webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

075

บทที่ 75 อบรมสั่งสอน

เมื่อสองเพื่อนเก่ามาเจอกัน ทั้งคู่ต่างก็ทักทายปราศรัยกันอย่างคิดถึง จากนั้นโหวซีหลิ่งก็ชี้ไปที่เจียงเซ่อ

“คนนี้คือหนูเจียงเซ่อที่ฉันพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ เด็กสาวเป็นคนที่ฉลาดเอามากๆ เลยล่ะ เธอกำลังเตรียมตัวที่จะแสดงหนัง ‘The Occasion of Beiping’ ที่ฉันเป็นคนเขียนบท เธอก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ในวงการนี้ของฉัน รบกวนเธอช่วยมาสอนหน่อยเถอะนะ ช่วยชี้แนะสักหน่อย”

ก่อนหน้านี้เขาคงจะได้พูดคุยเรื่องนี้กับฉางยวี่หูไปแล้ว พอฉางยวี่หูฟังเขาพูดจบ หล่อนก็เบนสายตาไปมองเจียงเซ่อ

หล่อนไว้ผมดำขลับ รูปร่างสง่าผ่าเผย อาจเป็นเพราะว่าหล่อนอยู่กับการแสดงหนังและวงการนี้มาหลายปีแล้ว อากัปกิริยาของเธอจึงดูสุภาพและเยือกเย็น

พอมีโหวซีหลิ่งคอยแนะนำ หล่อนก็ยื่นมือไปหาเจียงเซ่อเพื่อจับมือทักทาย และถามออกมาด้วยความสงสัย

“ได้ยินเจ้าโหวบอกว่า เธอเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ถ้าเรียนจบแล้วก็คงหางานทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากจะเข้าสู่ทางนี้ล่ะ?”

โหวซีหลิ่งเองก็เชิญทั้งสองเข้าไปในร้านเสียก่อน เจียงเซ่อคิดก่อนจะตอบออกมา

“หนูคิดว่าเส้นทางนี้มันน่าสนุกดีค่ะ”

“หือ?” ฉางยวี่หูและโหวซีหลิ่งมองหน้ากัน แล้วถามต่อ

“น่าสนุกยังไงหรือ?”

“ถ้าหากพูดว่าชีวิตในชีวิตหนึ่งคือการเรียนรู้และปฏิบัติ งั้นการแสดงหนังที่ไม่เหมือนกันคือการได้ใช้ชีวิตในแบบแต่ละแบบของตัวละคร มันจึงน่าสนุกมากๆ เลยค่ะ”

คำตอบของเธอทำเอาฉางยวี่หูต้องยิ้มออกมาแล้วพูดต่อ

“เดี๋ยวตอนบ่ายฉันจะไปที่โรงละครแห่งชาติ เพื่อไปแนะนำตอนที่ซ้อมแสดง สาวน้อย เธอจะไปกับฉันก็ได้นะ”

โหวซีหลิ่งได้ยินอย่างนั้นก็ถามขึ้น

“เรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ น่ะหรือ?’”

ฉางยวี่หูพยักหน้า “ถ้าสาวน้อยกล้าพอ เธอก็สามารถขึ้นไปบนเวทีเพื่อฝึกซ้อมได้นะ มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเธอมากเลยล่ะ”

พอหล่อนพูดจบก็หันไปมองเจียงเซ่อ

“หนังเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ น่ะนะ กว่าจะเอามาทำใหม่ก็ปาเข้าสิบกว่าปีแล้ว กะแล้วเธอคงไม่เคยดูมันหรอก”

เจียงเซ่อเพิ่งจะขึ้นปีหนึ่ง ตอนที่หนังเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ ออกฉาย เธอก็คงจะอายุยังน้อยมาก เพิ่งจะเกิดได้ไม่นานเองล่ะมั้ง

ตอนที่ยังไม่ได้มาเกิดใหม่ เจียงเซ่อเองก็ไม่เคยได้ดูมัน แต่เธอก็ได้เปิดอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลของฉางยวี่หูมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าเมื่อกี่สิบปีก่อน เธอเคยได้เป็นนักแสดงนำหลักของ ‘คนในคืนหิมะตก’ และได้เป็นถึงนางเอกของเรื่องอย่างยวี่ชุนด้วย ตอนนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ฮือฮาเอามากๆ

“ครั้งนี้ทีมงานที่โรงละครอยากจะเอาหนังเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ มาทำเป็นละครเวที ต่งฉาวผิงเองก็ค่อนข้างกังวลว่าบทพูดและการแสดงจะออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นถึงได้มาเชิญฉันไปช่วยให้คำแนะนำ และมันก็บังเอิญกับที่นายโทรมาด้วย”

