประการณ์แบบนี้ มันก็ทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อยเลย

และพอได้เสียงเตือนจากทีมงานว่าถึงคิวของขอทานหนึ่งแล้ว เธอเองก็เดินขึ้นเวทีไปกับคนๆ นั้นที่เริ่มเปิดปากร้องเพลงออกมา

“เหนียนเนียน ตัว สี่ชิ่ง (ทุกๆ ปีมีการเฉลิมฉลอง)”

เขาโค้งตัวลงเล็กน้อย มองซ้ายมองขวา แววตาดูตื่นตัว ทั้งแขนและขาต่างแสดงออกมาว่ากำลังตื่นเต้น

ก่อนหน้านี้เจียงเซ่อเห็นเขาแสดงกับเด็กอีกคนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าตอนนี้ถึงตาตัวเองที่จะต้องพูดบทออกมาแล้ว ไฟบนเวทีไล่ส่องตามเธอที่ก้าวเดินไปข้างหน้า

ที่จริงแล้วในฉากฉากนี้จะต้องมีหิมะตกหนัก แต่ตอนนี้มันเป็นแค่การซ้อม ดังนั้นเวทีจึงยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้

ตอนที่เจียงเซ่อเห็นเด็กคนนั้นร้องบทขึ้นมา น้ำเสียงนั้นมีสั่นนิดๆ และเขาก็ยกมือขึ้นกอดอกตัวเองด้วย ทำท่าเหมือนว่ากำลังหนาวจัดยังไงยังงั้น

เธอยกบทขึ้นดู และท่องออกมา

“ซุ่ย ซุย กว่าง จาว ฉาย (ทุกๆ ปีร่ำรวยรวยเงินทอง)”

เสียงของเธอที่เปล่งออกมานั้นเบามาก น้ำเสียงก็แห้งฝืด พอท่องออกมา แม้แต่ตัวเองก็ยังสัมผัสได้ว่ามันเกิดปัญหาขึ้นเสียแล้ว

ในเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ นั้น ในตอนที่สองขอทานออกมา ก็เพื่อที่จะดึงดูดฉากต่อไปของเว่ยเหลียนเซิง ที่กำลังระทมทุกข์อยู่มาก ขอทานทั้งสองปรากฏตัวในตอนที่หิมะกำลังตกพร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะเลือนลับไป ทั้งสองนั้นใจที่ตรงกัน รวมถึงความคิดที่มื้อเย็นนี้จะกินอะไรดีด้วย

การปรากฏตัวของขอทาน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงหรือบทพูด จะต้องแสดงถึงบรรยากาศที่อ้างว้างและวังเวง แต่คำแรกที่เธอเอ่ยออกมา กลับไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด

ฉางยวี่หูเป็นคนเลือกบทนี้ให้เธอไปแสดงบทเวที แต่แค่เจียงเซ่อเปล่งเสียงออกมา ก็เจอกับจุดบกพร่องของตัวเองเสียแล้ว

ถ้าเทียบกับเด็กที่แสดงเมื่อกี้นี้แล้ว เธอดูดรอปลงไม่น้อยเลย เธอบทขึ้นมาดูอีกครั้ง และเจียงเซ่อก็รู้สึกได้ว่าทีมงานที่อยู่ข้างล่างกำลังขมวดคิ้วมองเธอยู่

ส่วนฉางยวี่หูไม่ได้พูดหรือทำอะไร เธอทำเป็นนั่งดื่มชาไปเงียบๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเจียงเซ่อว่ามันเบาและฝืดขนาดไหน

“จาว ฉาย ถงจื่อ เหมินเฉียน กั้ว (เด็กน้อยเรียกโชคหน้าประตูบ้าน)” เด็กวัยรุ่นที่แสดงเป็นขอทานหนึ่งยังโค้งเอวไปข้างหน้า ถูๆ บีบๆ มือตัวเองไปมาอยู่อย่างนั้น ขาก็ย่ำๆ อยู่กับที่ ทำให้ตัวละครขอทานที่กำลังเหน็บหนาวอยู่กับความเย็นจัดนั้นดูหนาวกว่าเดิม เขาแสดงออกมาได้เหมือนจริงมากๆ

เจียงเซ่อเริ่มที่จะเห็นแล้วว่าตัวเองนั้นผิดพลาดตรงไหน ก็เหมือนอย่างที่ฉางยวี่หูพูดเอาไว้ เธอไม่เพียงแต่ท่องบทไม่ได้เท่านั้น แต่จิตของเธอยังถูกผูกมัดเอาไว้อยู่ จึงไม่สามรถเอามันออกมาทั้งหมดได้

