webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

068

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 68 หาคำตอบ

เจียงเซ่อชะงักฝีเท้าลง แน่นอนว่าเธอจำได้ว่านี่เป็นบทในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ มันเป็นตอนที่ ‘โต้วโค้ว’ ปรากฏตัวครั้งแรกที่โรงละครงิ้วบนถนนเทียนเฉียว และมีคนเข้ามาพูดกับเธอ

หลินซีเหวินไม่ได้ตะโกนว่า ‘เริ่ม’ แม้แต่เวลาที่จะให้เธอได้เตรียมตัวก็ไม่มี และไม่ให้เธอได้ดูบทก่อนเสียด้วย

ถ้าหากเธอไม่คุ้นเคยกับบทละก็ หรือถ้าไม่ได้อ่านบทมาหลายๆ รอบและทบทวนมันบ่อยๆ ละก็ หากมาเจอสถานการณ์แบบนี้เจียงเซ่อก็อาจจะทำตัวไม่ถูกไปเลยก็ได้

แต่เธอก็แค่มีอาการชะงักไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว

เธออ่านบทมาแล้วหลายรอบ เมื่อคืนก็เอามาอ่านอีกรอบ ทุกๆ ฉากเธอจำได้ขึ้นใจ

ถ้าจะมาลองเรื่องบทละก็ แน่นอนว่าทำอะไรเธอไม่ได้หรอก แต่ที่ยากคือการแสดงออกว่าตัวเองเป็นโต้วโค้วต่อหน้าหลินซีเหวินเสียมากกว่า

ไม่มีเวลาให้เธอได้ปรับอารมณ์ให้อินไปกับเนื้อเรื่อง ราวกับว่าเขาได้เริ่มทดสอบตั้งแต่ตอนแต่งหน้าเปลี่ยนชุดแล้วด้วยซ้ำ

เจียงเซ่อนึกถึงฐานะของโต้วโค้วในบทขึ้นมา ในตอนนี้เธอได้รับความช่วยเหลือจากอันจิ่วยวี่มาแล้ว และได้ติดตามอยู่ข้างกายเขามาอยู่ในเขตที่เจริญรุ่งเรืองของเป่ยผิง

ใครๆ ก็รู้ว่าเธอเป็นใคร ตอนที่มองเธอในแววตาต่างก็ดูเกรงๆ

เวลานี้ในใจเธอคงจะรู้สึกพลิกผัน เพราะถ้าจะให้พูดอีกอย่าง การที่ทุกๆ วันที่เจ็ดของเดือนจะต้องมาที่ถนนเทียนเฉียวนั้นก็เพื่อมารำลึกถึงครอบครัว แสร้งทำเป็นว่าตัวเองยังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้เสียครอบครัวไป

น่าเสียดายที่ทุกครั้งมักจะมีคนมาเรียกสติเธอให้กลับคืนมา เรียกฐานะที่เธอเป็นในตอนนี้ เรียกชื่อที่เธอใช้ตอนเป็น ‘หญิงขายบริการ’ ทำให้เธอคิดถึงเรื่องที่เจ็บปวดของตัวเองขึ้นมา เป็นความทรมานที่ไม่อาจหลีกหนีได้

ดังนั้นตอนนี้โต้วโค้วจะต้องรู้สึกย่ำแย่ อีกทั้งมีความระทมทุกข์และยังปะปนไปด้วยความฝืนใจ แต่ต้องทำเป็นไม่สะทกสะท้าน

ประสบการณ์การแสดงของเจียงเซ่อยังไม่เพียงพอนัก แต่เธอก็พยายามที่จะอ่านบทหนังอย่างาละเอียดเพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ และตอนนี้เธอก็ทำแค่ก้มหน้าลง มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวก็เกิดสั่นขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

จู่ๆ หลินซีเหวินก็เกิดอยากจะทดสอบขึ้นมา ดีที่ถึงแม้เจียงเซ่อจะไม่คิดมาก่อนว่าจะเร็วขนาดนี้ แต่เธอก็เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว

อารมณ์ของเธอดูสงบ ปลายนิ้วเธอสั่นเบาๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

สำหรับเธอที่ไม่ใช่นักเรียนจากโรงเรียนสอนการแสดงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อาจเผยความรู้สึกของหนังทั้งหมดออกมาใบหน้าได้ หรือแม้แต่ไม่สามารถบังคับคิ้วและสีหน้าของตัวเอง รวมถึงแสดงออกถึงความรู้สึกที่สับสนอยู่ในใจ แต่เธอก็สามารถใช้ภาษากายเพื่อแสดงบทตัวเองออกมา

