webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

069

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 69 ทดสอบ

หลินซีเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ดูอารมณ์สงบขึ้น โหวซีหลิ่งเองก็ดึงกระดาษทิชชู่ออกมาจากกล่องด้านหน้าตัวเองมาหนึ่งแผ่น แล้วเขาก็ลุกขึ้นและยื่นมันไปให้เจียงเซ่อด้วยตัวเองทันที “คุณผู้หญิงโต้วโค้ว คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

และจุดนี้มันก็ไม่เหมือนกับในบทหนัง หลินซีเหวินเองก็อ่านบทมาจนจำได้ขึ้นใจเช่นกัน และเขาก็มองโหวซีหลิ่งอย่างตกตะลึง

เจียงเซ่อรับกระดาษทิชชู่แผ่นนั้นมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ หลินซีเหวินเองก็สังเกตเห็นวิธีการใช้นิ้วมือในการรับของ รวมถึงปลายนิ้วที่หนีบกระดาษขึ้นไปเช็ดขอบตานั้นด้วย

ลักษณะท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้หลินซีเหวินต้องมองเธอใหม่ โหวซีหลิ่งเองก็ยิ้มออกมา

“ก็แค่งิ้วร้องได้เพราะเกินไปน่ะ”

ในตอนที่พูด เธอก็ไม่ได้มองไปที่โหวซีหลิ่งเลย กลับกันกลับจ้องสายตาไปข้างหน้า ราวกับว่าไม่ชอบเลยที่มีคนมาทำลายความสงบของตัวเอง

กิริยาที่ไม่ดีของโต้วโค้วถูกเผยออกมาเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น เพียงแค่เสี้ยววิเธอก็เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ เธอกระชับเสื้อคลุมของตัวเองด้วยอารมณ์นิ่งๆ

ดูเจียงเซ่ออายุยังน้อย แต่ท่าทางแบบนั้นที่เธอแสดงออกมา หลินซีเหวินสังเกตเห็นภายใต้ชุดกี่เผ้าที่เธอสวมใส่อยู่นั้น หัวไหล่ของเธอเล็กแต่ก็ดูอิ่มเอิบ พอเธอกระชับเสื้อคลุม มันก็สามารถทำให้คนที่ลอบมองเห็นแวบๆ

เพียงแวบเดียวเธอก็คลุมมันเอาไว้อย่างดี แต่การดึงดูดนั้นก็เป็นแค่สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ

ความคิดที่เขามีต่อเจียงเซ่อในตอนแรกนั้นเปลี่ยนไป ในชั่วนาทีนั้นเธอได้แสดงท่าทางอันสง่างามที่เป็นเสน่ห์ของผู้หญิงออกมา และนั่นมันก็ดูกระตุ้นให้คนสนใจมากกว่าเย่หยิงเฟยทีมีภาพลักษณ์เซ็กซี่ยั่วยวนเสียอีก

กี่เผ้าสีน้ำเงินเข้มขับให้ผิวของเธอดูขาวราวกับหิมะ เธอนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้และวางแขนไว้บนที่พักแขน มันดูงดงามและมีเสน่ห์ราวกับฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เธอเริ่มที่จะทำให้หลินซีเหวินยอมรับและเข้าใจในตัวละคร ‘โต้วโค้ว’ ที่ตกอับไม่เหมือนเดิมอีก ก่อนหน้านี้หลินซีเหวินตั้งใจแค่ว่าจะให้เย่หยิงเฟยเป็นคนเล่นบทนี้ แต่พอตอนนี้ได้มาเห็น คนที่มีภาพลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์ กลับสามารถเผยความยั่วยวนและดึงดูดใจมากกว่าคนที่มีฝีมือแพรวพราวเย้ายวนอยู่แล้วเสียอีก

หลินซีเหวินเปลี่ยนความคิดของตัวเองทันที พอได้มองเจียงเซ่ออีกครั้ง เขาก็มองเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ได้มองว่าเธอไม่เหมาะกับบทนี้อีกแล้ว

เขาพลิกกระดาษประวัติดู เจียงเซ่อเพิ่งจะขึ้นปีหนึ่งด้วยซ้ำ อายุก็ยังน้อย แต่สิ่งที่ดูขัดแย้งกันคือ บุคลิกลักษณะของเธอดูไม่ใช่เด็กสาวที่มีความสะเพร่าหรือบอบบางเลยสักนิด กลับกันเธอดูเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามากมายคุ้นชิน