โหวซีหลิ่งเองก็ตอบขึ้นมา “บังเอิญจริงๆ ด้วยสิ ในปีนั้นตอนที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย ทั้งนักแสดงคนอื่นๆ และผู้ชมมากมายที่อยู่ในโรงละคร อีกทั้งหนังสือพิมพ์นิตยสารมากมายต่างก็พากันลงข่าวมาแล้ว”

เจียงเซ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็นั่งฟังทั้งสองคุยกันอย่างเงียบๆ ในระหว่างการรับประทานนั้น ฉางยวี่หูเองก็มักจะมองประเมินเจียงเซ่ออยู่ตลอดด้วย พอเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทางรีบร้อนเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ เธอวางตัวได้ดี บางครั้งที่หันไปถามเธอบ้าง เธอก็ตอบกลับมาอย่างมีมรรยาท แต่ก็ไม่ได้ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้หล่อนรู้สึกสนิทสนมกับเจียงเซ่อได้เร็วขึ้นอีก

ถึงแม้จะพูดว่าโหวซีหลิ่งเป็นคนเชิญมาทานข้าว แต่ตอนที่เจียงเซ่อตั้งใจจะเป็นคนออกเงินเอง ก็ได้รับคำบอกเล่าของพนักงานว่าโหวซีหลิ่งได้จ่ายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงต้องเอาเงินตัวเองกลับมา

ความจริงแล้วโหวซีหลิ่งตื่นเต้นมาก เขาอยากจะไปเห็นการฝึกซ้อมการแสดงที่โรงละคร แต่ทันใดนั้นก็มีสายเข้าและเขาก็ต้องขอตัวแล้ว

ส่วนเจียงเซ่อก็ตามฉางยวี่หูไปที่โรงละคร แต่ก่อนที่เธอมาฟังการแสดงคนตรีที่นี่ หรือไม่ก็ทอล์คโชว์ แต่การแสดงแบบนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยทีเดียวได้มาเห็น

เพียงแค่ฉางยวี่หูเดินเข้ามาก็มีทีมงานมารอยู่แล้ว พอเห็นว่าหล่อนพาคนอื่นด้วย ทีมงานในโรงละครก็แปลกใจไม่น้อยและพากันมองมาที่เจียงเซ่อ จากนั้นก็ทีมงานก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ในกองละคร ไม่มีท่าทีไม่พอใจอะไร

“วันแสดงจริงใกล้เข้ามาแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองที่เอามาทำเป็นละครเวที ตอนนั้นมีคุณเป็นตัวละครหลักและโดดเด่นมากๆ และคงหลีกเลี่ยงที่จะให้คนที่เคยดูมาแล้วเอาเปรียบเทียบกัน ดังนั้นความหมายของพี่ต่งคือ เชิญคุณมาให้คำแนะนำกับรุ่นน้องน่ะครับ”

ในโถงฝึกซ้อม นักแสดงของละครเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ ได้มากันครบทุกคนนานแล้ว พอฉางยวี่หูเข้ามาทีมงานก็หาเก้าอี้ให้หล่อนนั่งที่หน้าเวที ส่วนเจียงเซ่อเองก็ยืนอยู่ข้างๆ หล่อน จากนั้นก็มีคนปรบมือตะโกนให้เริ่มแสดงได้แล้ว และให้ฉางยวี่หูดูว่าตรงไหนที่ยังไม่เพียงพอและต้องแก้ไข

หนังเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ นั้น ความจริงแล้วเป็นบทกวีในสมัยถัง และมีผู้เขียนบทชื่อดังอย่างอาจารย์อู๋นำบทกวีมาแต่งเป็นบทพูด

ในตอนที่ดนตรีดังขึ้นมา นักแสดงที่อยู่บนเวทีก็เข้าตำแหน่งตัวเองอย่างรวดเร็ว

นักแสดงที่อยู่บนเวทีต่างก็แสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ ฉางยวี่หูที่อยู่ข้างล่างเองก็ยิ้มและจ้องไปยังบนเวที แล้วหล่อนก็หันมาพูดกับเจียงเซ่อ

“ที่จริงแล้วการที่พวกเขาเชิญฉันมา พวกเขาก็แค่ต้องการหาที่พึ่งเท่านั้นเอง” หล่อนถอนหายใจออกมา “การที่เจ้าโหวให้ฉันมาสอนเธอ ที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝีมือการแสดงของตัวเอง มันจะสามารถสอนอะไรให้เธอได้บ้าง มันไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากจะสอนสิ่งที่ตัวเองมีให้กับเธอ มันก็แค่ในใจของคนคนหนึ่ง ต่างก็เป็นเจ้าของความคิดที่ไม่เหมือนกัน”