“วันนี้คนที่ขึ้นแสดง คือ ‘กว่างเต๋อโหลว’ ใช่หรือไม่?” เธอนึกถึงความอึดอัดที่มีในบท และพยายามคิดว่าตัวเองกำลังเป็นโต้วโค้ว ดังนั้นตอนที่เธอพูดบทออกมา จึงพูดได้อย่างราบรื่น

ความจริงแล้วโต้วโค้วนั้นเป็นคนของอันจิ่วยวี่ อันจิ่วยวี่ถือได้ว่าเป็นใหญ่ในเป่ยผิง เขามีอิทธิพลเป็นอย่างมาก

ทุกๆ วันที่เจ็ดของเดือนเมื่อโต้วโค้วมาถึง ผู้คนบนถนนเทียนเฉียวก็จะรู้ทันทีว่าเธอมาดู ‘กว่างเต๋อโหลว’ ร้องเพลง ‘ต่าเยี๋ยนซง’ แล้วใครที่ไหนจะกล้าเปลี่ยนนักแสดงโดยพละการกัน?

ดังนั้นทุกครั้งที่เธอมา ก็มักจะเป็นงิ้วเรื่องนี้ตลอด แต่ทุกครั้งที่โต้วโค้วมา เธอก็มักจะถามแบบนี้อยู่เสมอ

ในบทตอนนี้โหวซีหลิ่งเขียนมันออกมาได้แยบคายมาก โต้วโค้วจะถามออกมาทุกครั้ง แสดงให้เห็นได้อย่างยิ่งว่าในใจเธอไม่เคยสงบเลย ถึงแม้ว่าวันนี้จะใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม มีคนรับใช้คอยติดตาม แต่ในใจของเธอนั้น ยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองยังคงเหมือนจอกแหนที่ลอยน้ำอยู่ตลอดมา

เธอมักจะมาดูละครในวันที่เจ็ดของทุกๆ เดือน และมันก็มักจะเป็นกว่างเต๋อโหลว ขับร้องเพลง ‘ต่าเยี๋ยนซง’ อยู่เสมอถ้าพูดในอีกด้านละก็ เธอกำลังหวังว่าเวลาจะย้อนกลับไป หยุดเอาไว้แค่วันที่เจ็ดวันนั้น ปราถนา...ที่จะกลับไปมีความรู้สึกในวันนั้นอีกครั้ง

โหวซีหลิ่งมีสำนวนการเขียนที่ค่อนข้างโบราณ เขาไม่ได้เขียนเกี่ยวกับตอนที่พ่อแม่ของโต้วโค้วยังอยู่ ไม่ได้เขียนถึงความรักมากมายที่กลายเป็นความทรงจำไปแล้ว แต่เขาใช้การพรรณนาทางอ้อมในการทำให้เรื่องมันเด่นขึ้น และมันก็ทำให้คนอ่านรู้สึกอยากจะถอนหายใจออกมา

เสียงของเจียงเซ่อค่อนข้างเบา น้ำเสียงฟังแล้วเหมือนว่าเธอกำลังร้องไห้ พอเธอถามประโยคนั้นออกมา เธอก็ไม่ได้มองไปที่ใบหน้าของพนักงานอีก

น้ำเสียงของเธอหวาน มันทั้งเบาและนุ่มนวล พอได้ฟังใกล้ๆ หูแล้วก็รู้สึกเพลิดเพลิน

แต่ก็ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังวุ่นวายใจ ราวกับว่าตอนที่โดนเรียกว่า ‘คุณผู้หญิงโต้วโค้ว’ ในตอนนั้น เธอก็เกิดความรู้สึกที่คิดอยากจะหลบหนีไป

จู่ๆ หลินซีเหวินก็ให้ทดสอบขึ้นมา ทำให้ในสถานการณ์นั้นเธอต้องรีบนึกบทโต้วโค้วขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้เห็นการแสดงของเจียงเซ่อแล้ว ถึงแม้ว่าหลินซีเหวินจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ไม่ได้สั่งให้หยุด

ทักษะฝีมือการแสดงมันค่อยมาสอนทีหลังกันได้ ยังพอมีเวลาที่จะพัฒนา

พูดถึงในเบื้องต้นแล้ว การแสดงออกของเธอถึงจะยังไม่ดีนัก แต่ที่สำคัญที่สุดคือการทดสอบต่อหน้าหลินซีเหวินแบบนี้ เธอสามารถเก็บพวกอาการ ‘ลนลาน’ ได้เป็นอย่างดี ไม่มีท่าทีหลุดออกมาให้เห็น

“ใช่ค่ะ เชิญคุณผู้หญิงมาทางนี้เลยค่ะ ที่นั่งได้จัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว”

เมื่อพนักงานได้ยินเจียงเซ่อพูดบทออกมา ก็ทำตามที่ได้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หล่อนก็พาเจียงเซ่อเดินมานั่งที่เก้าอี้กลางห้องแคสติ้งทันที