เมื่อเพลงละครบนเวทีจบลง ในมือเธอยังคงถือ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ของคนอื่นที่ยื่นให้เธอไว้อยู่เหมือนเดิม ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยเสียงเบาๆ

เธอลุกขึ้น ราวกับว่าเธอปล่อยตามใจตัวเองมานานพอแล้ว เธอจัดกระโปรงกี่เผ้าที่มีรอบยับขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบนัก ค่อยๆ ลูบชายกระโปรงให้เรียบ เธอไม่ได้รีบอะไร แต่ในขณะที่เธอทำอย่างนั้น อารมณ์ของเธอก็ดูเปลี่ยนไปด้วย

ถึงแม้ว่าขอบตาเธอจะยังแดงอยู่ แต่ท่าทางสีหน้าของเธอกลับดูเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมาก แผ่นหลังของเธอก็ค่อยๆ ตั้งตรงขึ้น จากเด็กสาวที่ตกอยู่ในภวังค์ความหลัง เธอก็ได้กลับมาเป็นคนที่รับความทุกข์ทรมานมากมายเหมือนเดิม เป็นโต้วโค้วที่อยู่ข้างกายอันจิ่วยวี่

เธอเดินหันหลังกลับไปทางประตูที่เธอเดินเข้ามาอีกครั้ง การเดินกลับครั้งนี้เธอก็ไม่ได้ลงฝีเท้าเหมือนกับตอนมาอีกต่อไป ในขณะที่เธอเดินกลับ เสียงฝีเท้าที่กระทบลงกับพื้นมันดังและหนักแน่นเอามากๆ

เจียงเซ่อเองก็ตั้งใจที่จะลงเท้าให้เกิดเสียงอีกครั้งและอีกครั้ง รองเท้าส้นสูงที่กระทบลงพื้นดัง ‘ตึก ตึก’ ทุกย่างก้าวราวกับได้ตอกลงไปกลางใจ

เมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตู หลินซีเหวินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ไม่เลวเลย”

ถ้าให้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ฝีมือการแสดงของเจียงเซ่อก็ยังคงมีช่องว่างและต้องสอนเพิ่มอีกมาก แค่เธอก็ฉลาดที่สามารถเอาสองจุดใหญ่ๆ อยู่

หนึ่งคือโต้วโค้วเป็นคนที่สูงสง่า อีกอย่างคือ พอตอนที่เธอฟังเพลงละครจบ เธอก็ได้เดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว

โดยเฉพาะตอนที่ฟังเพลงละครจบแล้ว ตอนที่เธอลุกขึ้นมา ท่าทางการจัดกระโปรงและการจัดกี่เผ้าและการกระชับเสื้อคลุม ในใจโต้วโค้วที่กำลังจะเดินออกจากโรงละครบนถนนเทียนเฉียว ออกจาก ‘บรรยากาศและท่วงทำนอง’ และออกจากความทรงจำในวันที่เจ็ดเดือนสามนั่นออกมา

เธอเปลี่ยนอารมณ์ได้ดีมากๆ จากอารมณ์ที่อยู่ในก้นบึ้งก็เปลี่ยนมาเป็นความเข้มแข็งได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ที่สำคัญที่สุดคือ การย่ำเท้าก้าวเดินตอนที่จะไปของเธอ เจียงเซ่อได้ตั้งใจลงเท้าหนักกว่าตอนแรก และได้ถอนหายใจด้วยเสียงที่มีความอึดอัดใจออกมาด้วย และเธอก็เปลี่ยนมาเป็นคนที่ดูเข้มแข็ง ด้วยการกระชับเสื้อคลุมให้เห็นอย่างชัดเจนอีกด้วย

ในจุดนี้มันสำคัญมาก ไม่ได้บอกว่าเธอแสดงดี แต่สิ่งที่ไม่ว่ายังไงหลินซีเหวินก็ต้องการ คือการที่เธอเข้าใจสิ่งที่โหวซีหลิ่งเขียนออกมาได้อย่างลึกซึ้งและแสดงออกมาได้

ตอนที่โต้วโค้วเดินออกไป ในใจเธอจะต้องยังไม่สมัครใจนัก

เธอก็เหมือนกับเด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เธอแทนโรงละครบนถนนเทียนเฉียวให้กลายเป็นความฝันในวันที่เจ็ดเดือนสาม วันที่ครอบครัวของเธอยังไม่ถูกพวกรุกรานฆ่าตาย

เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอาลัยอาวรณ์ถึงอดีต เธอรู้ว่าในภายหลังเธอจะได้รับผลร้ายยังไง คงจะต้องมีสภาพที่ตกอับมากกว่านี้

เพราะการเปลี่ยนแปลงของจิตใจแบบนี้ ดังนั้นในตอนที่เธอจะต้องออกจากที่แบบนี้ไป ในใจเธอจึงเกิดความรู้สึกต่อต้านและไม่ยอมรับ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นอย่างดี ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นนักสู้ที่ต้องเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ขอเวลาเพียงสั้นๆ เพื่อปล่อยวาง และเตรียมตัวที่จะกลับมาในสภาพปัจจุบัน

โต้วโค้วมีความย้อนแย้งกันอยู่ในตัวพอสมควร เจียงเซ่อเองก็สามารถเก็บรายละเอียดนั้นได้ เพราะงั้นรอยยิ้มถึงได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าโหวซีหลิ่ง

ก่อนหน้านี้ผู้ช่วยหลีได้บอกกับว่าเจียงเซ่อชอบงานเขียนของตน เอาความจริงเลยคือโหวซีหลิ่งเองก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา

งานเขียนของเขามักจะเจาะเกี่ยวกับนิสัยสันดานของมนุษย์ในด้านของความรัก และมันก็ไม่เหมาะนักกับรสนิยมของวัยรุ่นสมัยนี้ ตนรู้สึกว่าที่เจียงเซ่อพูดถึงตนเองขึ้นมา คงเป็นแค่เพราะอยากจะได้บท ‘โต้วโค้ว’ มากกว่า เลยอยากจะให้ตนรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมา

แต่พอได้มาเจอจริงๆ แล้ว เจียงเซ่อมีความเข้าในในงานเขียนของเขาอย่างลึกซึ้งมากๆ และเธอก็เข้าใจในสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ นี่คงเป็นคนที่เคยอ่านหนังสือเขามาจริงๆ หรือไม่ก็คงได้ศึกษามาอย่างละเอียด ถึงได้เข้าใจขนาดนี้

“ขอบคุณค่ะผู้กำกับหลิน”

เจียงเซ่อหมุนตัวกลับมา เธอโค้งให้หลินซีเหวิน ก่อนจะหันไปขอบคุณโหวซีหลิ่งด้วย

“อาจารย์โหว เมื่อครู่ขอบคุณสำหรับกระดาษทิชชู่มากนะคะ”

โหวซีหลิ่งโบกมือ แล้วยิ้มถามขึ้นมา

“สาวน้อยทำได้ดีแล้ว”

อายุของเขาก็มากแล้ว เส้นผมก็กลายเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ร่างกายก็ดูผอมบาง ใบหน้ามีแว่นทรงโบราณประดับอยู่ เขาสวมชุดถังจวง เผยให้เห็นความเป็นผู้มีวิชาความรู้และสง่า และดูเป็นคนเข้าถึงง่าย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงเซ่อได้เห็นเขาใกล้ๆ น่าจะประมานหกเจ็ดปีก่อน โหวซีหลิ่งเป็นคนจิตใจดี แต่อายุก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เทียบกับตอนที่เขาได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งแล้ว เขาเปลี่ยนไปมาก

เธอเช็คแฮนด์กับโหวซีหลิ่ง พนักงานเองก็เข้ามาย้ายเก้าอี้เมื่อครู่ที่ใช้แสดงมาให้เธอนั่ง เธอเองก็รับเก้าอี้นั้นมานั่ง

“ยังไม่ดีพอหรอกค่ะ ครั้งหน้าคงได้มีโอกาสเรียนรู้จากอาจารย์โหวและผู้กำกับหลินนะคะ”

ประโยคทั่วไปแบบนี้หลินซีเหวินเองก็ได้ยินมาเยอะแล้ว เขาจึงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบ

แต่ทว่าเพราะโหวซีหลิ่งได้จับความรู้สึกของเจียงเซ่อที่แสดงฉากในโรงละครออกมาได้ เขาจึงรู้สึกประทับใจในตัวเจียงเซ่อมากๆ ได้ยินอย่างนั้นก็ตอบกลับทันที

“ได้ยินเสี่ยวหลีบอกว่า หนูเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งหรือ?”

“ใช่ค่ะ ปีนี้เพิ่งขึ้นปีหนึ่ง” เจียงเซ่อได้ยินอย่างนั้น ก็รู้ถึงประเด็นสำคัญทันที