webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

061

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 61 ตัวเลือก

เรื่องที่กู้เจียเอ่อโทรหาหลินซีเหวิน ผู้ช่วยหลีเองก็ได้ยินผ่านหูมาบ้าง สิ่งที่เธอจำได้แม่นที่สุดคือกู้เจียเอ่อได้พูดถึงนักแสดงหน้าใหม่ที่ชื่อเจียงเซ่อขึ้นมา และเขาก็ได้ยืนยันว่ารูปร่างหน้าตาของเธอดีมาก

พอวันนี้ได้มาเห็นจริงๆ ไหนบอกว่าแค่สวยไง นี่มันทำให้คนตะลึงได้เลยนะ

การที่เป็นผู้ช่วยของหลินซีเหวิน ผู้ช่วยหลีเองก็เคยพบเจอและพูดคุยกับดาราน้อยใหญ่ในวงการบันเทิงมามากมายแล้ว แต่กับมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม โดดเด่นกว่าใคร อย่างเจียงเซ่อแบบนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

คนที่ได้เคยเจอเธอ คงต่างที่จะหลงใหลในรูปร่างภายนอกของเธอไม่น้อย

เธอมีรูปร่างที่สูงเพรียว ถ้าอยู่ในหนังก็คงแสดงเป็นแค่แจกันดอกไม้ไว้ประดับสวยๆ เท่านั้นแหละ เอาไว้ดึงดูดคนดู ใช้เป็นจุดขาย มิน่าละ กู้เจียเอ่อถึงได้ดันมาให้หลินซีเหวิน

ผู้ช่วยหลีมองดูเจียงเซ่อหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาดู ข้างในนั้นมีเอกสารสองฉบับที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เจียงเซ่อหยิบมันออกมา และหล่อนก็สังเกตเห็นนิ้วมือเรียวสวยของเธอที่กำลังถือเอกสารอยู่ ผิวของเธอขาวสว่างใส ทำเอาผู้หญิงด้วยกันมองแล้วก็แทบละสายไปไหนไม่ได้

ในเอกสารสองฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเป็นเรื่องราวเทพเซียนยุคโบราณฟอร์มใหญ่ บทนักแสดงที่ต้องการก็ได้เขียนกำกับเอาไว้แล้ว เธอลองดูๆ สองเรื่องนี้ กระทั่งบทพูดของทั้งสองเรื่องก็เตรียมมาอย่างเรียบร้อยแล้ว

ดูก็รู้ว่าที่บริษัทซ่างเจียตัดสินใจแบบนี้คงเพราะมีชื่อของกู้เจียเอ่อช่วยเธอพูดแน่ๆ ถึงได้เตรียมมาให้พร้อมขนาดนี้ แต่พอเจียงเซ่อดูแล้วเธอก็รู้สึกอยากจะปฏิเสธทันที

เรื่องนี้ยังไม่ได้เปิดกล้อง ดูจากการแนะนำคร่าวๆ และบทสนทนาของตัวละครข้างในแล้ว ก็ดูออกว่าเป็นหนังที่มีการผูกเรื่องได้ไม่ค่อยดีนัก

บทที่ทางบริษัทหลินซีเหวินให้เธอมาค่อนข้างหนักเลยทีเดียว บทพูดก็เยอะพอดู ไม่เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมาเลย

หนังเรื่องนี้มีเค้าโครงเนื้อเรื่องจากตำนานโบราณของจีน ในเรื่องนี้มีสองบทที่ให้เลือกคือ ฉางเอ๋อและเจ็ดนางฟ้า ซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นแค่บทตัวประดับเท่านั้น

ผู้ช่วยหลีแนะนำขึ้น

“ในสองเรื่องนี้ที่ให้เลือก เรื่อง ‘เทพเจ้าเอ้อหลาง ผู้สยบความวุ่นวายแห่งโลกมนุษย์’ น่าจะเริ่มถ่ายช่วงเดือนธันวาคมปลายปีนี้ เพราะผู้กำกับหลินกำลังหาคนที่จะมาเล่นเป็นเทพเจ้าโฮ่วอี้อยู่น่ะค่ะ อยากจะลองแคสโจวเหยี่ยนดูเสียหน่อย”

เจียงเซ่อพยักหน้า แล้วเธอก็หยิบอีกฉบับขึ้นมาดู

เรื่องนี้อยู่ในช่วงสงครามต่อต้านของประชาชน บทที่ต้องการเหลือแค่บทเดียวเท่านั้น ซึ่งบทนี้จะต้องแสดงเป็นหญิงสาวที่มีสังคมสูง และเป็นคนที่คบค้าสมาคมกับผู้คนมากมาย

เจียงเซ่อนิ่งไม่พูดไม่จาไป

ผู้ช่วยหลีลอบมองอารมณ์ของเจียงเซ่อครู่หนึ่ง

“คุณเจียง หนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ จะเปิดกล้องเดือนมกราคมปีหน้า เวลาจะไกลกว่า คุณคงพอจะเข้าใจหนังสองเรื่องนี้แล้วนะคะ ส่วนตัวดิฉันเองคิดว่า “ ตอนที่หล่อนพูดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเธออีกสักรอบ “ถ้าต้องเลือกจากหนึ่งในสองเรื่องนี้ ลักษณะบทของเรื่อง ‘เทพเจ้าเอ้อหลาง’ น่าจะเหมาะกับคุณสมบัติของคุณมากเลยนะคะ และมันก็เหมาะกับมือใหม่ด้วยค่ะ”

หรือพูดได้ว่า ในหนังเรื่องนี้ไม่ว่าจะบทไหนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถในการแสดงเลยด้วยซ้ำ แค่มายืนทำตัวซื่อๆ ก็พอ

หล่อนก็พูดเองว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้เปิดกล้อง เจียงเซ่อก็เริ่มที่จะรู้ล่วงหน้าว่ามันต้องออกมาชุ่ยมากแน่ๆ

ถ้าหากเป็นหนังฟอร์มใหญ่ เป็นหนังที่มีต้นทุนที่ดีก็ว่าไปอย่าง แต่เธอเกิดมาเป็นเฝิงหนาน เรื่องธุรกิจพื้นฐานทั่วไปเธอรู้ดี เดาแค่นี้ก็เดาได้ว่ามันจะเป็นยังไง

ถ้าให้เปรียบเทียบอย่างง่ายๆ คนที่ดูร้ายกาจจริงๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่คนที่ดูนิ่งๆ ไม่น่ามีพิษมีภัยกลับร้ายที่สุด

หรือพูดได้ว่า หนังเรื่องนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก กำหนดการเปิดกล้องอะไรไว้เสียดิบดี แต่ก็อาจจะกลายเป็นท่าดีทีเหลวไปเลย ถ้าเป็นแค่หนังฟอร์มเล็ก ก็อาจจะไม่สามารถได้กระแสตอบรับที่ดีได้เช่นกัน

ดังนั้นแนวทางของผู้กำกับอย่างหลินซีเหวินในตอนนี้ยังดูกำกวมอยู่มาก เพราะว่าหนังของเขาไม่มีเรื่องไหนสักเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้งเลยสักเรื่อง ส่วนมากก็เป็นหนังธุรกิจ เอาไว้เป็นหนังทำเงินเสียมากกว่า

ไม่ว่าเขาจะทำหนังออกมากี่เรื่องๆ ก็โดนแต่คนวิจารณ์สบประมาท มีแต่คำด่าเต็มไปหมด

เจียงเซ่อเองก็คิดพิจารณามาเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองจะเข้าสู่วงการนี้จริงๆ แล้วล่ะก็ จะต้องเตรียมตัวเป็นนักแสดง ตอนที่เธอเข้าวงการบันเทิงนี้มา หนังเรื่องแรกที่ได้แสดงก็เป็นหนังของจางจิ้งอาน

ถ้าพูดถึงเนื้อหาความหมายมันละก็ นี่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าคนทั่วไปครึ่งต่อครึ่งแล้ว

ยิ่งบวกกับอีกสองเรื่องที่ได้แสดง เรื่องหนึ่งก็ ‘ฝันที่เป็นจริง’ ของกู้เจียเอ่อ อีกเรื่องก็ ‘99 Love Letter’ ของจ้าวร่าง ถึงแม้ว่าทั้งสองเรื่องก็ยังอยู่ในบทของตัวประดับ แต่หนังสองเรื่องนี้ก็มีเนื้อหาที่เหมาะสม

นั่นก็เพราะทั้งสองผู้กำกับต่างดึงความสามารถของนักแสดงออกมา ในเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ กู้เจียเอ่อเขาได้นำความจริงของคนหนุ่มสาวมากมายในสมัยนี้มาใส่ลงไปในหนัง พูดถึงด้านครอบครัว การแต่งงาน หน้าที่การงานและอื่นๆ อีกมากมายที่มีคุณค่า แถมเขายังพูดถึงความคิดต่างๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้กับคนรุ่นก่อนๆ ที่มีความคิดแตกต่างกัน และแรงกดดันต่างๆ ที่ต้องแบกรับเอาไว้

หังยวี๋อีที่แสดงเป็นโจวหรงเชิน เพราะตัวละครชายตัวนี้เขาได้ผ่านสังคมอะไรมามากมายแล้ว พอเขาได้รับสิ่งพวกนั้นมามากมาย เขาจึงกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึกไป ไม่สนใจว่าความรักจะเป็นอย่างไร เขาเอาแต่ทำงานๆ เป็นบ้าเป็นหลัง จนทำให้คนรอบข้างรู้สึกได้อย่างชัดเจน

แต่บทที่จ้าวรั่วจวินแสดงนั้นเป็นบทของหญิงสาวคนหนึ่ง เธออยู่กับครอบครัวและความฝันของตัวเอง และใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะได้ชื่อว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน แต่ในชีวิตของครอบครัว ผู้หญิงต้องรับหน้าที่มีลูกและแบกรับภาระตามธรรมเนียมที่มีมาแต่ก่อนๆ ดังนั้นเรื่องที่จะแต่งงาน ก็อดไม่ได้ที่จะไม่สนใจมัน คนส่วนมากเลือกที่จะให้ความสำคัญต่อครอบครัวที่มีลูกทั้งนั้น

แต่ในตอนท้ายสุดของหนัง จ้าวรั่วจวินที่แสดงเป็นวังเชี่ยนเชี่ยนความจริงแล้วเธอกำลังวิ่งตามความฝันของตัวเองอยู่ และนั่นก็ทำให้ความคิดที่ไม่อยากมีลูกเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ปล่อยให้ตัวเองท้อง และก็ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมาก

หนังของจ้าวร่างคงไม่พูดถึงแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็รวมอยู่ที่ตัวของชุยซิ่ง

และนั้นก็เพราะผู้กำกับทั้งสองต่างวางเนื้อหาและสิ่งสำคัญไว้ที่ตัวนักแสดงทั้งสิ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าบทที่เจียงเซ่อได้แสดงไปจะได้เป็นแค่ตัวประดับ แต่เธอก็ได้อยู่ในฉากที่ดีที่สุดเช่นกัน เป็นฉากที่มีภาพของเธอให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ก็เหมือนกับเวลาที่ผู้ชมได้ทานอาหารหลักจนเลี่ยนไปหมดแล้ว ก็จะต้องมีของหวานที่จะมาล้างปากเป็นอันดับไป

แต่ทว่าในหนังของหลินซีเหวินนี้ บทตัวประดับยังไงก็เป็นบทตัวประดับไม่มีวันเปลี่ยนแปลง รูปแบบสถานการณ์แบบนี้ ถ้าถึงวันที่หนังออกฉายยังไงก็ต้องโดนแต่คนด่าทอแน่นอน และนั่นก็จะทำให้การเริ่มต้นของเธอพัง

ยังไงซะถ้าจะต้องเข้าวงการนี้ เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้คิดที่จะรีบร้อนทำอะไรที่ไม่มีความคิดแบบนี้ ถ้ารับหนังที่ชุ่ยขนาดนี้ วันหลังถ้าเธอจะรับบทหนังคุณภาพสูงก็คงลำบาก

ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้มีเงินมากมายนัก แต่เธอก็ไม่อยากจะให้เรื่องเงินมาลดคุณค่าของตัวเองลง

ตอนนี้เจียงเซ่อยังไม่ได้เซ็นสัญญากับค่ายบริษัทไหน ดังนั้นเวลาที่จะรับเล่นหนังก็ต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบมากๆ

แต่ตอนนี้เธอแทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ในใจเธอมันตอบปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่เห็นมัน

เธอหยิบบท ‘The Occasion of Beiping’ ขึ้นมา ลองพิจารณาบทที่บริษัทซ่างเจียให้มาอีกครั้ง

The Occasion of Beiping นี้เกี่ยวกับสงครามต่อต้านของประชาชน บทที่บริษัทซ่างเจียให้เธอเลือกคือบทที่ชื่อว่า ‘โต้วโค่ว’ ต้องรับบทเป็นนางร้ายที่อยู่ในกลุ่มผู้ชาย

บทพูดในเรื่องนี้ไม่เยอะเท่าเรื่อง ‘เทพเจ้าเอ้อหลาง’ อย่างฉางเอ๋อร์หรือเจ็ดนางฟ้าแต่ก็เป็นบทที่หนักกว่าสองบทนั้นแน่ๆ

เจียงเซ่อมองดูว่าคนแต่งเรื่องนี้คือใคร ชื่อที่ปรากฏอยู่ในสายตามีสองชื่อ ชื่อแรกคือผู้กำกับอย่างหลินซีเหวิน อีกชื่อเป็นชื่อของผู้เขียนบทละคร พอเจียงเซ่อเห็นชื่อคนแต่ง ก็เกิดลังเลขึ้นมา จากนั้นเธอก็เปิดบทละครดูทันที

คนที่เขียนบทเรื่องนี้คือโหวซีหลิ่ง เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงตอนที่เป็นเฝิงหนาน เธอเคยไปฟังโหวซีหลิ่งพูดอยู่ครั้งหนึ่งเธอฟังแล้วรู้สึกประทับใจมาก