ตอนที่เจียงเซ่อเดินเข้าไปเธอก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม และเงยหน้าขึ้น

รองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นเบาๆ ส่งเสียงเป็นจังหวะน่าฟัง เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เปิดออกเผยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความฉ่ำวาว

การก้าวเดินของเธอดูใจเย็นและนิ่ง เมื่อมาถึงเก้าอี้แล้ว เธอจัดกระโปรงกี่เพ้าเล็กน้อยแล้วค่อยๆ นั่งลง

โหวซีหลิ่งสังเกตเห็นได้ทันที ท่าทางการนั่งของเธอนั้นตรงตามแบบมารตฐานเป๊ะ เธอคงจะต้องได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างเข้มงวด

ฉากแรกของโต้วโค้วที่เขาได้เขียนลงไปในบท คือหญิงสาวที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี และในด้านนี้เจียงเซ่อก็แทบไม่ต้องแสดงออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะท่าทาง กริยาของเธอมันแสดงออกชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอเป็นแบบนั้น

ในห้องแคสติ้งนี้ แน่นอนว่าที่ที่เจียงเซ่อนั่งอยู่นั้นไม่ใช่ในฉากแสดง แต่เป็นสถานที่ที่ทดสอบอย่างเข้มงวดมากกว่า

แต่ดูเธอไม่ได้สนใจหลินซีเหวินหรือคนอื่นๆ ในห้องที่จ้องจะจับผิดเธอเลยสักนิด คิดถึงเหตุการณ์ในวันนี้แล้ว ตั้งแต่เกิดใหม่มา คนรอบๆ หรือที่อยู่ตรงหน้าเธอก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมด

ตอนที่อยู่โรงแรมรุ่ยจี๋ แม้แต่คนที่เคยสนิทสนมอย่างเผยอี้ พอได้เจอกันในตอนนั้น เขากลับจำเธอไม่ได้แม้แต่น้อย

หว่างคิ้วเธอเธอแฝงไปด้วยความทุกข์ ความรู้สึกซึมเศร้าถูกเผยออกมาทางแววตาของเธอ

พอได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา มันก็ง่ายที่จะทำให้เธอรู้สึกอินไปกับบท

เธอนึกถึงตอนที่ตัวเองได้กลับมาเจอคนที่เคยรู้จัก แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกแย่มากแล้ว โต้วโค้วในบทเองก็กำลังต้องแบกรับความทุกข์ยากที่แสนทรมานมากมายเช่นกัน ได้พบคู่หมั้นของตน แต่ตอนนั้นเซียวจือกลับจำเธอไม่ได้เลย

มองเธอก็เหมือนมองคนแปลกหน้า

ในตอนที่เจียงเซ่อได้เจอกับเผยอี้ทั้งสองครั้งนั้น ในใจเธอก็ใช่ว่าจะสงบ แต่เธอชินกับการที่ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้เสียแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถระบายมันออกมาได้เลย

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม ตอนนี้ในบทเธอไม่จำเป็นที่จะต้องอดกลั้นมันเอาไว้อีกต่อไป เธอเอาสภาพจิตใจจริงๆ ของตัวเองมาใส่ลงไปในตัวโต้วโค้วด้วย และตอนนี้ขอบตาของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมา

หลินซีเหวินและโหวซีหลิ่งนั่งห่างจากเธอประมานสองเมตรได้ ทั้งอารมณ์และลักษณะท่าทางของเธออยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสองแล้ว จนมาถึงตอนนี้ โหวซีหลิ่งเริ่มที่จะรู้สึกตื่นเต้นในใจขึ้นมา เพราเจียงเซ่อกำลังแสดงอารมณ์ที่ไม่ได้มีความสุขนักของ ‘โต้วโค้ว’ ออกมาแล้ว

ขอบตาของเธอแดงก่ำ นัยน์ตาเองก็เริ่มมีหยาดน้ำคลอ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเบาๆ ร่างกายพิงไปกับเก้าอี้ มือทั้งสองข้างประสานตั้งเอาไว้ที่ด้านหน้า ปลายนิ้วเรียวสวยนั่นขยับเคาะตามจังหวะเบาๆ

ราวกับว่าตัวเธอไม่ได้สัมผัสหรือสนใจกับเสียงดังโหวกเหวกที่อยู่รอบๆ กายเลย เธอเหมือนเป็นแค่คนนอก ดูไม่สามารถเข้ากันได้ แต่ก็ยังดึงดันที่จะไม่ไปไหน

เธอหลับตาลง ใบหน้ามีความเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง เธอโยกศีรษะเบาๆ เหมือนว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงขับร้องบนเวทีนั่น ทันใดนั้นเอง น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา