娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 70 ตอบคำถาม
การแคสติ้งเมื่อครู่มันก็เป็นแค่การทดสอบเท่านั้นแหละ หลินซีเหวินต้องการที่จะถ่ายหนัง ‘The Occasion of Beiping’ การที่เขาทนความยุ่งยากลำบากเพื่อที่จะเชิญพูดอาวุโสอย่างโหวซีหลิ่งมาเขียนบทหนัง แสดงว่าเขาต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจแล้วแน่ๆ
บท ‘โต้วโค้ว’ ถือว่าเป็นบทที่สำคัญ เขาคงไม่ปล่อยให้หนังของตัวเองออกมาสะเพร่าเพราะมีการแสดงที่ไม่เข้าท่าแน่ๆ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นสายโทรศัพท์จากกู้เจียเอ่อ แต่ดูจากการที่ผู้ช่วยหลีพูดแนะนำให้เธอรับบท ‘เทพเอ้อหลาง’ แล้ว งั้นแสดงว่าการที่กู้เจียเอ่อโทรมาเองก็ถือว่าได้ประโยชน์เช่นกัน แต่มันก็คงไม่มากพอที่จะทำให้เธอได้รับบท ‘โต้วโค้ว’ แน่นอน
แต่เจียงเซ่อก็ยังจำตอนที่เธอได้พบกับผู้ช่วยหลีครั้งแรกได้ หล่อนก็ได้พูดออกมาเอง
หล่อนบอกว่าหลินซีเหวินให้ความสำคัญกับหนัง ‘The Occasion of Beiping’ มาก ถึงขั้นลงทุนใช้ความคิดที่จะไปขอให้โหวซีหลิ่งมาช่วยเขียนบทให้ ดังนั้นโหวซีหลิ่งจริงมีอำนาจในบทละครอยู่พอสมควร
และเขาเองก็เลื่อมใสในตัวของโหวซีหลิ่ง ตั้งใจเป็นนักอ่านที่จะอ่านงานเขียนของเขา
พอเจียงเซ่อนึกถึงตรงนี้แล้ว สายตาของเธอก็มองไปที่ผู้ช่วยหลีที่ยืนยู่ข้างๆ หลินซีเหวิน ท่าทางดูรอบคอบกว่าเดิม
“อย่างนี้ก็เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยของฉันน่ะสิ” เมื่อโหวซีหลิ่งพูดขึ้นมาแบบนั้น เขาก็ส่องสายตาประเมินเจียงเซ่อไปด้วย
“เห็นคุณหลินบอกว่า ทางบริษัทซ่างเจียได้เตรียมหนังสองเรื่องไว้ให้เลือกเล่น หนังอีกเรื่องมีถึงสองบทบาท ทั้งบทพูดและค่าตอบแทนก็มากกว่า แล้วทำไมหนูถึงตัดสินใจเลือกที่จะเล่นบท ‘โต้วโค้ว’ ในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ล่ะ?”
แววตาของเขาเป็นประกาย สายตาจ้องมองทะลุแว่นทรงโบราณมาที่เธอ รอที่จะฟังคำตอบจากเจียงเซ่อ
คำถามนี้ค่อนข้างสำคัญ ถ้าหากตอบไม่ดีละก็ ถึงก่อนหน้านี้โหวซีหลิ่งจะประทับใจในตัวเธอมากแค่ไหน แต่เจียงเซ่อก็อาจจะสูญเสียความเหมาะสมที่จะเล่นบท ‘โต้วโค้ว’ ไปเลยก็ได้
สำหรับโหวซีหลิ่งที่เป็นคนมีปัญญาชนและนิสัยแบบนี้ เขาเองก็มีจุดยืนและเป็นคนสำคัญในวงการวรรณคดีเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าผลงานการเขียนของเขาจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มสาวสมัยนี้อีกต่อไป แต่สำหรับผู้อาวุโสแล้ว หลายๆ คนก็มองว่าเขาเป็นคนที่น่ายกย่อง หรือแม้แต่ผู้อาวุโสในวงการศิลปะเอง ถ้าได้เห็นเขาละก็ ต่างก็ให้ความเคารพและเรียกเขาว่าอาจารย์โหว
เขาค่อนข้างอายุมากแล้ว ชีวิตของเขาได้ผ่านประสบการณ์และอุปสรรคต่างๆ มากมาย ได้ยินคำยกย่องสรรเสริญก็ตั้งก็ไม่น้อย
ถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะได้มาเกิดใหม่ แต่ตอนที่เธอได้มาเกิดใหม่ก็ไม่ได้มีอายุที่มาก หากจะใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยต่อหน้าโหวซีหลิ่งก็คงไม่มีประโยชน์หรอก หรือกลับกันอาจจะโดนไม่พอใจไปเลยก็ได้
พอหลินซีเหวินได้ยินโหวซีหลิ่งถามขึ้นมาแบบนั้น เขาเองก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน
ในใจของเจียงเซ่อเกิดความคิดขึ้นมากมายในทันที ใบหน้าเผยความเกรงใจออกมา
“ถ้าพูดความจริงแล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร ก็แค่เห็นว่าเป็นชื่อของอาจารย์ในบทหนัง”
โหวซีหลิ่งไม่พูดอะไร คำตอบของเจียงเซ่อเองก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไป เขายังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพวกนับถือนักอ่านของตัวเอง แต่สิ่งที่ผู้ช่วยหลีไม่ได้พูดในตอนนั้นคือ เขาไม่ได้เป็นพวกตามนักอ่านของตัวเองจนไม่ลืมหูลืมตา แต่เขาชอบนักอ่านที่สามารถอ่านสิ่งที่เขาเขียนได้อย่างเข้าใจและลึกซึ้ง เข้าใจจนสามารถพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวได้
ที่จริงแล้วหากไม่ใช่เพราะการแสดงในตอนสุดท้ายของเจียงเซ่อละก็ เขาอาจจะไม่ได้ให้เจียงเซ่ออยู่ตรงนี้ต่อแล้วก็ได้ และคงไม่ได้ถามคำถามเธอแบบนี้
“และเป็นเพราะในตอนที่ได้อ่านบท สิ่งแรกเลยคือหยิบเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ขึ้นมา นั้นก็เพราะหนูรู้ว่าอาจารย์โหวอายุมากแล้ว หลายปีมานี้อาจารย์เองก็ไม่ได้เขียนหนังสือใหม่ๆ ออกมาเลยน่ะค่ะ”
โหวซีหลิ่งนึกถึงเหตุผลในหลายๆ ปีที่ผ่านมานี้ เขาเองก็เดาเอาไว้ว่าเจียงเซ่อจะพูดอะไรออกมา เขาคิดว่าเธอคงจะพูดว่าเพราะงานเขียนของเขามันยอดเยี่ยม บท ‘โต้วโค้ว’ เลยชวนให้เธอสนใจที่จะเล่น แต่สิ่งเดียวที่เขาคิดไม่ถึงคือ เจียงเซ่อจะพูดแบบนั้นออกมา
“ตอนที่อาจารย์เขียนเรื่อง ‘ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว’ ในเนื้อเรื่อง โจวชิงซงที่เป็นตัวเอกได้พูดในตอนจบของเรื่องเอาไว้ว่า ‘ลาก่อน’ ” เธอยกงานเขียนที่โหวซีหลิ่งเขียนขึ้นมา โหวซีหลิ่งตะลึงไปในทันที เจียงเซ่อเองก็พูดต่อ
“ตอนที่หนูอ่านถึงตรงนั้น ก็คิดมาตลอดว่าโจวชิงซงก็คืออาจารย์เอง ที่กำลังบอกลานักอ่าน นักอ่านที่รักและเคารพในตัวอาจารย์ ในตอนนั้นก็กลัวมากว่านักเขียนคนนี้จะไม่เขียนหนังสืออีกต่อไปแล้ว”
โหวซีหลิ่งค่อยๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองกลับไป อารมณ์ใจหวิวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความนุ่มนวล สายตาที่มองเจียงเซ่อมีความชื่นชมอยู่ในนั้น
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำแค่สัญญาณมือให้เธอพูดต่อไป
“ดังนั้นพอตอนที่เห็นว่าบทหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เป็นงานเขียนของอาจารย์ หนูเลยคิดว่าโอกาสนี้ไม่ควรพลาดเลย” พอเจียงเซ่อพูดถึงตรงนี้ ในเมื่อโหวซีหลิ่งก็ไม่ได้ห้ามให้เธอพูดต่อ ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อกี้เป็นความจริงไม่ได้พูดอะไรผิดเลยสักนิด “อย่างที่หนูพูดไปเมื่อครู่ อาจารย์อายุมากแล้ว ในอนาคตผลงานของอาจารย์ก็คงลดน้อยลง ถ้าหนูพลาดจาก ‘The Occasion of Beiping’ ละก็ ทั้งชีวิตนี้ ถ้าหากอยากที่จะได้โอกาสแสดงบทที่อาจารย์เป็นคนเขียนเองละก็ มันก็คงมีไม่มากแล้ว”
อย่างที่ทุกๆ คนรู้กัน โหวซีหลิ่งนั้นมีความรักต่องานเขียนของตัวมากเป็นพิเศษ ลิขสิทธิ์หนังสือมันอยู่ในมือของเขาเองทั้งหมด ไม่มีการขายเด็ดขาด
เขาไม่ต้องการที่จะให้ฉากในจอภาพมาทำลายตัวละครในผลงานของเขาให้ต้องด่างพร้อย ดังนั้นเขาจึงยินยอมที่จะอยู่อย่างสงบสุข ยอมที่จะไม่เขียนอีกต่อไป
เหตุผลที่เขาไม่ได้ออกผลงานมาอีก นอกจากที่เขาอายุมากขึ้นแล้ว และร่างกายก็เริ่มที่จะอ่อนแอลง เหตุผลที่ใหญ่กว่านั้นคือ เขาไม่ต้องการที่จะเขียนเรียงความอีกต่อไป
ถ้าหากต้องเสียคนที่เข้าใจเขาไป นักอ่านที่สามารถอ่านหนังสือของเขาได้อย่างถ่องแท้จริงๆ งั้นถ้าเขาเขียนต่อไปเรื่อยๆ สำหรับเขาแล้ว มันก็เหมือนว่ามันไม่มีคุณค่าอะไรเลย
นักเขียนอาวุโสมีความมุ่งมั่นเป็นของตัวเอง เขาไม่อยากจะยอมให้พวกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง พวกคนที่อวดดีจนเข้ากระดูกดำพวกนั้น เขาไม่อยากจะประนีประนอมต่อสภาพความเป็นจริง ดังนั้นในตอนที่บริษัทซ่างเจียได้มาขอให้เขามาเป็นคนเขียนบท เขาเองก็ได้หมดกำลังและสติปัญญาไปมาก พูดโน้มน้าวอยู่นาน จนสุดท้ายเข้าปีที่สาม โหวซีหลิ่งก็ได้ตอบตกลงและเซ็นสัญญาข้อตกลงมากมาย คนในครอบครัวโหวเองก็มีเหตุผลที่ไม่อยากให้คนนอกรู้ หลินซีเหวินถึงได้สมความปรารถนาจนถึงตอนนี้
“ฉันคิดว่า ในยุคสมัยนี้ จะไม่มีใครเข้าในคำพูดของโจวชิงซงแล้วเสียอีก” โหวซีหลิ่งถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นถอดแว่นออกมา หลินซีเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ส่งทิชชู่ให้เขา โหวซีหลิ่งกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วรับมันไปเช็ดตรงขอบตา
“สามารถเข้าใจความรู้สึกของฉันได้ ก็คงเป็นพวกคนแก่ๆ แล้ว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะมีคนมาพูดกับฉันแบบนี้อีก”
ตามกาลเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป พวกคนหนุ่มสาวต่างก็ชื่นชอบการอธิบายเนื้อเรื่องอย่างเรียบง่ายและได้ใจความ ส่วนผลงานการเขียนของเหล่าอาวุโสก็คงต้องจมหายไปตามประวัติศาสตร์ที่ไหลไปราวกับสายน้ำ
บางทีแค่เป็นพวกหนังสือเรียนไม่กี่บท นักเรียนเองก็ใช่ว่าจะสามารถเข้าในมันได้ทุกอย่าง
ตอนนั้นที่เขาเขียนเรื่อง ‘ฤดูใบร่วงเมื่อปีที่แล้ว’ เขาก็ได้คิดที่จะวางมือจากงานเขียนแล้วจริงๆ เขียนหนังสือมานานหลายปี เขาเองก็ไม่ใช่หนุ่มๆ ที่จะมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว เขาใช้ปากกาในการเขียนแต่ละตัวหนังสือออกมา ทีละขีดทีละเส้นจนกว่าจะได้เป็นหนังสือสักเล่ม หลายสิบปีที่ผ่านมา มันก็ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก รักษาแล้วก็ไม่ได้กลับมาดีดังเดิม
ตอนนั้นร่างกายของเขาเองก็ทรุดลงมากแล้ว บวกกับการที่เขาเริ่มจะหมดหวังกับการเป็นนักเขียนด้านวัฒนธรรม ดังนั้นจึงได้มีความคิดแบบนี้ออกมา