เธอยกแก้วชาที่ทีมงานเอาให้ขึ้นมา ดื่มมันไปคำหนึ่ง

“เธอเป็นเด็กฉลาด น่าจะรู้อยู่แล้วใช่ไหม ถ้าหากเป็นอย่างที่เจ้าโหวพูดจริงๆ ล่ะก็ ฉันก็จะเอาทุกการแสดงในทุกๆ การเคลื่อนไหว การพูดของฉัน ลักษณะท่าทางทุกอย่างสอนให้เธอทั้งหมด ถ้าเธอสามารถปฏิบัติตามได้ งั้นไม่ว่าฉันจะแสดงเป็นเธอ หรือเธอแสดงเป็นฉัน มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

เจียงเซ่อได้ยินอย่างนั้น ในหัวของเธอก็เต็มไปด้วยความคิดบางอย่าง

“อาจารย์สอนการแสดงคนหนึ่งได้พูดเอาไว้ ว่านักแสดงควรจะเป็นศิลปิน ไม่ใช่ช่างฝีมือ แต่ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ ก็อยู่ที่มีการคิดสร้างสรรค์ไหมนั่นเอง ช่างฝีมือสามารถลอกเลียนแบบได้ สามารถทำตามได้ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง สำหรับการแสดงของคนกลุ่มนี้คงไม่มีความเข้าใจในตัวเองหรอก ไม่สามารถสอนหรือเติมอะไรเข้าไปได้อีก และเพราะอย่างนั้นคงไม่มีทางได้ก้าวหน้าไปมากกว่านี้แน่นอน”

ดนตรีที่อยู่บนเวทีนั้นงดงามเป็นนอย่างมาก แต่ฉางยวี่หูที่อยู่ข้างล่างกลับไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก

“นักแสดงเป็นคนที่ต้องสร้างและบรรยายบทตัวละครขึ้นมา แต่บทบาทเองก็เป็นข้อบังคับของนักแสดง เมื่อสถานการณ์และตัวละครถูกเผยออกมาแล้ว นักแสดงก็ทำได้แค่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวที่แสดงอยู่เท่านั้น เอาตัวเองเข้าไปแทนตัวละคร” พอหล่อนพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็มองเจียงเซ่ออย่างมีนัยยะ

“แต่ทว่าหลายคนกลับมักจะหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ จนถอนตัวขึ้นมาไม่ได้ กลายเป็นคนที่มีภาระทางความคิด”

ดังนั้นนี่ก็คงเป็นความย้อนแย้งอีกอย่างหนึ่ง นักแสดงหลายคนที่สามารถถ่ายทอดตัวละครที่แสงดออกมาได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ยากที่จะหลุดออกจากตัวละครนั้นได้ นานวันเข้าก็กลายเป็นแรงกดดัน ความเจ็บปวดเล่านั้นคงไม่สามารถพูดออกมาให้คนนอกรู้ได้

“ถ้าเธออยากจะเข้าวงการนี้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง เธอลองดูพวกเขาแสดงก่อนสักรอบ แล้วเดี๋ยวเธอก็ลองขึ้นไปแสดงสักตัวละคร ฉันจะลองดูก่อน ว่าเธอมีตรงไหนที่ต้องเพิ่มหรือไม่ จะได้แก้ไขให้มันถูกต้อง ลองฝึกเยอะๆ อดทนต่อแรงกดดัน เมื่อเธอหาอารมณ์ที่ถูกต้องได้ การแสดงหนังก็คงไม่ยากนักหรอก”

พอหล่อนพูดจบ หล่อนก็กวักมือเรียกทีมงานมา กระซิบสั่งเบาๆ ออกไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น ทีมงานก็พยักหน้าแล้วเดินกลับไป

พอกลับมา ในมือของทีมงานก็มาพร้อมกับบทละครสองเล่ม และส่งให้กับฉางยวี่หู

ฉางยวี่หูสั่งให้เจียงเซ่ออ่านบทละครสักรอบ ส่วนหล่อนก็นั่งพิงเก้าอี้และดูการซ้อมละครเวทีไปอย่างตั้งใจ และไม่พูดอะไรอีก

ในบทละครนั้นเป็นบทของเรื่อง ‘คนในคืนหิมะตก’ ในบทพูดถึงตัวละคร *หนานต้าน เหลียนเซิงกับยวี่ชุน เมียน้อยคนที่สี่ของหัวหน้าผู้พิพากษาอย่างซูหงจี แต่สุดท้ายก็ต้องเจอคนทำร้ายจนต้องแยกจากกัน

เป็นเพราะว่าฉางยวี่หูอยากให้เธอลองแสดงบนเวทีให้ดูสักรอบหนึ่ง เธอไม่ได้บอกว่าให้เจียงเซ่อเล่นบทไหน ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกกดดันขึ้นมาในเวลาเดียวกัน แต่ก็อยากที่จะลองดูสักตั้ง เธอพลางดูการแสดงบทเวที เพื่อดูการแสดงของพวกเขา และพลางจำบทในมือไปด้วย

*男旦 = นักแสดงงิ้วผู้ชายที่แสดงเป็นผู้หญิง