หนังสามเรื่องที่เธอได้แสดงไปก่อนหน้านี้ ทั้งสามตัวละครต่างมีบุคลิกที่คล้ายคลึงกับเธอ และมันก็เป็นบทตัวประดับเท่านั้น ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว ขอแค่มีรูปร่างหน้าตาที่ดี ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการแสดงก็ได้

แต่พอย้อนกลับมาในสถานการณ์ตอนนี้แล้ว พอบทละครไม่ใช่และไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสวยแล้ว ตัวเธอเองก็เริ่มที่จะกลัวทำไม่ได้และกดดันขึ้นมา

อาจจะเพราะเธอก็ไม่ทันระวังเอง และพอฉางยวี่หูให้เธอขึ้นเวที แถมให้เล่นบทขอทาน เจียงเซ่อเพิ่งจะพูดได้แค่ครั้งเดียว ก็เผยข้อผิดพลาดและสาเหตุออกมาหมดแล้ว

พอรู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหน เจียงเซ่อก็เรียกสติตัวเองกลับมา ได้พูดบทขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายังจะต้องดูบท แต่เธอก็พยายามห่อไหล่ตัวเองเข้ามา ยกมือสองข้างป้องไว้ที่ปาก พ่นลมหายใจออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกหนาว

“เจิง ฝู ฉาย เสิน จิ้น เป่า หลาย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภส่งของล้ำค่าให้กับเรา)”

แม้ว่าการแสดงออกถึงประโยคนี้ของเธอจะดูดรอปกว่านักแสดงวัยรุ่นที่แสดงเป็นขอทานหนึ่ง แต่มันก็ดีกว่าตอนแรกมากแล้ว

ฉางยวี่หูที่นั่งดูอยู่ข้างล่างก็เห็นมันหมดแล้ว มุมปากของหล่อนกดขึ้นด้วยความพึงพอใจ

บางทีการที่มีคนมาคอยสอนและบอกทฤษฎีมากมายแค่ไหน มันก็เทียบไม่ได้กับการที่จะฝึกฝนด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้โหวซีหลิ่งเองก็ได้พูดเอาไว้ เจียงเซ่อนั้นฉลาด ความคิดความเข้าใจนั้นถือว่ายอดเยี่ยมไปเลย ถ้าเป็นอย่างที่โหวซีหลิ่งพูดเอาไว้จริงๆ ล่ะก็ เธอสามารถมองเห็นปัญหาของตัวเองได้ และสามารถปรับมันด้วยตัวเอง มันก็ถือว่าได้ประโยชน์มากกว่าการที่มีคนมาสอนมาบอกเสียอีก

ตอนนี้หล่อนเองก็คิดว่าสิ่งที่โหวซีหลิ่งนั้นพูดมันไม่ผิดเลย ตอนแรกก็รู้สึกว่าเธอว่าไม่สามารถปล่อยอารมณ์ออกมาได้ แต่เธอกลับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และแก้ไขมันทันที

ตอนที่ท่องบท ถึงแม้ว่ามันจะยังห่างไกลกับฝีมือของคนที่แสดงเป็นขอทานหนึ่ง แต่พัฒนาการของเจียงเซ่อนั้นก็ถือว่าเห็นได้ชัดเจนมาก

เมื่อทั้งสองพูดบทกันเสร็จแล้ว ฉางยวี่หูก็ยกมือให้สัญญาณว่าพอได้แล้ว เจียงเซ่อได้ยืนบนเวทียังไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แต่พอลงมาข้างล่างเวทีก็เพิ่งรู้ตัวว่าเหงื่อตัวเองซึมออกมาเต็มหน้าผากแล้ว

“ลองไปบทหนึ่งแล้ว รู้สึกย่างไรบ้าง?”

ฉางยวี่หูถามเธอยิ้มๆ “ฉันดูเธอจากด้านหลังแล้ว เวลาแสดงถือว่าไม่เลวเลย นอกจากบทที่ต้องเล่นกับอีกตัวละครแล้ว ภาษากายอย่างแขนขาก็เปลี่ยนไปมาก ถึงตอนนี้จะยังดูแข็งๆ ไปหน่อย แต่นี่เป็นการขึ้นเวทีครั้งแรกของเธอ ทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะ”